Full review Klipsch RC-64 II
วันนี้เราได้ฤกษ์เอาลำโพงเซ็นเตอร์รุ่นใหญ่สุดอย่าง Klipsch RC-64 II ที่ยังมีจำหน่ายในบ้านเราอยู่ในปัจจุบัน เอามารีวิวกันแบบหมดไส้หมดพุงกันไปเลยว่าหน้าตาแบบนี้ เสียงจะเป็นยังไง ข้อดี.. ข้อเสีย.. มีอะไรกันบ้าง
บอกกล่าวที่มาที่ไปก่อนว่า... ลำโพงเซ็นเตอร์นั้นเป็นลำโพงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในระบบ Home Theater เพราะไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของตัวละคร.. เสียงเอฟเฟคต่างๆ... เสียงเกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเรา ล้วนถูกส่งผ่านมาจากลำโพงเซ็นเตอร์ทั้งนั้นครับ
ดังนั้นเราจึงไม่ละเลยที่จะเลือกเฟ้นลำโพงเซ็นเตอร์ที่ให้คุณภาพสูง และต้องคุ้มเงินที่สุดด้วย... ซึ่งเจ้า RC-64 II นี้เข้าข่ายที่เราสนใจเกือบทุกอย่าง ทั้งคุณสมบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็น
1. ใช้ดอกลำโพงขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว high-output woofers ถึง 4 ดอกเรียงกันในแนวนอน ต่างจากตัว RC-62 II ที่ใช้เพียงสองดอก
2. ใช้ทวีตเตอร์ขนาดใหญ่แบบพิเศษขนาด 1.75 นิ้ว แบบ Dynamic 1.75" titanium Linear Travel Suspension horn-loaded tweeter ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ถ่ายทอดมาจากซีรี่ย์เรือธงอย่าง Palladium Series ที่แจ้งไว้ว่าทวีตเตอร์ตัวนี้ให้เสียงที่เปิด ละเอียด ชัด และเป็นธรรมชาติสมจริงตามที่บันทึกมา
โดยทวีตเตอร์แบบปกติของ Klipsch ในรุ่น Reference II และ Reference Premier จะเป็นแบบ 1 นิ้ว ยิ่งทวีตเตอร์ใหญ่ก็ยิ่งตอบสนองเสียงกลางแหลมได้ละเอียดและดีครับ เราเชื่อแบบนั้น
3. ตัวตู้แข๊งแรง บึกบึน หนักแน่น หนาปึ๊กเหมาะที่จะใช้เป็นแผงหน้า
4. งานประกอบ Made in USA ผิวไม้ใช้แบบเฟอร์นิเจอร์เกรด เงามาก มีดีเทล มีลวดลายเหมือนไม้จริง.. ถ้าได้เห็นตัวจริงจะรู้ว่างานผิวไม้เค้าปราณีตจริงๆ (ผิวไม้และลายไม้ใช้คนละแบบกับลำโพงรุ่นน้องในตระกูล Reference II)
5. ราคาไม่แพง เพราะปัจจุบันบ้านเราจับมาทำราคา Clearance ราคาอยู่ประมาณ 3 หมื่นปลาย ถึง 4 หมื่นก็จับจองเป็นเจ้าของเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้ได้แล้ว ในขณะที่ RC-62 II รุ่นรองลงมานั้นค่าตัวอยู่ที่ราวๆ หมื่นปลายๆถึงสองหมื่น... ถ้ากระโดดมาตัวท๊อป RC-64 IIจ่ายสองเท่าแต่ได้ทวีตเตอร์แบบ Dynamic 1.75" Titanium และได้ดอกลำโพงเพิ่มอีกสองดอก พร้อมทั้งงานประกอบ made in USA และงานประกอบ ผิวไม้แบบเฟอร์นิเจอร์เกรด เรียกว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายเพิ่ม..
ตัวที่เราได้มาครอบครองเป็น RC-64 II สีเชอรี่ ที่ด้านข้างกล่องมีแปะป้ายบอกเอาไว้ว่าเป็นสีเชอรี่.. และ Assembled in USA ซึ่งแปลว่าผลิตและประกอบจากโรงงานที่สหรัฐอเมริกาแท้ๆนั่นเอง...
ซึ่งในบ้านเรานั้นสีที่มีขายและนิยมกันก็มักจะเป็นสีดำ แต่ตัวที่เราได้มาค่อนข้างจะพิเศษสักหน่อย.. เพราะต้องบอกว่าตัวแทนผู้นำเข้าในบ้านเรานั้นมักจะนิยมนำเข้าสีดำเข้ามาซะเป็นส่วนใหญ่ จะมีนำเข้าสีเชอรี่เข้ามาบ้าง..แต่ก็น้อยเต็มที่ ดังนั้นสีเชอรี่ตัวที่เราได้มาจึงจัดได้ว่าแปลกไม่เหมือนใครทีเดียว
ว่าแล้วเราก็แกะกล่อง และจัดการแกะพลาสติกกันเลย ตัวกล่องแน่นหนา มีโฟมกันรอบตัวเซ็นเตอร์ถึงสามชิ้นรอบตัว
แกะหมดเรียบร้อยผมก็บรรจงยกเข้าห้องกันเลย ทีนี้ก่อนอื่นมาดูสเปกกันก่อนครับ
Specification : Klipsch RC-64 II
Design: ออกแบบมาเป็นตู้ปิด - acoustic suspension (sealed)
ตอบสนองความถี่: 59-24,000 Hz (±3dB)
รองรับกำลังขับ: up to 200 watts RMS (800 watts peak)
ค่าความไว sensitivity: 99 dB, 8-ohm impedance
ทวีตเตอร์: แบบ Tractrix® horn with 1.75" titanium dome tweeter
ดอกวูฟเฟอร์: 6.5" Cerametallic™ woofers 4 ดอก
Klipsch Tapered Array™: eliminates acoustic interference between woofers for accurate sound
ขั้วต่อลำโพง: แบบไบไวร์ (dual binding posts for bi-amping or bi-wiring)
Video-shielded: มี (จริงๆไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้เล่น PJT หรือ LED หมดแล้ว)
Accessoris: ให้ตัวหนุนลำโพงสำหรับติดตั้งแบบเชิดหน้าหรือก้มลงมาในกล่อง
ผิวลำโพง: แบบfurniture-grade black ash wood veneer
ขนาดตัวตู้: สูง 8" x กว้าง 35.75" x ลึก 12.8"
น้ำหนัก: 26.6 กิโลกรัม
จะเห็นว่าที่พิเศษคือค่าความไวสูงมาก 99 dB เรียกว่าค่าความไว้แตะระดับ 100 dB ง่ายๆคือป้อนกำลังขับ 1 วัตต์ สามารถให้ความดังได้ 99 dB นั่นเอง เป็นลำโพงที่มีค่า Efficient สูงมากๆเกือบจะที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในตลาดแล้วครับ
ดังนั้นถามว่ากินวัตต์มั๊ย... ตอบว่า ไม่กินครับ.. เอาแอมป์อะไรมาขับก็ออกแน่นอน เกิน 50-70% แต่ถ้าจะให้เสียงดี ได้เต็มประสิทธิภาพของมันก็ควรจะได้แอมป์ถึงๆหน่อย..
ตัวนี้ยังอยู่ในพิกัดที่สามารถเอา AVR มาขับได้ แนะนำว่า AVR รุ่นสูงๆของแต่ละยี่ห้อ เลือกมาได้เลย เอาที่ชอบ แนวเสียงที่ใช่ มันขับไหวแน่นอน
Onkyo ก็ขอสัก 3030, RZ800, RZ900, 838 หรือเป็นอย่างต่ำ
ถ้าพี่ Pioneer ก็ต้องจัด LX78, 88
ถ้า Marantz ก็ควรจะตัวท๊อป 7009, 7010
ส่วน Yamaha ก็ควรจะ 3050, 1050, 2050 พวกนี้ขับได้หมด
หรือถ้าใครมีทุนทรัพย์หน่อยจะหวดเอา power มาขับ ก็ต้องบอกว่ายิ่งดีครับ ดีมากเลยด้วย จะแยก Pre-Processor ก็ได้ หรือใครยังไม่พร้อมก็จะต่อ pre-out ออกจาก AVR มาขับแต่ Center ก็ได้เช่นกันครับ
ซิสเต็มที่เราใช้ทดสอบประกอบไปด้วย
------------------------------------------------------
Power: Emotiva XPA3
Pre/AVR: HarmanKardon 370
Front: Klipsch RP-280F
Center: Klipsch RC-64 Ii
Surround: Klipsch RP-250S
Subwoofer: Klipsch R-115SW
Subwoofer cable: Inakoustic
Speaker cable: Canare 4s11, 4s8
------------------------------------------------------
หลังจากนั้นเราก็ทำการยกลำโพงเดิมที่ตั้งอยู่ในห้องคือ Klipsch RC-62 II ออกจากชั้นวาง และบรรจงยก RC-64 II ไปวางแทน.. ตัวนี้น้ำหนักประมาณ 25 กิโล จัดเป็นลำโพงเซ็นเตอร์ที่ตัวใหญ่และหนักมาก.. ยกคนเดียวระวังหลังจะเสีย.. ตอนยกระวังจะเซไปชนขอบโต๊ะขอบประตู แต่ผมยกคนเดียวก็ค่อยๆบรรจงวางไปบนชั้นวาง วางเสร็จก็นั่งอมยิ้มภูมิใจว่ายกได้คนเดียวโดยไม่ชนอะไรให้เป็นรอยละกัน อิอิ
แล้วก็เปิดหนังเรื่องเดิมๆที่คุ้นเคยเอามาเทส เอามาทดสอบกัน
แนวเสียง
เปลี่ยนลำโพงตัวนึง ก็เหมือนเปลี่ยนคู่ชีวิตหรือเปลี่ยนภรรยานะครับ เพราะลำโพงเป็นอุปกรณ์ที่มีผลต่อเสียงในระบบมากที่สุด
ตอนนี้ผมนั่งดูหนังจบไปหลายเรื่อง... ต้องบอกว่าเป็นโชคดีที่ผมได้มีโอกาศเทียบเสียงลำโพงจาก RC-62 II เทียบกับ RC-64 II แบบจะๆ ชนิดที่ว่าอุปกรณ์ทุกอย่างในระบบยังคงเดิม.. จัดวางตำแหน่งเดิม ตำแหน่งเดียวกัน ยกตัวเก่าออก .. ตัวใหม่วางทาบ
ทำให้ได้เห็นชัดๆว่า การจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสองเท่าจาก RC-62 II ไปเป็น RC-64 II ที่ราคาค่าตัวร่วม 3 - 4 หมื่นบาทนั้น.. เราได้อะไรกลับมาบ้าง
เอาจริงๆ ตั้งแต่เปิดหนังดูเรื่องแรกๆ ผมก็รู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเสียงแบบชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเลยครับ
กลางแหลม: ปกติแล้วแก้วเสียงของคนเรานั้น เวลาเราพูดเสียงจะมีความไม่นิ่ง หรืออีกอย่างคือ ความถี่เสียงของคนเรามันจะไม่ได้เรียบเป็นเส้นตรงตลอด สาเหตจากภาษาพูดของคนเราที่เว้นวรรคเป็นคำๆ... มีสูงมีต่ำ ถึงต่อให้พูดคำเดียวยาวๆ แก้วเสียงคนเราก็มักจะมีความละเอียดที่ถ่ายทอดออกมาไม่เท่ากันในแต่ละช่วง
และนี่เป็นลักษณะพิเศษของแก้วเสียงคนเรา... เวลาเราฟังนักร้อง หรือใครที่เสียงเพราะๆ พูดหรือร้องเพลงผ่านลำโพงตัวนี้ เราจะได้ยินรายละเอียดของเม็ดเสียง เกรนเสียงของคนพูด รับรู้ได้ถึงความระยิบระยับ รับรู้ถึงเกรนและรายละเอียดของเนื้อเสียง โทนเสียงออกมาในแนวสด ชัด กรอบ และละเอียดตรงตามที่บันทึกมา ตรงนี้ผมว่ามันสดและชัดละเอียดเกินจริงไปสักนิด ตรงนี้แล้วแต่คนชอบครับ... ส่วนผมชอบเพราะฟังอะไรก็รู้สึกว่ามันเพราะ.. น่าฟัง.. รู้สึกเสียงมันกรอบ มีรายละเอียดดี
ซึ่งบุคลิกของทวีตเตอร์และลำโพงตัวนี้ จะดูกันให้ชัดต้องเอาไปวัดกันที่เสียงเปียโน หรือเสียงดนตรีพวกเครื่องสายครับว่ามันสามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้ตรง เปียโนเป็นเปียโน ไวโอลินเป็นไวโอลินได้แค่ไหน
และนี่คือสิ่งหนึ่งที่ผม ชอบที่สุดใน Klipsch RC-64 II
เป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับลำโพงเซ็นเตอร์ตัวอื่นๆ หรือแม้แต่เซ็นเตอร์รุ่นน้องอย่าง RC-62 II ก็ให้ไม่ได้... ตรงนี้เองอาจเป็นผลงานของทวีตเตอร์ขนาดใหญ่แบบพิเศษขนาด 1.75 นิ้ว แบบ Dynamic 1.75" titanium Linear Travel Suspension horn-loaded tweeter ซึ่งสืบทอดเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดมาจากซีรี่ย์เรือธงอย่าง Palladium Series
เอาจริงๆ.. ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้เจ้า ทวีตเตอร์ตัวนี้มันผลิตมายังไง และดีแตกต่างจากทวีตเตอร์ตัวอื่นยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ ผมเคยมีโอกาศไปฟัง RF-7 II และ RC-64 II ที่บ้านลูกค้ามาหลายที่แล้ว (ทั้งสองตัวใช้ทวีตเตอร์แบบเดียวกัน) ทุกครั้งที่ไปฟังสิ่งแรกที่รับรู้ได้ว่าแตกต่าง... และโดดเด่นมากคือเสียงกลางแหลมที่ชัด ระยิบระยับจนได้ยินเกรน และเนื้อเสียงที่ละเอียดเป็นเม็ดระยิบๆ ฟังแล้วสบายหู
เสียงกลางต่ำ เบส: ความดีงามจาก..กลางแหลมที่ได้จากทวีตเตอร์ 1.75 นิ้วนั้นอาจจะบดบังคุณงามความดีย่านเสียงกลางต่ำของเซ็นเตอร์ตัวนี้ไป... จนผมต้องบอกว่า กลางต่ำนั้นถ้าห้องคุณไม่ใหญ่จริงๆ อย่างห้องของผมที่ขนาดเล็กๆนั้น ต้องบอกว่าดีกว่า RC-62 ขึ้นมาพอประมาณ 20-30% ไม่ได้เยอะ กลางต่ำชัด เบสแน่น คม ลูกเล็ก กระแทก มีมวลแบบลูกเหล็ก ไม่ใช่แบบลูกบอลหรือนวมนักมวย
ถามว่ากลางต่ำดีมั๊ย ดีครับ แต่ห้องผมไม่ใหญ่มาก ก็ไม่ได้อะไรที่แตกต่างมาก.. คือมันทำได้ แน่น คาดหวังการดูหนังได้ เบสสด กระแทก ถึงตัวดี ดูหนังสนุกแน่นอน.. แต่ตัวกลางแหลมมันทำไว้ดีกว่า จนกลบความดีของกลางต่ำไปนิดๆ.. เอาจริงๆถ้าห้องต่ำกว่า 15 ตรม. RC-62 II ก็ให้กลางต่ำ และเนื้อเบสได้พอเพียงแล้ว ไม่ต้องมาถึง RC-64 II
แต่ถ้าห้องสัก 18-20 ตรม ขึ้นไป เล่นไปเถอะ RC-64 II ให้อะไรที่ดีงามกว่า RC-62 II เยอะเลย
ข้อดี / จุดเด่น
1. แนวเสียง RC-64 II ชัดมากจนน่าตกใจ โดยเฉพาะเสียงพูด ถึงขนาดบางทีเวลาเราคุยกันที่สภาพแวดล้อมจริงๆ บางทีเสียงยังไม่ชัดขนาดนี้เลย นี่มันชัดเป๋ะ ละเอียด อะไรเล็กๆน้อยมาหมดทุกเม็ด คมกริบ... บุคลิกแบบนี้ต่างจากลำโพง Center ตัวอื่นๆคือ บางคนอาจจะติดชอบเซ็นเตอร์เสียงใหญ่ๆ หนาๆ พูดแล้วบู๊ทเนื้อเสียงให้ดูใหญ่โตดูเหมือนคนอ้วน ยิ่งพอเจอเสียงคนดำพูดแล้วยิ่งใหญ่โตกันไปใหญ่เลย
แต่ RC-64 II ตัวนี้ไม่ใช้แนวนั้นนะครับ ตัวนี้บันทึกมายังไงก็ยังงั้น เล็กก็มาเล็ก ใหญ่ก็มาใหญ่ ชัด กระชับ เล็กแต่มีรายละเอียดสูง กรอบ (Crisp) เสียงกรอบเป็นยังไง ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงครับ คงต้องให้ผู้อ่านลองหาฟังดูเอาเอง ประสบการณ์จะช่วยบอกท่านได้ครับ
2. ผิวลำโพงสวยแบบจริงจัง ในรูปอาจถ่ายแล้วไม่เห็นดีเทล อยากให้ไปลองหาดูตัวจริงดู ผิวลำโพงงามมาก งานเห็นแล้วแบบดีงาม... ตัวสีดำ เห็นเนื้อลายไม้ เงาแว๊บ ดูขรึมกว่า ส่วนตัวสีเชอรี่สีสวยมว้ากกกก เงาน้อยกว่าสีดำ แต่ลายไม้สีเชอรี่มีดีเทลสมจริงกว่า และดูเป็นเฟอร์นิเจอร์กว่า
3. ราคา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ราคาตอนนี้บ้านเรา สุดแสนจะคุ้ม ไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว เมืองนอกขาย 1000-1200 เหรียญ คูณ 36 ก็ประมาณ 36000-43000 ไม่รวมค่านำเข้า ภาษีอะไรอีก นี่บ้านเรามีของเลย มีสต๊อก ซื้อร้านไหนก็ได้ราคาถูกพอๆกับเมืองนอกเลย
ข้อเสีย / จุดด้อย
1. ตัวนี้แอมป์ที่เอามาขับก็มีผลต่อเนื้อเสียงพอควร อย่างที่แจ้งไว้ด้านบนว่าตัวมันเองนะ ชัด เป๋ะ รายละเอียดจ๋า ดังนั้นถ้าเลือก AVR หรือ Pre ที่มีแนวเสียง บาง ชัด รายละเอียดสูงมาจับ บางทีมันยิ่งเพิ่มความสด ชัดเข้าไปอีก ดูหนังก็สนุกดีครับ.. แต่บางทีบางฉากก็บาดหูไป หรือถ้าเอาไปฟังเพลงอาจบาดหูได้ แอมป์ยี่ห้อไหน ปรีตัวไหนเสียงบางไปดูกันเอาเองนะครับ อย่าให้ผมฟันธงในนี้เลย.. เพราะบางทีคนเราชอบไม่เหมือนกัน บางทีผมไม่ชอบแต่ท่านชอบ บางทีผมชอบแต่ท่านไม่ชอบ.. ของแบบนี้แล้วแต่รสนิยมครับ แต่ส่วนตัวที่ไปฟังมา RC-64 II ตัวนี้เป็นเนื้อคู่กับแอมป์ที่เนื้อเสียงหนาๆ ดาร์กหน่อยครับ
2. ตัวใหญ่ หนักมาก 25 กิโล ยกยาก และงานออกแบบตัวตู้เป็นแบบเหลี่ยม มีคม ไม่ได้ลบมุม บางทีตรงมุมมันที่คมๆ ไปโดนอะไรนิดหน่อยก็เป็นรอยได้.. ต้องระวังเป็นพิเศษ ตรงอื่นไม่เป็นอะไรครับ ตัวตู้แข๊งแรงมาก แต่ให้ระวังเฉพาะตรงมุมครับ ถ้าไปโดนอะไรแล้วมันบุบ ซ่อมไม่ได้ครับ
3. หน้ากากเป็นแบบเสียบ ไม่ใช่แบบแม่เหล็ก ตรงนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รุ่นอื่นรุ่นล่างๆเป็นแม่เหล็กหมด แต่ตัวใหญ่ เรือธงทั้ง RF-7 II, RC-64 II ไม่ยอมทำแบบแม่เหล็ก จะเสียบหน้ากากลำโพงต้องเล็งหารูเอา
** ข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆ ตัว RC-64 ii ตัวนี้ผมลองหมุนไปหมุนมา ก็สังเกตเห็นว่า ที่ด้านหลังตัวลำโพง ข้างๆขั้วต่อสายลำโพง มันจะมีเพลทเป็นสติ๊กเกอร์บอกรุ่น บอก Serial number บอกรายละเอียดลำโพงคร่าวๆไว้ ผมก็บังเอิญเหลือไปเห็นว่าตัวนี้มันมีช่องเขียนว่า Tested by แล้วมีลายเซ็นคนเซ็นไว้ด้วย แปลกดี ดูใส่ใจดีครับ เป็นงานแฮนด์เมด ผลิต USA ที่ทำและเทสโดยคน แถมเทสแล้วมีเซ็นต์ไว้ด้วย ใครที่มีลำโพงรุ่นนี้อยู่ที่บ้าน ลองไปชะโงกดูด้านหลังดูสิครับ ว่าของท่านมีลายเซ็นมั๊ย และคนเซ็นนี่คนเดียวกับของผมหรือเปล่า
--------------------------------------------------------------------------
*** รุ่นลำโพงของ Klipsch ที่ผลิตแบบ Hand made และผลิต Made in USA: http://goo.gl/h1USkF
--------------------------------------------------------------------------
บทสรุป
น่าใช้มั๊ย... คนอื่นไม่รู้ แต่ถ้าถามผม ในงบ 4 หมื่นบาท
ในเมืองไทยตอนนี้ นี่คือลำโพงเซ็นเตอร์ที่เสียงดีที่สุด ฟังรื่นหูผม.. ถูกหูผมที่สุด ดูหนังมันที่สุดตัวหนึ่ง.....
เสียงดีกว่านี้มีมั๊ย มีครับ เพิ่มงบไป 6-8 หมื่นเจอแน่นอน แต่หาไม่ได้ในราคา 4 หมื่นหรือต่ำกว่านี่..
อย่าเพิ่งเชื่อผม บางทีคุณอาจไม่ชอบอะไรชัดๆ เป๋ะๆ รายละเอียดสูงแบบนี้ บางทีคุณอาจจะชอบอะไรฟังสบายๆก็ได้
ถ้าคุณชอบดูหนัง ชอบฟังเสียงพูดชัดๆ ชอบฟังรายละเอียด ในขณะที่เสียงเบสก็ต้องแน่นปึ๊ก นี่คือเนื้อคู่ของแผงหน้าใน Home Theater ของคุณครับ แต่ถ้าไม่ชอบอะไรสดๆ ไม่ชอบดีเทลจ๋า... ไม่ชอบเบสหนักเกินไป.... ลองมองหาตัวอื่นครับ
-------------------------------------------------------------------------
สเปกและราคา Klipsch RC-64 ii (Cherry): http://www.whatthatsound.com/product/23/klipsch-reference-rc-64-ii-cherry
สเปกและราคา Klipsch RC-64 ii (Black): http://www.whatthatsound.com/product/22/klipsch-reference-rc-64-ii-black