Emotiva MR1 Review (AV Receiver)
ุ
AVR (AV receiver) เครื่องแรกของค่ายฝั่งอเมริกันอย่าง emotiva นั้นออกแบบมาโดยใช้ลูกผสมในสิ่งที่พวกเขาถนัดและทำอยู่แล้ว นั่นคือหากพิจารณาดูสเปก ตัวถัง และภาคจ่ายไฟ และภาค pre-processor ดีๆแล้ว เราจะพบว่า AVR เครื่องนี้นั้น คือการจับเอา power amp Bas X series มาผสมใส่ในตัวถังเดียวกันกับ MC1 ที่เป็น prepro ของเขาเอง ให้อยู่ภายใต้ตัวถังเดียว แต่ยังคงได้พละกำลังคล้านๆกับ BasX power amp และให้คุณภาพเสียงเหมือนเครื่องเสียงแยกชิ้นโดยใช้ pre MC1 ครับ
ภาค power รองรับการต่อลำโพงได้ 11.2 ch พร้อมๆกัน ให้กำลังขับที่ 100 Watts into 8 ohms | 130 Watts into 4 ohms ที่ 11 Channels Driven พร้อมๆกัน
และ 160 Watts into 8 ohms | 290 Watts into 4 ohms 2 Channels Drivenซึ่งก็จะพอๆกับ Bas X Power Amp แต่ในตัวถังนั้นจะยัดหม้อแปลงเทอรอยด์ตัวใหญ่มากมาให้ ทำให้กำลังเมื่อขับพร้อมๆกันจะยังให้กำลังที่ดีและมากพอสำหรับห้องและลำโพงขนาดทั่วๆไป (100 watt x 11 ch @ 8 ohms)
ซึ่งการบอกสเปกตรงไปตรงมาและละเอียดแบบนี้ดี เพราะถ้าบอก 130 วัตต์แต่วัดที่ 2 ch 6 ohms แล้วถ้าเราต่อ 5 ch ละ จะเหลือเท่าไร่ แล้วถ้าต่อ 11 ch ละจะเท่าไร่ที่ 8 ohms (avr ปกติ วัตต์ที่บอกจะไม่ใช่ all channel เหมือน power amp นะครับ ไม่มียี่ห้อไหนที่บอก all ch ยกเว้น storm ที่ปัจจุบันเลิกทำไปแล้ว)
ถ้าเราเปิดฝาตัวถังของ MR1 ออกเราจะเห็นตัวหม้อแปลงติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าซ้าย หากเราหันหน้าเครื่องเข้าหาตัว ซึ่งมุมนี้จะหนักมากที่สุด การยกจึงต้องระมัดระวังในบริเวณนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งโดยเฉพาะซิสเต็มใดที่นำเข้าไปติดตั้งในแร๊ค
ภาค Pre-Processor ภาค pre รองรับการเชื่อมต่อ external amp ได้ 13.2 ch เป็น RCA และถ้าสังเกตดีๆหากใครมี Emotiva MC1 (Pre-Processor) อยู่ เราจะเห็นว่าภาคปรีนั้นยกมาจาก MC1 ทั้งแผงเลย เริ่มจากแผงขั้วต่อก็ใช้แผง layout แบบเดียวกัน เรียงแบบเดียว หากเราใช้ MC1 อยู่แล้ว และต้องย้ายสายสัญญาณมาเสียบที่ MR1 นั้น ก็ย้ายลงมาตรงๆได้้เลย เพราะการเรียงของช่องสัญญาณต่างๆนั้นคือแบบเดียวกันเลย ดังนั้นจึงมั่นใจว่าตัวแผงวงจรของภาค pre นั้นให้คุณภาพเสียงไม่ต่างไปจากตัว MC1 ที่ตัวบางๆเรียบๆ แต่เอามายัดใส่ใหม่ในตัวถังของ MR1

Design ต้องยอมรับว่าตอนแรกที่เห็นหน้าตาและ Design ของ MR1 ตามงานและภาพที่ปรากฏในเว็บไซต์ต่างๆนั้น ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย เพราะมันดูทื่อๆ แข๊งๆ ใหญ่ๆ ดูไม่สวยงาม ดูบึกบึนก็ไม่มาก ดูเท่ก็ไม่ใช่ แต่หลังจากที่แกะกล่องออกมาดูแล้ว ต้องเรียนตรงๆว่า ตัวจริงนั้นดูดีนะครับโดยเฉพาะด้านหน้า ที่มาพร้อมกับตัวถังแบบ full body ที่ใหญ่โต ดูคล้ายๆกับตัวถังของ XPA Gen3 แต่มีช่องหน้าจอขนาดใหญ่กินเนื้อที่เกือบๆ 80% ของด้านหน้า แล้วมันก็ดูเท่ และดูดิบๆดี คือบอกไม่ถูกเหมือนกัน จะว่า modern ก็ไม่ใช่ (ต้องแบบ gryphon ถึงจะใช้คำว่า modern หรืออวกาศได้เต็มที่) แต่จะดุย้อนยุคก็ไม่เชิง คือมันดูร่วมสมัย เหมือนดีไซน์ของหุ่นยนตร์ญี่ปุ่นสมัยก่อน เพราะนอกจากหน้าจอขนาดใหญ่บึ้มแล้ว ยังมีเส้นไฟ led เล่นกับสายตาลากยาว จากซ้ายไปขวาขวางตัดตลอด ทำให้ยิ่งดูเหมือนหุ่นยนตร์เข้าไปใหญ่ (design ไฟ led แบบนี้จะคล้ายๆกับ audiocontrol mestro x series) ซึ่งตัวจริง ดูดีนะครับ มันดูบึ๊กและแน่น แข๊งแรงดี ตัวเครื่องน้ำหนักก็มากถึง 25 kg
และขั้วต่อด้านหลังในส่วนของ hdmi, preout นั้นเหมือนกับ MC1 ทุกอย่างเลย
และในส่วนของช่องต่อขั้วลำโพงนั้นออกแบบมาค่อนข้างใช้ง่ายเพราะช่องแต่ละช่องถูกจัดวางไว้ห่างกัน เพราะด้วยตัวเครื่องนั้นมีความใหญ่โตและสูงพอสมควร จึงทำให้สามารถจัดวางขั้วต่อได้ง่ายต่อการใช้งาน ไม่เบียดเสียด และเสียบง่าย เพราะมันอยู่ห่างกันพอสมควร สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้ขั้วต่อแบบปากฉลามหรือบานาน่า แต่ใช้แบบการเสียบสายสดๆเข้าเครื่อง ตัวนี้จะทำงานง่ายมากครับ ไม่เหมือน AVR ทั่วๆไปที่ขั้วต่อมันจะอยู่ชิดกันมาก การต่อสายและขันหมุนขั้วให้แน่นทำได้ยาก แต่สำหรับตัวนี้ไม่มีปัญหานั้น

ระบบปฏิบัติการ
ตัว OS และ Software ของ MR1 นั้นจะใช้แบบเดียวกันเป๋ะๆ กับ MC1 หน้าตาเหมือนกันทุกประการ ทำงานเหมือนกัน เร็วและเสถียรพอๆกัน การจับ hdmi และการเปลี่ยน hdmi สามารถทำได้เสถียรและเร็ว การบู๊ทใช้เวลาประมาณ 5-6 วินาที
ส่วนรีโมทคอนโทรลนั้นรุ่น MC1 และ MR1 นั้นใช้แทนกันได้ ใช้ model เดียวกัน เหมือนกันทุกประการ
ซึ่ง OS จะใช้คนละแบบกับที่อยู่ใน XMC2 , RMC1 ที่เป็นรุ่นใหญ่ สิ่งที่แตกต่างก็คือตัว MR1, MC1 จะไม่ได้ Dirac Live แต่จะมี Room Correction พื้นฐานของตัวเองที่ชื่อว่า Emo-Q Automatic Room Correction

ทดลองฟัง
part การทดลองฟังจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่ใช้ AVR ตัวเดียว ใช้ภาค power จากตัว AVR เอง
และอีกส่วนจะเป็นส่วนที่เราอัพเกรดต่อ external power amp เพื่อเพิ่มคุณภาพเสียงของตัว AVR เผื่อในอนาคตผู้ใช้งานมีการขยับขยายลำโพงและต้องการอัพเกรดให้เสียงดีขึ้นไปอีกครับ
1. AVR
เราทดสอบโดยต่อกับ Klipsch Heresy IV, Kef R600C, Klipsch RP600M II , SVS SB3000 โดยใช้ Emotiva MR1 ตัวเดียวในการขับทั้งระบบนี้
ตัวเสปกของกำลังขับของ AVR ตัวนี้นั้นให้กำลังที่ 100 watts RMS / channel @ 8 Ohms ทุกแชนแนลๆแบบต่อพร้อมกันทั้ง 11 chและถ้าต่อ 5 ch จะให้กำลัง 135 watts RMS / channel @ 8 Ohms; โดยไม่มีการลดทอนอะไรลงไปอีกแล้ว นี่คือกำลังดิบๆของตัว AVR ที่ไม่แชร์ให้กับใครอีก เรียกว่าต่อพร้อมกันหมด 11 ch ก็ได้กำลังเท่านี้แหละ และถ้ามันเผอิญลำโพงทุกตัวทำงานพร้อมกันหมดจริงๆ ก็จะได้กำลังการันตีที่ 100 watt 8 ohm ต่างจาก AVR ทั่วๆไปที่มักบอกตัวเลข เช่น 135 watt แต่มักจะวัดที่ 2 ch หรือ 6 ohms ทำให้เวลาต่อใช้งานทุกแชนแนล เช่น 9.1, 11.1 พร้อมกันแล้วกำลังจะลดทอนลงไปมากกว่าตัวเลขที่เคลมไว้ หรือพูดง่ายๆ นี่คือสเปกของ power amp ที่บอกกำลังเพียวๆ ไม่ลดทอนตอนใช้งาน และหากดูดีๆ กำลังของ MR1 นั้น สูงกว่า เรานำเอา Power amp BASX A5 ตัวเดียวมาต่อใช้งานเสียอีก (A5 : ให้กำลังที่ 95 watts RMS per channel) นั้นก็แปลว่า กำลังของ MR1 นั้นไม่ต้องห่วงที่จะใช้กับห้องขนาดเล็กหรือขนาดกลาง และลำโพงในระดับขับไม่ยากไปจนขับยากนิดหน่อย หรือไปจนลำโพง Home cinema ระดับกลางๆ อย่าง M&K, XTZ, Klipsch THX ได้แบบสบายๆครับ จากผลการทดดลองฟังนั้นแนวเสียงที่ได้นั้นต้องบอกว่า ให้เสียงคล้ายคลึงหรือแทบจะถอดแบบมาจาก ปรีรุ่น MC1ที่จับคู่กับ power amp BasX A5, A6 ของเขาเองทุกประการ และพละกำลังนั้นต้องบอกว่าหายห่วง และเหลือเฟือ เพราะลำโพงเรานั้นความไว sensitivity 99 เมื่อเจอปรีและ AVR ที่แมทกับลำโพงแล้ว แถมกำลังขับได้แล้ว ลำโพงก็เหมือนติดปีก แนวเสียงของ Emotiva นั้นให้เอกลักษณ์และเสน่ห์ที่ไม่เหมือนกับ AVR ค่ายญี่ปุ่นตัวไหนๆ เพราะแนวเสียงของพวกเขา ชัดเจน จริงจัง หนักแน่น และให้ detail ที่ดีเป็นจุดเด่น และโดยเฉพาะลูกพั๊นซ์ของเบสที่ควบแน่น กลมดิ๊กและพุ่งใส่เหมือนลูกบอล กระชับเก็บตัว ไม่แผ่ยาน จึงเป็นเสน่ห์ของคนที่รักการดูหนังหลายๆคนชอบ
จุดเด่นอีกอย่างที่อยากจะพุดถึงก็คือ ปกติแล้วเมื่อเราใช้ AVR ทั่วๆไปมาขับ ในย่านที่เร่งเสียงในระดับนึงที่สูงๆแล้ว เราจะรู้สึกว่าเสียงนั้นเจี๊ยวจ๊าว เอะอะ แหลมเริ่มคุมไม่ได้และมีอาการแข๊งกร้าว ในชณะที่เบสก็จะเริ่มมีอาการคุมไม่อยู่ เริ่มยานและย้วย และมากลบรายละเอียด นั่นเป็นเพราะกำลังขับ AVR ไม่สามารถคุมกรวยวูฟเฟอร์ลำโพงได้แล้วจึงเกิดอาการเช่นนั้น
แต่กับ MR1 นั้นเรากลับไม่พบอาการนั้นเมื่อเร่งดังๆ แหลมยังคุมตัวได้ดี ไม่เอะอะแสบหู ในขณะที่เบสนั้นก็เริ่มมีอาการบ้างเป็นปกติของ AVR เกือบทุกตัว แต่อย่างไรก็ยังถือว่าทำได้ดี และในย่านระดับความดังที่ไม่ปกติทั่วไปแบบนี้นั้น ถือว่าทำได้ดีเกินพอแล้วสำหรับ AVR ราคาเท่านี้

2. AVR + External Amp (Emotiva XPA5 Gen3)
หลังจากที่เราลองเล่น AVR ตัวเดียวไปแล้ว ซึ่งเอาจริงๆสำหรับคนทั่วไป ผมว่าก็น่าจะประทับใจและเพียงพอแล้ว แต่พอดีเรามี power amp XPA5 ซึ่งเดิมมันต่ออยู่กับ MC1 อยู่ เราเลยอยากได้ใคร่รู้และซุกซนว่า หากเราเอา MR1 มาต่อกับ XPA5 เสียงมันจะเหมือนหรือลดทอนไปจาก MC1 ต่อกับ XPA5 มากน้อยแค่ไหนกันนะ (Pre+Power vs. AVR+Power)
การต่อไม่มีอะไรยุ่งยากเลย แต่เอาสายสัญญาณมาเสียบที่ช่อง preout ของ MR1 ซึ่งเลย์เอ้าท์การวางตำแหน่งในแต่ละแชนแนลมันยกโคลนกันมาจาก MC1 ต่อตำแหน่งเดียวกันเลย หลังจากนั้นก็ย้ายเอาสายลำโพงมาต่อที่ XPA5 ก็เป็นอันเสร็จ
หลังจากทดลองฟังผมพบว่ารายละเอียดส่วนใหญ่ 95% นั้นทั้งการดูหนัง บรรยากาศ มันเหมือนกับตัว MC1 เกือบจะทุกประการ เพียงแต่ผมไม่กล้าใช้คำว่า 100% เพราะผมก็ยังเชื่อว่าการแยก pre-processor ออกไปและไม่ใช้ตัวถังเดียวร่วมกัน และแยกภาคจ่ายไฟ มันย่อมให้อะไรที่ดีกว่า แต่สิ่งมที่ยืนยันได้แน่นอนก็คือโทนเสียงและบุคคลิคนั้น เหมือนกับเราใช้ MC1 + XPA5 มากๆครับ
แล้วมาถึงตรงนี้ คำถามคือแล้วการที่เราเพิ่ม power amp XPA5 ไปนั้นมันให้อะไรเพิ่มจากตอนแรกที่เราใช้แค่ MR1 ตัวเดียว
คำตอบก็คือ เราได้พละกำลังที่มากขึ้นไปที่ 250 watt x 5 ch ที่ 8 ohm ในตอนที่เร่งเบาๆเราได้ประโยชน์จาก damping factor ของ XPA5 ที่ให้เนื้อเบสที่คุมลำโพงได้ดีกว่า คม กระชับ และส่งผลให้รายละเอียดกลางแหลมเด่นชัดดีขึ้น และรวมไปถึง S/N ratio ของ XPA5 ที่ดีกว่า และจุดนึงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือการคุมดอกลำโพงในตอนที่เร่งดังๆ จากตอนแรกที่มีอาการไม่นิ่งบ้าง หากลำโพงเราขับยากหรือห้องใหญ่ แต่เมื่อได้ power amp เข้ามานั้นเราเห็นได้ชัดว่าเสียงนิ่ง ชัด การแยกแยะรายละเอียดทำได้ดีกว่าเดิมมาก ฟังได้สบายๆ ยิ่งเร่งยิ่งสนุก
ส่วนตัวผมว่า Power Amp, Pre-Processor, AV Receiver ของ emotiva นั้นไปกันได้และแมทชิ่งกันกับลำโพง Klipsch ได้ดีมากๆ รวมไปถึงลำโพง Kef, Paradigm, M&K ที่ถือว่าจับแล้วเสียงดีครับ

ข้อสังเกต
1. ไฟ led ที่เป็นเส้นสีฟ้าหน้าเครื่องนั้นปิดได้นะครับ สามารถปิดให้มืด 100% ไม่มีไฟอะไรเลยก็สามารถทำได้
2. การอัพเดท FW สำหรับตัวนี้นั้นสามารถทำได้โดยใช้ USB นะครับ ไม่สามารถ online update ซึ่งตั้งแต่รุ่น MC1 ออกมานั้นยังไม่มี FW update เลยแม้แต่ครั้งเดียว (ก็อนุมานได้ว่ามันไม่มีบั๊กให้ต้องแก้ไข)
3. Remote ใช้ตัวเดียวกับ MC1 ใช้แทนกันได้เลย 100%
4. รุ่นนี้ผู้ผลิตใส่จุกปิดช่อง hdmi มาให้ทุกช่อง ตั้งแต่ hdmi in 6 ช่อง และ out 2 ช่อง รวมแล้วมีจุดปิดใส่อยู่ 8 ตัว ตอนใช้งานรับรองได้เลยว่าต้องมีหายกันบ้าง
ข้อดี
1. เป็น AVR 11 ch ที่ต่อลำโพงได้ครบ 11 ch ครบโดยยังให้กำลังทุกแชนแนลเต็ม 100 watt ไม่ลดทอน และไม่หารกับใคร
2. ภาคปรี ยกมาจากรุ่น MC1 ทั้งแผง รายละเอียดและแนวเสียงของ MC1 นั้นถือว่าดีในระดับราคานี้มากครับ ไม่สด ไม่ย้วย ดูหนังสนุกตามสไตล์ปรีอเมริกัน
3. การทำงานรวดเร็ว เสถียร การสลับ HDMI นั้นทำได้ไว เร็ว ไม่มีผิดพลาด
4. บอกสเปกตรงไปตรงมาดี ละเอียดว่าถ้าต่อกี่แชนแนลได้กี่วัตต์ ถ้าต่อครบ 11แชนแนลได้เท่าไร่ ทำให้เรารู้ลิมิทของระบบว่าเท่าไหนไหว เท่าไหนไม่น่าจะไหว ซึ่งหลายๆแบรนด์ผู้ผลิต avr ทั้งญี่ปุ่น แคนาดาไม่ค่อยบอกกัน
ข้อเสีย
1. ไม่มี Dirac Live
2. ไม่รองรับ HDMI 2.1 จึงไม่เหมาะสำหรับเกมเมอร์ตาไวที่ชอบภาพ 4k 120 hz
3. Preout ไม่รองรับ XLR (ซึ่งในปัจจุบันผมก็ยังไม่เคยเจอ AVR ตัวไหนในราคาต่ำกว่า 2 แสนตัวไหนมี preout XLR เหมือนกัน)
ส่วนเรื่อง design ตัวเครื่องนั้น อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนชอบ แต่ส่วนตัวที่เห็นงานตัวจริงแล้วผมต้องบอกว่ามันเท่ห์ดี มันดูบึกบึน แข๊งแรง งานประกอบดู build like a tank เครื่องหนักมากๆ

สรุป
สำหรับ Emotiva MR1 นั้นเป็นเครื่อง AV Receiver ที่เหมือนกับว่า Emotiva นำของที่มีและทำได้ดีอยู่แล้ว มาประกอบร่างขึ้นมาใหม่ ภายใต้ตัวถังใหม่ นั้นคือนำ MC1 มาผสมกับ BasX A5 + A6 มาใส่รวมกันกลายเป็น AVR
ซึ่งมันน่าจะเหมาะกับคนที่ไม่ชอบอะไรเยอะๆ หลายๆเครื่อง ต้องมีสายสัญญาณระโยงระยาง แต่ขอแค่มีเครื่องเดียวแล้วจบ ใช้งานง่ายๆ และในขณะเดียวกันก็ชื่นชอบแนวเสียงที่คึกคัก ดูหนังสนุก พละกำลังสูง กว่า AVR ในระดับราคาเดียวกัน ผมว่าตัวนี้ในงบไม่เกินแสน ไม่น่าจะมีตัวไหนกินมันได้แล้ว (ในเรื่องเสียงและพละกำลัง)






