Integra DRX-5.4 - Review
2 ปีที่ผ่านมา
Integra DRX-5.4 - Review
Integra เป็นแบรนด์ที่แตกตัวเองออกมาจากเครือ Onkyo (ปัจจุบันทั้ง Onkyo, Integra, Klipsch นั้นมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของ Voxx)
โดย Integra ตั้งปณิธานว่าจะทำเครื่องเสียงแบบเดียวกับ Onkyo แต่ทำใน segment ที่สูงกว่า นั่นคือจะทำ AV Receiver ที่เป็น Hi-End คุณภาพสูง โดยเลือกใช้อุปกรณ์เกรดสูง ที่ส่งผลให้คุณภาพของเสียงและภาพดีที่สุด รวมถึงอายุการใช้งานที่ทนทานยาวนาน
วันนี้เราได้มีโอกาศทดลอง Integra DRX-5.4 ซึ่งมีสเปกแบบคร่าวๆก็คือเป็น AV Receiver รองรับ 9.2 ch และภาค Pre-Processor รองรับ 11.2 ch ในส่วน preout รองรับช่องต่อเป็น RCA
กำลังขับ 120 watt วัดที่ 2 ch @ 8 ohm
ฟังชั่นอื่นๆนั้นรองรับ Dirac Live แบบ Full Calibrate สามารถใช้งานได้เลยไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มแล้ว
และรองรับ dolby atmos, DTS:X, Dolby Vision, HDR10+, Imax Enhanced และ HDMI 2.1 6 ช่อง input และ HDMI 2.0 1 ช่อง (ด้านหน้าเครื่อง)
ในส่วนของภาค DAC ของ Processor นั้นรุ่นเดิมใช้ AKM แต่รุ่นนี้ทางผู้ผลิตไม่ได้ระบุรุ่นไว้ แต่ใช้คำว่า Dedicated Dac ซึ่งก็เข้าใจว่าคงออกแบบและ customize มาเพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะ (คาดเดา)
การทดสอบจับกับ Klipsch RF-7 III, Kef R600C, Klipsch RP600M II
แยกเป็นเรื่องๆได้ดังนี้
1. Operating System ของตัวเครื่องนั้นจะใช้ระบบและ Software ทุกอย่างเหมือนกับ Onkyo RZ50 ทุกประการ รวมถึง Remote Control ด้วย (ต่างแค่ screen logo ต่างกัน) ดังนั้นการใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าใช้ง่าย สมูธ รวดเร็ว การเปิดปิดเครื่องทำได้เร็ว และการ switch HDMI เร็วและไม่มีปัญหา Handshake กับอุปกรณ์บางตัวเหมือน Pre ญี่ปุ่น การใช้งานง่าย สะดวกตามสไตล์ AVR ญี่ปุ่นทุกประการ แม้กระทั่งบั๊กบางอย่างของ RZ50 ยังติดมาในตัว Integra ด้วย
2. Hardware
อุปกรณ์ภายในนั้นทาง Integra เคลมว่าใช้ของเกรดดีและคุณภาพสูงมาประกอบเพื่อให้ออกมาเป็น AV Receiver ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน เราจะเห็นได้จาระยะเวลารับประกันที่เมืองนอกเคลมว่าตัว Integra รับประกันนานกว่าตัว Onkyo (หมายถึงระยะเวลาประกันของเมืองนอก)
3. การติดตั้ง
ตัวเครื่อง Integra ให้ช่องต่อ Binding post มา 11 คู่ แต่สามารถใช้งานได้จริง 9.2 แชนแนล ส่วนอีก 2 channel สามารถใช้ได้ผ่านทาง Preout โดยใช้ external power amp
layout การวางตำแหน่งขั้วลำโพงทำได้ดี สามารถเสียบใช้งานง่ายเนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดใหญ่และบึกบึนพอสมควร และตัวเครื่องจะให้ preout มาครบ 11 ch แต่เป็น RCA เท่านั้น และรวมถึง subwoofer ที่ให้มาเป็น XLR , RCA
4. Dirac Live
Integra จะให้ Auto Room Correction มาให้เป็น Software ตัวใหม่ นั่นคือ Dirac Live โดยใจป้ำ ให้ license free แบบ Full Version (Cal ได้ทุกย่านความถี่ ซึ่งจะต่างจากบางแบรนด์ที่แม้จะให้ Dirac Live แต่บางครั้งก็ต้องจ่ายเงินซื้อ หรือบางทีให้เป็น Lite Version ที่ cal ได้แค่ 500 Hz มา)
ก่อนทำการทดสอบ เราใช้ Dirac Live Cal ก่อน โดยไมค์ที่แถมมาให้ในกล่องจะเป็นไมค์แบบเดิมที่รูปทรงแบนๆ การจัดวางจึงต้องจัดวางให้ดี อยู่ในระดับหู เพราะบ่อยครั้งที่เราเอาไปวางบนโซฟา จึงทำให้ค่าที่วัดได้ ไม่แม่นยำ และตัวไมค์จะมีประสิทธิภาพจำกัดในระดับนึง ดังนั้นเพื่อความเที่ยงตรง เราจึงใช้ไมค์ Minidsp Umik1 ในการวัดแทน (หาซื้อโดยตรงได้จากเว็บ Mini DSP)
หลังจากแคลแล้ว ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนและเหมือนกับแบรนด์อื่นๆ หลังจากทำเสร็จแล้วก็อย่าลืมเช็คให้เรียบร้อยว่า ทำการ upload ค่าที่ทำแล้วขึ้นไปที่ Integra และเข้าไปดูที่ตัวเครื่องด้วยว่ามีการใช้ Profile EQ ที่เราเพิ่งทำอยู่ตะกี้นี้แล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเครื่องจะ default เป็น manual EQ ปกติ ซึ่ง Integra สามารถทำ Manual EQ ได้ด้วย
(ขั้นตอนการทำ Dirac ขอข้ามไปนะครับ เพราะอธิบายแล้วจะยาวมาก)
5. การทดสอบ
5.1. เราทดสอบโดยต่อกับลำโพง Klipsch RF-7 III, RC-64 III, RP600M II
โดยไม่ใช่ power amp ซึ่งดูจากลำโพงแล้วตึงมากพอสมควร แม้ว่าลำโพง Klipsch จะมีความไวสูง แต่เป็นลำโพงที่มีศักยภาพสูงด้วยเช่นกัน การต่อ AVR เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เสียงดังดี แต่ลำโพงมีศักยภาพไปได้ไกลมาก (ลำโพงไม่ได้ดังดีอย่างเดียวเหมือนที่บางท่านพูดนะครับ ลำโพงแต่ละตัวมีดีของมัน)
หลังจากลองฟัง พบว่าคุณภาพเสียงของภาคจ่ายไฟและภาคปรีของ Integra นั้น ยกระดับขึ้นมาจาก AVR Onkyo RZ50 ที่เราเคยทดสอบใช้กับลำโพงชุดเดียวกันนี้ไปอีกระดับนึงเลย
จุดเด่นคือ รายละเอียดเสียงกลางแหลมที่ดี ให้รายละเอียดีเทลที่ชัดและฟังดี ไม่จัดจ้าน แต่มีรายละเอียดครบในแบบ AVR ดีๆที่พึงจะให้ได้ (รายละเอียดน่าจะพอๆกับ Yamaha)
ส่วนในส่วนของความถี่ต่ำ นั้นให้ปริมาณเบสที่เยอะและสะใจคนชอบเบสและแรงปะทะแน่นอน สำหรับในห้องของเรานั้นต้องปรับลงมาสักนิด เพราะอาจจะไม่ได้ฟังตูมตามมาก แต่ตัว AVR เองนั้นให้คุณภาพและปริมาณความถี่ต่ำที่ดีและหวังผลจริงจังได้เลย แม้ลำโพงจะตัวใหญ่มาก แต่เนื้อเบสที่ได้ก็ถือว่ายังใช้ได้ และที่คาดการณ์ตัวลำโพงแม้จะยังไปได้อีก แต่ที่ฟังด้วย AVR ตัวเดียวตอนนี้ ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ฟังดี และใช้เป็น AVR ตัวเดียวได้โดยไม่ขี้เหร่แต่อย่างใด ถ้าห้องคุณไม่ใหญ่มาก และลำโพงไม่ขับยากมาก รุ่นใหญ่มาก ผมเชื่อว่า AVR ตัวนี้จะทำผลงานออกมาได้ดีกว่านี้มาก
จุดอ่อนก็คือ แม้การฟังจะให้คุณภาพเสียงที่ดีทั้งในแง่ของโดยเฉพาะกลางแหลม และเบส แต่จุดอ่อนของ AVR ทุกตัว เมื่อเจอลำโพงใหญ่ หรือห้องใหญ่ๆ เมื่อเร่งดังมากๆ จะเจอปัญหาเดียวกัน แทบทุกตัว นั่นคือมันฟังแล้วไม่นิ่ง บางตัวแสบหู บางตัวฟังแล้วรู้สึกได้ภึงความเพี้ยน และฟังไม่เพราะเหมือนเร่งระดับเสียงกลางๆ ซึ่งมันเป็นกับทุก AVR ทุกตัวนะครับ
ถ้าให้อธิบายก็เหมือนเสียงนักร้องที่ตะเบ็งมากๆแล้วเรารู้สึกว่าเสียงเขาไม่ไหว เริ่มสั่นพร่าอะไรประมาณนี้ แต่จะเป็นตอนดังมากๆกว่าระดับปกติที่เราฟังกัน เช่นตอนเปิดช่วงเราเมา หรือเปิดตอนที่ calibrator มาเซ็ทระบบ
ดังนั้นกำลังขับของ Integra เพียวๆนั้นต้องยอมรับว่าด้วยสเปกนั้นอาจจะไม่เยอะอะไรมาก แต่พอลองนำมาใช้จริง กำลังขับและกำลังสำรองนั้นทำได้ดี และทำให้เรานึกไปถึงคุณภาพความถี่ต่ำของ Anthem และในขณะเดียวกัน คุณภาพกลางแหลมและการโยนเสียง ก็ทำให้เรานึกไปถึง Yamaha อะไรทำนองนั้นเลยครับ เป็น AVR ที่เชื่อถือและนำมาใช้งานแบบไม่ต้องต่ออะไรเพิ่มได้จริง ในระดับนึง ภายใต้ condition ลำโพงต้องไม่ขับยากมากและห้องไม่ใหญ่จนเกินไปครับ
5.2 การต่อ preout ผ่าน Power Amp
Power ที่เราใช้ เราจะเลือกจากตัวที่เราชอบที่สุดสำหรับงานดูหนัง ซึ่งอาจจะมีหลายตัว ตัวอื่นขอไม่พูดถึงนะครับ ตัวที่เราใช้และชอบมากก็คือ Emotiva ตอนนี้ใช้รุ่น XPA5 Gen3 ให้เนื้อเสียงที่เปิด สว่าง ไม่ทึบ ฟังโอเคและคุ้มตังที่สุดในช่วงราคานี้แล้ว และเป็นแบรนด์ที่ฝรั่งชอบนำมาแมทชิ่งกับลำโพง Klipsch ที่สุดตัวนึงด้วย
จากการต่อ power amp และลองฟังใหม่ สิ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนก็คือคุณภาพเสียงในย่านกลางต่ำ หรือเบสนั่นเองที่ตัว power ช่วยคุมให้เบสมีเนื้อเสียงที่กระชับ คม เก็บตัวดีขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่เบสมีปริมาณเยอะ แต่ยังเก็บตัวช้า และมีลูกแผ่และคุมพลังงานได้ไม่ดีพอ มีลูกแผ่ๆลงพื้นและตีขึ้นหน้า รบกวนรายละเอียดกลางแหลมอยู่ แต่หลังจากฟังผ่าน preout ของ Integra แล้วต้องบอกว่า ความถี่ต่ำ คมขึ้น ไดนามิคดีขึ้น ชัดขึ้น เบสเป็นตัวเป็นตนมากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งส่งผลให้รายละเอียดในย่านอื่นๆนั้นฟังดีขึ้นยกระดับตามไปด้วย ซึ่งสาเหตุก็อธิบายได้ เพราะ Damping Factor ของ AVR นั้นมีค่าที่น้อยกว่า Damping ของตัว Power amp แยก (ตัว emotiva > 500) พอค่า Damping Factor มาก ก็ทำให้คุมความถี่ต่ำที่สั่นค้างไม่ยอมหยุดจากดอกลำโพงได้ดี และกระชับ และส่งผลถึงการไม่ไปกวนย่านความถี่อื่นๆนั่นเองครับ
เราจะเห็นว่าบางครั้งเราเคยได้ยิน เบสที่ครางๆ ช้าๆ หรือลงพื้นแล้วแผ่สั่นไปทั้งห้อง ซึ่งในวงการอื่นๆอาจจะใช้คำว่าเบสลงพื้น แต่จริงๆอาการแบบนี้เป็นเบสที่ควบคุมได้ไม่ดีพอจากตัวแอมป์ที่นำมาขับ หรือลำโพงดอกใหญ่ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ไม่ดีนัก แต่ก็เป็น color อย่างนึงครับ เราจะเจอในแอมป์ vintage หรือ tube amp ฝรั่งใช้คำว่า (more bass but lack of contour ก็คือปริมาณนะเยอะจริง ฟังนุ่มนวล และได้ปริมาณ แต่ไม่รับรู้ถึงรายละเอียดและทรวดทรงของความถี่ต่ำ ซึ่งจะฟังกับเพลงช้าๆแนวเก่าๆ หรือ vocal ดีเพราะมีความถี่ต่ำคลอไปตลอดเพลง แต่สำหรับภาพยนตร์แล้วถือว่าไม่ดีและไม่เที่ยงตรงตามที่บันทึกมา)
ในขณะฟังในระดับเสียงไม่ดังนั้นสิ่งที่ดีขึ้นชัดเจนก็คือความถี่ต่ำ แต่ในขณะที่ฟังในระดับที่ดังขึ้น หรือที่ระดับที่เคยฟังด้วย AVR ปกติแล้วรู้สึกว่าไม่นิ่ง นักร้องดูลนๆ หรือเสียงดูแปร่งๆ แสบหู
ตอนนี้ในย่านแหลมนั้นทำได้ดีขึ้นมาก ชัด รายละเอียดดี ฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามันไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ล้าหู และเปิดได้ดังขึ้นโดยไม่รู้สึกหนวกหูครับ
คุณภาพของ Preout หรือภาค Pre-Processor ที่ใส่อยู่ในเครื่องนั้น พิสูจน์แล้วตั้งแต่ตอนใช้ AVR ตัวเดียวว่า ให้คุณภาพเสียง รวมถึงรายละเอียดได้ดีเหนือกว่า AVR ค่ายญี่ปุ่นตัวอื่นๆที่เราเคยลอง ซึ่งหมายรวมไปถึง Onkyo RZ50 ตัวเดิมที่เราเคยทดสอบด้วย ซึ่งถือว่าคุณภาพภาคปรี ในการใช้งานไม่ว่าจะเป็น AVR ตัวเดียว หรือต่อผ่าน Preout ไป External Power amp นั้นถือว่าทำได้ดีและอยู่ในระดับบนๆของ AVR ในช่วงราคาไม่เกิน 1 แสนบาทครับ
5.3 คุณภาพของการแสดงผลทางด้านภาพ ตัวเครื่องรองรับ HDMI2.1 สามารถนำไปต่อใช้งานกับ Xbox Seriesx หรือ Ps5 เพื่อทดสอบภาพแบบ 4K 120Hz ได้ ซึ่งจากที่เราทดลองใช้งานดู ก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไร ภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ใช้งานได้สมูธ การย้าย HDMI ทำได้ smooth และเร็วดี คุณภาพภาพสวย แสดงผลได้ดี
บทสรุป
Integra DRX5.4 เป็น AVR ในระดับ Mid-End ค่อนไปทางบน ที่ให้คุณภาพแทบจะขี่คอกับ AVR ค่ายอเมริกา, ยุโรปบางค่าย แต่ให้คุณสมบัติที่เล่นง่าย ไม่มีปัญหา hand shake กับอุปกรณ์บางตัว หรือมีความยุ่งยากกับการเชื่อมต่อ ARC, eARC เหมือน AVR ค่ายฝรั่ง
ซึ่งไม่ว่าจะใช้งานเป็น AVR ตัวเดียว หรือนำไปเพิ่ม power amp นั้นก็ให้คุณภาพการใช้งานที่อยู่ในระดับที่ดี และน่าใช้ ทั้งในเรื่องการใช้งานและคุณภาพของภาพและเสียง
ดังนั้นหากใครมองหา AVR ดีๆสักตัว ใช้ไปยาวๆ และรองรับอนาคตได้ ตัว Integra ก็เป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจ เพราะตัวเครื่องทั้งงานประกอบ อุปกรณ์ภายใน การใช้งาน และเสียงที่ได้ รวมถึงการรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายและศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐานในบ้านเรานั้น ค่อนข้างคุ้มค่ากับราคาค่าตัวที่จ่ายไปทีเดียวครับ
Integra DRX5.4 เหมาะกับใคร
1. เหมาะกับคนที่เน้นใช้งาน ARC/ eARC เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า ฟีเจอร์นี้ไม่สมบูรณ์และไม่สมูธกับทีวีทุกรุ่น และโดยเฉพาะค่ายผู้ผลิต AVR/ PreProcesser จากยุโรปหรืออเมริกา แต่สำหรับค่ายญี่ปุ่นแล้ว ถือว่าทำได้ดี
2. เหมาะกับคนที่ต้องการ AVR ตัวเดียวจบ ไม่พ่วงอะไรแล้ว
3. เหมาะกับคนที่ต้องการ AVR ที่มีงานประกอบดูดี แน่นหนาแข๊งแรง ทนทาน (ฝรั่งใช้คำว่า Built like a tank)
หมายเหตุ: ความร้อนของตัวเครื่องวัดจากการนำไปไว้ในแร๊คแล้ว ตัวเครื่องมีความร้อนในระดับปกติเหมือน AVR ญี่ปุ่นที่เคยใช้แบรนด์อื่นๆ นั้นคือร้อนเป็นปกติ เพราะตัวเครื่องมีการรวมภาค Amplifier และภาค Pre-Processor เข้าไว้ด้วยกัน (เคยจับของแบรนด์อื่นก็ร้อนประมาณนี้)
ขอบคุณครับ
Integra เป็นแบรนด์ที่แตกตัวเองออกมาจากเครือ Onkyo (ปัจจุบันทั้ง Onkyo, Integra, Klipsch นั้นมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของ Voxx)
โดย Integra ตั้งปณิธานว่าจะทำเครื่องเสียงแบบเดียวกับ Onkyo แต่ทำใน segment ที่สูงกว่า นั่นคือจะทำ AV Receiver ที่เป็น Hi-End คุณภาพสูง โดยเลือกใช้อุปกรณ์เกรดสูง ที่ส่งผลให้คุณภาพของเสียงและภาพดีที่สุด รวมถึงอายุการใช้งานที่ทนทานยาวนาน
วันนี้เราได้มีโอกาศทดลอง Integra DRX-5.4 ซึ่งมีสเปกแบบคร่าวๆก็คือเป็น AV Receiver รองรับ 9.2 ch และภาค Pre-Processor รองรับ 11.2 ch ในส่วน preout รองรับช่องต่อเป็น RCA
กำลังขับ 120 watt วัดที่ 2 ch @ 8 ohm
ฟังชั่นอื่นๆนั้นรองรับ Dirac Live แบบ Full Calibrate สามารถใช้งานได้เลยไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มแล้ว
และรองรับ dolby atmos, DTS:X, Dolby Vision, HDR10+, Imax Enhanced และ HDMI 2.1 6 ช่อง input และ HDMI 2.0 1 ช่อง (ด้านหน้าเครื่อง)
ในส่วนของภาค DAC ของ Processor นั้นรุ่นเดิมใช้ AKM แต่รุ่นนี้ทางผู้ผลิตไม่ได้ระบุรุ่นไว้ แต่ใช้คำว่า Dedicated Dac ซึ่งก็เข้าใจว่าคงออกแบบและ customize มาเพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะ (คาดเดา)
การทดสอบจับกับ Klipsch RF-7 III, Kef R600C, Klipsch RP600M II
แยกเป็นเรื่องๆได้ดังนี้
1. Operating System ของตัวเครื่องนั้นจะใช้ระบบและ Software ทุกอย่างเหมือนกับ Onkyo RZ50 ทุกประการ รวมถึง Remote Control ด้วย (ต่างแค่ screen logo ต่างกัน) ดังนั้นการใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าใช้ง่าย สมูธ รวดเร็ว การเปิดปิดเครื่องทำได้เร็ว และการ switch HDMI เร็วและไม่มีปัญหา Handshake กับอุปกรณ์บางตัวเหมือน Pre ญี่ปุ่น การใช้งานง่าย สะดวกตามสไตล์ AVR ญี่ปุ่นทุกประการ แม้กระทั่งบั๊กบางอย่างของ RZ50 ยังติดมาในตัว Integra ด้วย
2. Hardware
อุปกรณ์ภายในนั้นทาง Integra เคลมว่าใช้ของเกรดดีและคุณภาพสูงมาประกอบเพื่อให้ออกมาเป็น AV Receiver ที่มีคุณภาพสูง ทนทาน เราจะเห็นได้จาระยะเวลารับประกันที่เมืองนอกเคลมว่าตัว Integra รับประกันนานกว่าตัว Onkyo (หมายถึงระยะเวลาประกันของเมืองนอก)
3. การติดตั้ง
ตัวเครื่อง Integra ให้ช่องต่อ Binding post มา 11 คู่ แต่สามารถใช้งานได้จริง 9.2 แชนแนล ส่วนอีก 2 channel สามารถใช้ได้ผ่านทาง Preout โดยใช้ external power amp
layout การวางตำแหน่งขั้วลำโพงทำได้ดี สามารถเสียบใช้งานง่ายเนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดใหญ่และบึกบึนพอสมควร และตัวเครื่องจะให้ preout มาครบ 11 ch แต่เป็น RCA เท่านั้น และรวมถึง subwoofer ที่ให้มาเป็น XLR , RCA
4. Dirac Live
Integra จะให้ Auto Room Correction มาให้เป็น Software ตัวใหม่ นั่นคือ Dirac Live โดยใจป้ำ ให้ license free แบบ Full Version (Cal ได้ทุกย่านความถี่ ซึ่งจะต่างจากบางแบรนด์ที่แม้จะให้ Dirac Live แต่บางครั้งก็ต้องจ่ายเงินซื้อ หรือบางทีให้เป็น Lite Version ที่ cal ได้แค่ 500 Hz มา)
ก่อนทำการทดสอบ เราใช้ Dirac Live Cal ก่อน โดยไมค์ที่แถมมาให้ในกล่องจะเป็นไมค์แบบเดิมที่รูปทรงแบนๆ การจัดวางจึงต้องจัดวางให้ดี อยู่ในระดับหู เพราะบ่อยครั้งที่เราเอาไปวางบนโซฟา จึงทำให้ค่าที่วัดได้ ไม่แม่นยำ และตัวไมค์จะมีประสิทธิภาพจำกัดในระดับนึง ดังนั้นเพื่อความเที่ยงตรง เราจึงใช้ไมค์ Minidsp Umik1 ในการวัดแทน (หาซื้อโดยตรงได้จากเว็บ Mini DSP)
หลังจากแคลแล้ว ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนและเหมือนกับแบรนด์อื่นๆ หลังจากทำเสร็จแล้วก็อย่าลืมเช็คให้เรียบร้อยว่า ทำการ upload ค่าที่ทำแล้วขึ้นไปที่ Integra และเข้าไปดูที่ตัวเครื่องด้วยว่ามีการใช้ Profile EQ ที่เราเพิ่งทำอยู่ตะกี้นี้แล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเครื่องจะ default เป็น manual EQ ปกติ ซึ่ง Integra สามารถทำ Manual EQ ได้ด้วย
(ขั้นตอนการทำ Dirac ขอข้ามไปนะครับ เพราะอธิบายแล้วจะยาวมาก)
5. การทดสอบ
5.1. เราทดสอบโดยต่อกับลำโพง Klipsch RF-7 III, RC-64 III, RP600M II
โดยไม่ใช่ power amp ซึ่งดูจากลำโพงแล้วตึงมากพอสมควร แม้ว่าลำโพง Klipsch จะมีความไวสูง แต่เป็นลำโพงที่มีศักยภาพสูงด้วยเช่นกัน การต่อ AVR เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เสียงดังดี แต่ลำโพงมีศักยภาพไปได้ไกลมาก (ลำโพงไม่ได้ดังดีอย่างเดียวเหมือนที่บางท่านพูดนะครับ ลำโพงแต่ละตัวมีดีของมัน)
หลังจากลองฟัง พบว่าคุณภาพเสียงของภาคจ่ายไฟและภาคปรีของ Integra นั้น ยกระดับขึ้นมาจาก AVR Onkyo RZ50 ที่เราเคยทดสอบใช้กับลำโพงชุดเดียวกันนี้ไปอีกระดับนึงเลย
จุดเด่นคือ รายละเอียดเสียงกลางแหลมที่ดี ให้รายละเอียดีเทลที่ชัดและฟังดี ไม่จัดจ้าน แต่มีรายละเอียดครบในแบบ AVR ดีๆที่พึงจะให้ได้ (รายละเอียดน่าจะพอๆกับ Yamaha)
ส่วนในส่วนของความถี่ต่ำ นั้นให้ปริมาณเบสที่เยอะและสะใจคนชอบเบสและแรงปะทะแน่นอน สำหรับในห้องของเรานั้นต้องปรับลงมาสักนิด เพราะอาจจะไม่ได้ฟังตูมตามมาก แต่ตัว AVR เองนั้นให้คุณภาพและปริมาณความถี่ต่ำที่ดีและหวังผลจริงจังได้เลย แม้ลำโพงจะตัวใหญ่มาก แต่เนื้อเบสที่ได้ก็ถือว่ายังใช้ได้ และที่คาดการณ์ตัวลำโพงแม้จะยังไปได้อีก แต่ที่ฟังด้วย AVR ตัวเดียวตอนนี้ ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ฟังดี และใช้เป็น AVR ตัวเดียวได้โดยไม่ขี้เหร่แต่อย่างใด ถ้าห้องคุณไม่ใหญ่มาก และลำโพงไม่ขับยากมาก รุ่นใหญ่มาก ผมเชื่อว่า AVR ตัวนี้จะทำผลงานออกมาได้ดีกว่านี้มาก
จุดอ่อนก็คือ แม้การฟังจะให้คุณภาพเสียงที่ดีทั้งในแง่ของโดยเฉพาะกลางแหลม และเบส แต่จุดอ่อนของ AVR ทุกตัว เมื่อเจอลำโพงใหญ่ หรือห้องใหญ่ๆ เมื่อเร่งดังมากๆ จะเจอปัญหาเดียวกัน แทบทุกตัว นั่นคือมันฟังแล้วไม่นิ่ง บางตัวแสบหู บางตัวฟังแล้วรู้สึกได้ภึงความเพี้ยน และฟังไม่เพราะเหมือนเร่งระดับเสียงกลางๆ ซึ่งมันเป็นกับทุก AVR ทุกตัวนะครับ
ถ้าให้อธิบายก็เหมือนเสียงนักร้องที่ตะเบ็งมากๆแล้วเรารู้สึกว่าเสียงเขาไม่ไหว เริ่มสั่นพร่าอะไรประมาณนี้ แต่จะเป็นตอนดังมากๆกว่าระดับปกติที่เราฟังกัน เช่นตอนเปิดช่วงเราเมา หรือเปิดตอนที่ calibrator มาเซ็ทระบบ
ดังนั้นกำลังขับของ Integra เพียวๆนั้นต้องยอมรับว่าด้วยสเปกนั้นอาจจะไม่เยอะอะไรมาก แต่พอลองนำมาใช้จริง กำลังขับและกำลังสำรองนั้นทำได้ดี และทำให้เรานึกไปถึงคุณภาพความถี่ต่ำของ Anthem และในขณะเดียวกัน คุณภาพกลางแหลมและการโยนเสียง ก็ทำให้เรานึกไปถึง Yamaha อะไรทำนองนั้นเลยครับ เป็น AVR ที่เชื่อถือและนำมาใช้งานแบบไม่ต้องต่ออะไรเพิ่มได้จริง ในระดับนึง ภายใต้ condition ลำโพงต้องไม่ขับยากมากและห้องไม่ใหญ่จนเกินไปครับ
5.2 การต่อ preout ผ่าน Power Amp
Power ที่เราใช้ เราจะเลือกจากตัวที่เราชอบที่สุดสำหรับงานดูหนัง ซึ่งอาจจะมีหลายตัว ตัวอื่นขอไม่พูดถึงนะครับ ตัวที่เราใช้และชอบมากก็คือ Emotiva ตอนนี้ใช้รุ่น XPA5 Gen3 ให้เนื้อเสียงที่เปิด สว่าง ไม่ทึบ ฟังโอเคและคุ้มตังที่สุดในช่วงราคานี้แล้ว และเป็นแบรนด์ที่ฝรั่งชอบนำมาแมทชิ่งกับลำโพง Klipsch ที่สุดตัวนึงด้วย
จากการต่อ power amp และลองฟังใหม่ สิ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนก็คือคุณภาพเสียงในย่านกลางต่ำ หรือเบสนั่นเองที่ตัว power ช่วยคุมให้เบสมีเนื้อเสียงที่กระชับ คม เก็บตัวดีขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่เบสมีปริมาณเยอะ แต่ยังเก็บตัวช้า และมีลูกแผ่และคุมพลังงานได้ไม่ดีพอ มีลูกแผ่ๆลงพื้นและตีขึ้นหน้า รบกวนรายละเอียดกลางแหลมอยู่ แต่หลังจากฟังผ่าน preout ของ Integra แล้วต้องบอกว่า ความถี่ต่ำ คมขึ้น ไดนามิคดีขึ้น ชัดขึ้น เบสเป็นตัวเป็นตนมากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งส่งผลให้รายละเอียดในย่านอื่นๆนั้นฟังดีขึ้นยกระดับตามไปด้วย ซึ่งสาเหตุก็อธิบายได้ เพราะ Damping Factor ของ AVR นั้นมีค่าที่น้อยกว่า Damping ของตัว Power amp แยก (ตัว emotiva > 500) พอค่า Damping Factor มาก ก็ทำให้คุมความถี่ต่ำที่สั่นค้างไม่ยอมหยุดจากดอกลำโพงได้ดี และกระชับ และส่งผลถึงการไม่ไปกวนย่านความถี่อื่นๆนั่นเองครับ
เราจะเห็นว่าบางครั้งเราเคยได้ยิน เบสที่ครางๆ ช้าๆ หรือลงพื้นแล้วแผ่สั่นไปทั้งห้อง ซึ่งในวงการอื่นๆอาจจะใช้คำว่าเบสลงพื้น แต่จริงๆอาการแบบนี้เป็นเบสที่ควบคุมได้ไม่ดีพอจากตัวแอมป์ที่นำมาขับ หรือลำโพงดอกใหญ่ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ไม่ดีนัก แต่ก็เป็น color อย่างนึงครับ เราจะเจอในแอมป์ vintage หรือ tube amp ฝรั่งใช้คำว่า (more bass but lack of contour ก็คือปริมาณนะเยอะจริง ฟังนุ่มนวล และได้ปริมาณ แต่ไม่รับรู้ถึงรายละเอียดและทรวดทรงของความถี่ต่ำ ซึ่งจะฟังกับเพลงช้าๆแนวเก่าๆ หรือ vocal ดีเพราะมีความถี่ต่ำคลอไปตลอดเพลง แต่สำหรับภาพยนตร์แล้วถือว่าไม่ดีและไม่เที่ยงตรงตามที่บันทึกมา)
ในขณะฟังในระดับเสียงไม่ดังนั้นสิ่งที่ดีขึ้นชัดเจนก็คือความถี่ต่ำ แต่ในขณะที่ฟังในระดับที่ดังขึ้น หรือที่ระดับที่เคยฟังด้วย AVR ปกติแล้วรู้สึกว่าไม่นิ่ง นักร้องดูลนๆ หรือเสียงดูแปร่งๆ แสบหู
ตอนนี้ในย่านแหลมนั้นทำได้ดีขึ้นมาก ชัด รายละเอียดดี ฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามันไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ล้าหู และเปิดได้ดังขึ้นโดยไม่รู้สึกหนวกหูครับ
คุณภาพของ Preout หรือภาค Pre-Processor ที่ใส่อยู่ในเครื่องนั้น พิสูจน์แล้วตั้งแต่ตอนใช้ AVR ตัวเดียวว่า ให้คุณภาพเสียง รวมถึงรายละเอียดได้ดีเหนือกว่า AVR ค่ายญี่ปุ่นตัวอื่นๆที่เราเคยลอง ซึ่งหมายรวมไปถึง Onkyo RZ50 ตัวเดิมที่เราเคยทดสอบด้วย ซึ่งถือว่าคุณภาพภาคปรี ในการใช้งานไม่ว่าจะเป็น AVR ตัวเดียว หรือต่อผ่าน Preout ไป External Power amp นั้นถือว่าทำได้ดีและอยู่ในระดับบนๆของ AVR ในช่วงราคาไม่เกิน 1 แสนบาทครับ
5.3 คุณภาพของการแสดงผลทางด้านภาพ ตัวเครื่องรองรับ HDMI2.1 สามารถนำไปต่อใช้งานกับ Xbox Seriesx หรือ Ps5 เพื่อทดสอบภาพแบบ 4K 120Hz ได้ ซึ่งจากที่เราทดลองใช้งานดู ก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไร ภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ใช้งานได้สมูธ การย้าย HDMI ทำได้ smooth และเร็วดี คุณภาพภาพสวย แสดงผลได้ดี
บทสรุป
Integra DRX5.4 เป็น AVR ในระดับ Mid-End ค่อนไปทางบน ที่ให้คุณภาพแทบจะขี่คอกับ AVR ค่ายอเมริกา, ยุโรปบางค่าย แต่ให้คุณสมบัติที่เล่นง่าย ไม่มีปัญหา hand shake กับอุปกรณ์บางตัว หรือมีความยุ่งยากกับการเชื่อมต่อ ARC, eARC เหมือน AVR ค่ายฝรั่ง
ซึ่งไม่ว่าจะใช้งานเป็น AVR ตัวเดียว หรือนำไปเพิ่ม power amp นั้นก็ให้คุณภาพการใช้งานที่อยู่ในระดับที่ดี และน่าใช้ ทั้งในเรื่องการใช้งานและคุณภาพของภาพและเสียง
ดังนั้นหากใครมองหา AVR ดีๆสักตัว ใช้ไปยาวๆ และรองรับอนาคตได้ ตัว Integra ก็เป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจ เพราะตัวเครื่องทั้งงานประกอบ อุปกรณ์ภายใน การใช้งาน และเสียงที่ได้ รวมถึงการรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายและศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐานในบ้านเรานั้น ค่อนข้างคุ้มค่ากับราคาค่าตัวที่จ่ายไปทีเดียวครับ
Integra DRX5.4 เหมาะกับใคร
1. เหมาะกับคนที่เน้นใช้งาน ARC/ eARC เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า ฟีเจอร์นี้ไม่สมบูรณ์และไม่สมูธกับทีวีทุกรุ่น และโดยเฉพาะค่ายผู้ผลิต AVR/ PreProcesser จากยุโรปหรืออเมริกา แต่สำหรับค่ายญี่ปุ่นแล้ว ถือว่าทำได้ดี
2. เหมาะกับคนที่ต้องการ AVR ตัวเดียวจบ ไม่พ่วงอะไรแล้ว
3. เหมาะกับคนที่ต้องการ AVR ที่มีงานประกอบดูดี แน่นหนาแข๊งแรง ทนทาน (ฝรั่งใช้คำว่า Built like a tank)
หมายเหตุ: ความร้อนของตัวเครื่องวัดจากการนำไปไว้ในแร๊คแล้ว ตัวเครื่องมีความร้อนในระดับปกติเหมือน AVR ญี่ปุ่นที่เคยใช้แบรนด์อื่นๆ นั้นคือร้อนเป็นปกติ เพราะตัวเครื่องมีการรวมภาค Amplifier และภาค Pre-Processor เข้าไว้ด้วยกัน (เคยจับของแบรนด์อื่นก็ร้อนประมาณนี้)
ขอบคุณครับ
integra, integra drx 5.4, Anthem, Yamaha, Onkyo, integra drx5.4, avr, av receiver, Receiver, Power, Klipsch
สินค้าในตะกร้า ({{total_num}} รายการ)
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง
➜ เลือกซื้อสินค้าเพิ่ม