Damping Factor

ค่านี้หลายๆท่านมองว่าเยอะดี บางคนว่าไม่จำเป็นต้องเยอะจะฟังดีกว่า ซึ่งส่วนตัวผมนั่งอ่าน article (ฝรั่ง) เยอะมาก และได้ซึมซับความเห็นทั้งสองด้านว่า ใน power amplifier ทั้งดูหนังและสำหรับ stereo ฟังเพลงนั้น หลายๆตัวที่แพงระดับหลายแสนหรือเป็นล้าน ค่านี้ก็ไม่ได้เยอะอะไร
แต่แอมป์แพงๆบางตัวก็ให้ค่า damping สูงมากๆ ซึ่งก็ยังฟังดี
คำตอบคือตัวเลขในกระดาษอาจจะไม่สามารถบอกแนวเสียงที่ผู้ผลิตต้องการให้ออกมาได้ บางทีค่าต่ำแต่จูนมาดี ก็ออกมาไม่ย้วย แต่บางทีค่าสูงแล้วออกแบบวงจรมายอดเยี่ยมก็ฟังแล้วนุ่มนวลไม่ขาดเบสได้
แต่ในทางทฤษฐีแล้วค่า Damping ต่ำๆเนี่ย มักจะให้แนวเสียงที่เบสเต็มอิ่ม หรือ หนา รู้สึกว่าเบส fill กระจายเต็มห้อง หรือที่นักเล่น 2 ch (สมัยก่อน) เขามักใช้คำว่า เบสลงพื้น และให้เบสลูกใหญ่ อิ่มกระจายแผ่ซ่าน แต่ขาดความกระชับและเป็นลูก เสียงฟาดหนังกลองก็จะเหมือนหนังกลองไม่ตึงแล้วมีพลังงานค้างอยู้ในห้องสักระยะนึงเป็นหางเสียงของเบส ซึ่งมาจากการที่ damping คุมลำโพงการหยุดของวูฟเฟอร์ได้ไม่ดีพอ จึงทำให้เสียงเบสยังมีความถี่ปล่อยออกมาต่อ ซึ่งฝรั่งบางคนเขาก็จะใช้คำว่า fully bass reproduced but lack of contour คือเบสเยอะเต็มอิ่ม แต่ไม่เป็นตัวเป็นตน

ซึ่งเบสแนวๆนี้ก็จะเป็นเบสแบบที่คนไทยและคนเอเชียชอบ เพราะฟังแล้วอิ่มหนา สบายหู แต่ข้อเสียก็จะเป็นที่บางที่ย่านเบสก็จะมากวนย่านกลางแหลมบ้างฟังแล้วจากเพลงที่บันทึกมาควรจะ transparent ก็จะกลายเป็นอิ่มหนา หรือ warm ซึ่งเป็น color ที่ถ้าชอบก็ดี แต่ถ้าแอมป์ที่เที่ยงตรงมากๆ มักจะไม่เกิดแบบนี้
แต่ตรงกันข้ามหาก damping มันสูงเกินไปมากๆ เบสมันก็จะเหมือนฟาดหนังกลองเป็นลูกๆอยู่ตลอดเวลา เบสจะหลุดออกมากลมๆ ประทะอก แสดงตำแหน่งได้ชัดว่าเสียงฟาดตรงนี้มันเกิดตรงไหนของเวที ไมใช่เบสฉ่ำๆกระจายไปทั่วห้อง
ซึ่งทั่วๆไปแล้วมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็กล่าวไปแล้ว แต่ข้อเสียก็คือฟังแล้วบางทีมันห้วน ไร้ชีวิตชีวา แห้งแล้ว lifeless และบางคนก็บอกว่ามันลามไปถึงขาดความเป็น musical ไม่ analog อะไรไปเรื่อยเปื่อย
* คำว่า analog ผมเดาว่าคงเป็น color เสียงแบบเครื่องเสียงยุคเก่า เช่นแอมป์หลอด แอมป์วินเทจ ที่มีความเพี้ยน แต่ฟังเพราะ หวานหู ไม่ชัดไปหมดเหมือนเสียง digital source ที่ความเพี้ยนแทบจะวัดค่าไม่ได้แล้วในสมัยนี้

ซึ่งส่วนใหญ่แอมป์ที่ให้ damping น้อย ก็จะพบเจอในภาคขยายของ AVR แทบทุกยี่ห้อ ส่วนใหญ่จะให้ 100-250 ไม่เกินนี้
และในบรรดาแอมป์หลอดทั้งหลายก็จะให้ damping น้อยเชนกัน
ในทางตรงกันข้าม damping สูงๆเรามักจะเจอเครื่องเสียง Pro หรือ professional ในงานแสดงคอนเสิรต์ (เนื่องจากต้องการความเที่ยงตรงและถ่ายทอดเสียงดนตรีจากนักดนตรีให้ถูกต้องที่สุด) และแอมป์บ้านบางตัวก็ให้ damping สูงมากๆ เช่น Hegel H390, H590 ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ 4000
แต่เท่าที่ลองฟังเบสก็ไม่ได้รู้สึกว่าแห้งแต่ประการใด
และในแอมป์ Digital หรือ Class D ส่วนใหญ่ก็ให้ Damping ที่สูง แต่ก็มีข้อยกเว้นบ้าง เช่น Benchmark AHB2 ที่ให้ damping ต่ำในระดับพอๆกับแอมป์วินเทจ
ซึ่งการเลือก power amp หรืออุปกรณ์ที่มีภาคขยายอยู่ในตัวเช่น Int amp, AVR นั้น การดูสเปกในส่วนนี้ก็บอกรายละเอียดได้คร่าวๆ แต่สุดท้ายก็อาจจะไม่เป็นตามนั้น เพราะเสียงที่ได้มีปัจจัยหลายอย่าง แอมป์บางตัวจับกับชุดนึงเสียงแย่มาก แต่พอไปจับกับลำโพงอื่นดันเสียงดีมาก หรือต่างห้องกันก็ต่างเสียงกัน
แอดมินเคยเจอแอมป์ Hypex N-core ของ HT อยู่ตัวนึงที่สเปกความเพี้ยนต่ำมากๆระดับ top 10 ในเว็บ audiosciencreviews แต่เป็นแอมป์ที่แอดมินฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบ ซึ่งก็เพราะค่าเหล่านี้มันบอกสเปกทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้บอกว่าความรู้สึก ความชอบ รสนิยมที่ต่างกันไปในแต่ละคนของเรานั้น จะชอบหรือไม่
ในส่วนตัวผมมีความเห็นสั้นๆว่า แอดให้ความสำคัญกับ Tonal Balance และ Detail / Transparent มากที่สุด มากกว่า Image soundstage เวทีลึกตื้นใหญ่ noise ต่ำ เพราะถึงสเปกจะสูงเพียงไร เวทีจะกว้างแต่ไหน แต่ถ้าโทนัลบาล้านมันไม่ได้ เช่น เบสมันเยอะไป หรือแหลมมันกุด detail ไม่มี ฟังแล้ว muddy สุดๆ เราก็ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้วละครับ
แอมป์ตัวนั้นที่แอดมินฟังแล้วไม่ชอบ ก็เข้าข่ายว่ามัน muddy ท้วมและอวบไปนี่ละครับ ทั้งๆที่ความเพี้ยนมันต่ำมาก แต่ tonal balance หรือแนวเสียงมันไม่ได้ มันก็คือไม่ได้ครับ
เหมือนที่เราบอกว่า วัตต์ถึงเยอะแค่ไหน แต่ถ้าวัตต์แรกเสียงมันไม่ได้ วัตต์ที่เหลือมันก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปครับผม

