Audiocontrol Maestro X7 - Review
4 ปีที่ผ่านมา
Audiocontrol Maestro X7 - Review
Audiocontrol เป็นบริษัทอเมริกันที่ลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องเสียงหลากหลายประเภท อาทิ เครื่องเสียงรถยนตร์ เครื่องเสียงบ้าน และเครื่องเสียง professional ถ้านับชื่อเสียงในระดับโลกก็ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจทีเดียว แต่ในบ้านเราชื่อเสียงนั้นอาจจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากนัก เมื่อพูดถึง pre-processor 16 ch ดีๆสักตัว เราอาจจะคิดถึงแบรนด์อื่นกันไปเสียหมด แต่กระนั้นก็ยังมีนักเล่นที่ชื่นชอบน้ำเสียงและคุณภาพของแบรนด์นี้อยู่พอสมควร ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาจากรีวิวจากอินเทอร์เน็ท หรือเสียงบอกต่อ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการ audition ลองฟังเสียงจริงของมันนี่ละครับ
Audiocontrol Maestro นั้นมีด้วยกันสองรุ่น คือ X7 และ X9 โดยทั้งสองรุ่นเป็น pre 16 แชนแนลทั้งคู่ แต่ต่างกันที่ X9 เป็นรุ่นเรือธงที่เน้นอุปกรณ์คัดเกรด และคุณภาพสูง ก็คงคล้ายๆ Anthem AVM70, AVM90 และ XMC-2, RMC-1 ประมาณนี้ครับ
ในรุ่นที่เรามารีวิวนี้จะเป็น X7 มีสเปกและคุณสมบัติที่ถือว่าเป็น pre-processor hi-performance ตัวนึงได้เลยทีเดียว เริ่มจากการใช้เทคโนโลยี Class H มาออกแบบในแอมป์และ pre-processor ที่เน้น performance สูง ความร้อนต่ำ ทำงานเสมือน class D แต่ให้ output เสมือน class AB (บริษัทที่ใช้เทคโนโลยี Class H เช่นเดียวกันก็คือ Emotiva)
ตัวเครื่องมาพร้อมกับจุดเด่นที่น้ำหนักตัวเครื่องที่หนักกว่าชาวบ้าน นั่นคือ 12.3 kg แม้จะไม่หนักมาก แต่ก็ถือว่าหนักกว่าเมื่อเทียบกับ pre-processor ในระดับเดียวกันค่ายอื่นๆ
* Anthem AVM70 = 8.61 kg
* Anthem AVM90 = 8.61 kg
* Emotiva XMC-2 = 9.9 kg
* Emotiva RMC-1 = 10.89 kg
* Arcam AV40 = 10.6 kg
* Strom ISP16 mk2 = 13.1 kg
และอีกจุดเด่นที่น่าสนใจก็คือ ใส่ Dirac live room correction ตัวท๊อปที่ดีที่สุดในโลกให้มาในเครื่องเลย ตัวที่ให้มาจะเป็นตัว full ที่ทำงานได้เต็มทุกความถี่และให้ Bass control แบบ 1 Subwoofer (sub ตัวเดียว) ซึ่งสามารถซื้อเพิ่มแบบ multiple sub ได้ทีหลัง
ตัวเครื่องดูจากรูปใน internet นั้นค่อนข้างธรรมดาและดูทื่อๆไปหน่อย แต่ดูตัวจริงหลังจากแกะกล่องแล้วต้องบอกว่า สีตัวเครื่อง และเส้นสายนั้นดูดีกว่าในรูปมากจริงๆ ด้วยการใช้สีเทาเข้มที่ดูคมคาย และเส้นแสงสีน้ำเงินที่ตัดจากขวาไปซ้ายของตัวเครื่อง (เส้นแสงนี้สว่างมาก แต่สามารถปิดได้ด้วยปุ่มเล็กๆด้านหลังเครื่อง) และแสงที่ volume knob ก็ทำได้ดูดีและดูแพง
ตัวเครื่องดีไซน์ค่อนข้างดู simple ไม่เน้นล้ำยุค แต่ดูดีและดูมีราคา ดูสวยแบบเรียบๆ หรูๆ ไม่ต้องพยายามโดดเด่น
ด้านหลังของเครื่องมีการวาง layout xlr แบบ 2 แถว มีข้อดีคือประหยัดเนื้อที่ในแนวนอน ไม่อึดอัด แต่การวางเลย์เอ้าท์แบบนี้ค่อนข้างสร้างปัญหากับการใส่และถอด xlr ที่ต้องถอดเรียงไล่กันไปจากบนลงล่าง เพราะแถวล่างจะถอดสายค่อนข้างยาก เช่นเดียวกับ Storm ISP
ด้านหลังมีการใช้สีขาวทำให้ดูคลีน สะอาด และดูไม่ดุดันเกินไป
การใช้งาน
ต้องยอมรับว่า Audiocontrol นั้นออกแบบตัวเครื่องและ software มาได้ user friendly มากๆ นั่นคือมันดูไม่หรูหรา โมเดิร์นเกินไป แต่มันดูเข้าใจง่าย และใช้งานง่าย ผมใช้เวลาเรียนรู้มันนิดเดียว ต่อใช้งาน ลองกดเมนู navigate ไปนิดหน่อยก็พอเข้าใจระบบของเขา ซึ่ง menu ทั้งหมดสามารถกดที่ตัวเครื่องหรือผ่านรีโมท โดยเมนูจะขึ้นเป็น on screen บนหน้าจอทีวี / projector ของเรา
เมนูรวดเร็ว ใช้งานง่ายมาก ไม่หน่วง ความรู้สึกเหมือนกำลัง navigate menu ของ pre ญี่ปุ่นยังไงยังงั้น แต่ก็มีบั๊กบ้างเช่นการแสดงผลของ test tone ที่แสดงบน on-screen ว่าเป็น internal แต่ที่ตัวเครื่องจริงๆแล้วเป็น external และเวลาออกจากการ setup dirac live ที่มีค้างบ้างนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วต้องถือว่าทำได้ดีและเมนูง่ายต่อการใช้งาน
การสวิท HDMI นั้นแม่นยำ รวดเร็ว และใช้งานได้ดี สามารถจับภาพและเสียงได้แม่นยำไม่มีปัญหาอะไร
ในส่วนของการบู๊ทนั้น สร้างความรู้สึกประทับใจให้ผู้ใช้งานได้ดี นั่นคือทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าบู๊ทเครื่องเร็ว ซึ่งทางผู้ผลิตใช้วิธีคือบู๊ทแล้วแสดงหน้าจอเมนูก่อน เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามันพร้อมใช้งานแล้ว ในระหว่างที่หน้าจอแสดงผล ผู้ใช้อาจกำลังเปิดเครื่องอื่น เตรียมเครื่องดื่ม หรือกำลังคิดว่าจะดู content อะไรดี ซึ่งในระหว่างนั้นเครื่องยังบู๊ทอยู่ด้านในอีกชั้นนึง เราจะรู้ว่าเครื่องยังบู๊ทอยู่หากกดเข้าเมนูไปใช้งานด้านใน และมันจะแสดงผลว่ามันกำลังทำงานอยู่
แต่โดยรวมหากปิดเครื่องแบบ 100% และบู๊ทจนเสร็จเต็มที่ก็จะใช้เวลาราวๆ 15-20 วินาที +- ไม่เกินนี้ครับ
ซึ่งก็ถือว่าเป็นค่า standard การบู๊ทของ pre-processor ในระดับนี้ที่รองรับ 16 แชนแนล ไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายใดๆในระดับราคาเดียวกัน
Dirac live
สิ่งที่ต้องชมคือการเข้าใช้งาน Dirac live นั้นทำได้ง่าย ไม่ต้องต่อกล่องเพิ่ม และไม่ต้องกดไป activate ที่เมนูใดเมนูนึงก่อน แต่ระบบออกแบบให้เสียบสายแลน และขอให้เครื่องอยู่วงเดียวกันกับ commputer ที่เรารัน dirac live อยู่ แค่นี้พอ ระบบจะนำเราเข้าไปซิ้งกับ software ในคอมให้เราใช้งานได้เลย
ซึ่งวิธีการใช้งาน dirac live ของ Audiocontrol สามารถดูแบบละเอียดในในคลิปวีดีโอนี้ครับ
>>>>Audiocontrol Diraclive review <<<<
การใช้งานนั้นเป็น version full ที่มี bass control แบบ license 1 subwoofer มาให้ด้วย หากต้องการใช้งาน multiple subwoofer สามารถซื้อ license multiple subwoofer เพิ่มได้ในภายหลัง
Dirac live ของ audiocontrol การใช้งานจะเหมือนๆกันทุกยี่ห้อ นั่นคือ calibrate mic, วัดเสียง, ปรับ target curve และ upload เข้าเครื่อง
หลังจากเซ็ทเสร็จสามารถ upload เข้าเครื่องได้สูงสุด 3 profiles ด้วยกัน (สามารถลองเซ็ทและเทียบเสียงได้ 3 แบบ)
Dirac live full + Bass Conrol แจ้งว่า license ใช้งานได้แค่ 1 subwoofer
ลองฟัง
การทดลองฟังจะ Benchmark กับ pre-processor อีกตัวที่เราใช้ dirac live เหมือนกันอยู่ในระบบ
โดยระบบทั้งหมดจะใช้ลำโพงตัวเดียวกัน, power amp ตัวเดียวกัน, ห้องฟังเดียวกัน (room coustic เหมือนกัน)
และเซ็ทอัพด้วย Dirac live เหมือนกัน และด้วยไมค์ตัวเดียวกัน เพื่อดูว่าแนวเสียงที่ได้เป็นอย่างไร
แนวเสียงที่ได้ฟังนั้นต้องบอกว่า เสียงแรกที่ได้ยินก็พาให้เรารู้สึกว่าเสียงมันช่างละม้ายกับ pre american อีกตัวที่เราเคยได้ทดสอบเสียเหลือเกิน
จุดเด่นของเสียงที่ได้ยินนั้นต้องบอกว่าคือ เสียงกลางแหลม ที่เนียน พริ้ว และฟังสบาย และโดดเด่น มีรายละเอียดที่ดี โดยเฉพาะเสียงพูด เสียงกลาง เสียงดนตรี ในการฟังคอนเสิรต์ และแม้แต่การฟังเพลงก็ให้โทนเสียงที่น่าฟัง และรายละเอียดที่ดีมาก โดยไม่ขุดรายละเอียดมากเกินไปจนเกิด noise หรือไม่ธรรมชาติ
ในขณะที่ย่านต่ำนั้น ให้โทนของความถี่ต่ำที่ลึก ทุ้ม เบสให้ความรู้สึก deep และมีมวล ฟังสบาย
ลักษณะโทนเสียงเช่นนี้ ให้ความพริ้วหวาน และเนียน ฟังสบาย เสียงแหลมไม่แผดพุ่ง แต่ชัดและเนียน
และเสียงต่ำที่นุ่มลึก แผ่ แต่ไม่กระแทกกระทั้น ดุดัน หนักหน่วง กระแทกออกมาเป็นลูก
ซึ่งจะว่าเป็นข้อดีก็ใช่ แต่ถ้าจะมองเป็นข้อเสียก็คงสามารถพูดได้เพราะเบสจะเป็นโทนตรงกันข้ามกันกับ pre-processor อีกตัวที่เราใช้งานอยู่ตรงจุดนี้นี่เอง แม้ว่ารายละเอียดทั้งสองตัวจะไม่ได้แตกต่างกัน แต่โทนและวิธีการนำเสนอของ pre ทั้งสองตัวนั้นแตกต่างกัน ทั้งกลางแหลมที่สดมีไดนามิค กับกลางแหลมที่เนียนพริ้วฟัง
และเบสที่หนักแน่น หนักหน่วง กระแทกเก็บตัวดี กับเบสที่นุ่มลึก ช้าๆหน่อยแต่ฟังสบายไม่รุกเร้ามากเกินไปดูหนังก็ได้ ฟังเพลงก็ยิ่งดี
จุดเด่น
1. แนวเสียง ใส พริ้ว กลางแหลมเนียนสะอาด รายละเอียดดี crystal clear การแยกแยะรายละเอียดทำได้ดี มีมิติ ฟังเพลงดี ดูหนังสบาย
2. การใช้งานที่ง่าย ทั้งเมนูการใช้งานที่รวดเร็ว การจับ hdmi signal ที่ดีและไม่ผิดพลาด
3. การออกแบบตัวเครื่องที่ดูสวยงาม ดูมีราคา ไม่อวกาศล้ำยุคเกินไปและก็ไม่ดู retro จนดูเหมือนหลงยุค ดูสวยได้นาน
4. ให้ Dirac live ที่ถือว่าเป็น auto room correction ที่ดีที่สุดในตอนนี้และให้คุณภาพการปรับในระดับที่ใช้งานได้จริง (ให้ Dirac live Full + Bass Control 1 subwoofer)
ข้อเสีย
1. ข้อเสียก็เป็นข้อดีอีกแง่มุมนั่นคืออาจจะไม่เหมาะกับนักฟังสายบู๊ที่ต้องการสไตล์เสียงแนวดุดัน เบสโครมคราม ไดนามิคที่ต้องสูญเสียไป โดยเฉพาะเบสนั้นที่มีบุคลิคที่มีความเฉพาะตัวในด้าน deep และอาจจะไม่ถูกใจสายบู๊เท่าไร่
2. ด้วยราคาค่าตัวที่ตั้งขึ้นมาสูงกว่าราคาของแอมป์ในระดับเดียวกัน เช่น Anthem AVM70 และแม้แต่ Emotiva xmc-2 และยังสูงกว่า RMC-1 จึงทำให้กลุ่มลูกค้าอาจจะต้องมีใจรักในสไตล์เสียงของแบรนด์นี้จริงๆ
3. ยังไม่รองรับ DTS:X Pro
4. ลูกยางรองเครื่องเตี้ยมาก ตอนวางใต้ท้องเครื่องจะครูดบ่อยมาก ในตอนที่ทดสอบใต้ท้องก็ครูดกับพื้นไปแล้วหลายครั้ง
เหมาะกับใคร
Audiocontrol Meastro X7 เหมาะกับนักเล่นสายฟังสบายเป็นหลัก ยิ่งโดยเฉพาะนักเล่นที่เน้นฟังรายละเอียด บรรยากาศโอบล้อม และเสียงกลางแหลมของ X7 ที่ต้องบอกว่านี่คือหมัดเด็ด ที่ใครได้ฟังแว้บเดียวก็ต้องยอมรับว่า กลางแหลมแบบนี้นี่แหละที่ฟังได้นาน ไม่ขุดรายละเอียดมากเกินไป ยังดูหนังได้สนุกและฟังเพลงดี และในขณะเดียวกันกลางแหลมก็ไม่ได้ดุดัน พุ่ง ไดนามิคแรงจนรู้สึกอึดอัด และหยาบกร้านสไตล์ Home cinema ที่นิยมกัน
นี่จึงน่าจะเหมาะกับนักเล่นสาย Home audio ที่เน้นดูหนังฟังเพลง สบายๆ ชิวๆ ดูได้ทั้งครอบครัว ใช้งานง่าย เป็นมิตร สวยหรู ดูดี ใช้งานได้นาน
สรุป
ถ้าไม่ได้ติดเรื่องความคุ้มค่าทางด้านราคาต้อง คุ้มสุดๆ เปรียบเทียบสเปกบรรทัดต่อบรรทัด ราคาต้องคุ้มทุกหยาดหยด และต้องเป็นแบรนด์ดังที่พูดชื่อแล้วอวดเพื่อนบ้าน หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการให้หูผึ่งได้ แต่คุณเน้นเสียงที่ชอบ และซื้อมาเน้นใช้งานจริงๆ สะดวก ซื้อมาใช้ไม่ได้มาอวด และไม่ได้มาเก็งราคาขายต่อ นี่อาจจะเป็นเครื่องที่ดีมาก โดยเฉพาะนักเล่นที่ชอบเสียงในสไตล์นี้ต้องบอกว่า ในตลาด pre-processor 16 channel นอกจาก Audiocontrol Meastro ตัวนี้ก็เห็นจะมีแนวเสียงคล้ายๆแบบนี้อีกแค่ 2 แบรนด์แค่นั้น และที่สำคัญๆอีกสองแบรนด์ที่ว่านั่นก็พริ้วกว่านี้ เหมาะกับการฟังเพลงและดูคอนเสิรต์ไปเลย นี่อาจจะเป็น pre-processpr 16 channel เพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงกลางระหว่างการดูหนังได้ และฟังเพลงดี ก็เป็นได้นะครับ
* Audiocontrol Meastro X7 ราคาตั้ง 280,000 บาท
Audiocontrol เป็นบริษัทอเมริกันที่ลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องเสียงหลากหลายประเภท อาทิ เครื่องเสียงรถยนตร์ เครื่องเสียงบ้าน และเครื่องเสียง professional ถ้านับชื่อเสียงในระดับโลกก็ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจทีเดียว แต่ในบ้านเราชื่อเสียงนั้นอาจจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากนัก เมื่อพูดถึง pre-processor 16 ch ดีๆสักตัว เราอาจจะคิดถึงแบรนด์อื่นกันไปเสียหมด แต่กระนั้นก็ยังมีนักเล่นที่ชื่นชอบน้ำเสียงและคุณภาพของแบรนด์นี้อยู่พอสมควร ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาจากรีวิวจากอินเทอร์เน็ท หรือเสียงบอกต่อ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการ audition ลองฟังเสียงจริงของมันนี่ละครับ
Audiocontrol Maestro นั้นมีด้วยกันสองรุ่น คือ X7 และ X9 โดยทั้งสองรุ่นเป็น pre 16 แชนแนลทั้งคู่ แต่ต่างกันที่ X9 เป็นรุ่นเรือธงที่เน้นอุปกรณ์คัดเกรด และคุณภาพสูง ก็คงคล้ายๆ Anthem AVM70, AVM90 และ XMC-2, RMC-1 ประมาณนี้ครับ
ในรุ่นที่เรามารีวิวนี้จะเป็น X7 มีสเปกและคุณสมบัติที่ถือว่าเป็น pre-processor hi-performance ตัวนึงได้เลยทีเดียว เริ่มจากการใช้เทคโนโลยี Class H มาออกแบบในแอมป์และ pre-processor ที่เน้น performance สูง ความร้อนต่ำ ทำงานเสมือน class D แต่ให้ output เสมือน class AB (บริษัทที่ใช้เทคโนโลยี Class H เช่นเดียวกันก็คือ Emotiva)
ตัวเครื่องมาพร้อมกับจุดเด่นที่น้ำหนักตัวเครื่องที่หนักกว่าชาวบ้าน นั่นคือ 12.3 kg แม้จะไม่หนักมาก แต่ก็ถือว่าหนักกว่าเมื่อเทียบกับ pre-processor ในระดับเดียวกันค่ายอื่นๆ
* Anthem AVM70 = 8.61 kg
* Anthem AVM90 = 8.61 kg
* Emotiva XMC-2 = 9.9 kg
* Emotiva RMC-1 = 10.89 kg
* Arcam AV40 = 10.6 kg
* Strom ISP16 mk2 = 13.1 kg
และอีกจุดเด่นที่น่าสนใจก็คือ ใส่ Dirac live room correction ตัวท๊อปที่ดีที่สุดในโลกให้มาในเครื่องเลย ตัวที่ให้มาจะเป็นตัว full ที่ทำงานได้เต็มทุกความถี่และให้ Bass control แบบ 1 Subwoofer (sub ตัวเดียว) ซึ่งสามารถซื้อเพิ่มแบบ multiple sub ได้ทีหลัง
- 9.1.6 decoding for Dolby Atmos and DTS:X (แบบ fix channel, ยังไม่รองรับ DTS:X Pro)
- รองรับ IMAX Enhanced, Auro-3D
- HDMI รองรับ 2.0b and HDCP 2.2
- ใช้ Dac ES9026PRO SABRE DACs
- รองรับ Dirac Live® room correction (Full Dirac Live ต้องซื้อ Bass Control ต่างหาก)
- ให้ช่องต่อ 16 channel XLR outputs / unbalanced outputs
- รองรับ Dolby Vision / HDR support (HDR10/BT.2020)
- 7 HDMI inputs / 3 HDMI outputs (eARC 1 ช่อง)
ตัวเครื่องดูจากรูปใน internet นั้นค่อนข้างธรรมดาและดูทื่อๆไปหน่อย แต่ดูตัวจริงหลังจากแกะกล่องแล้วต้องบอกว่า สีตัวเครื่อง และเส้นสายนั้นดูดีกว่าในรูปมากจริงๆ ด้วยการใช้สีเทาเข้มที่ดูคมคาย และเส้นแสงสีน้ำเงินที่ตัดจากขวาไปซ้ายของตัวเครื่อง (เส้นแสงนี้สว่างมาก แต่สามารถปิดได้ด้วยปุ่มเล็กๆด้านหลังเครื่อง) และแสงที่ volume knob ก็ทำได้ดูดีและดูแพง
ตัวเครื่องดีไซน์ค่อนข้างดู simple ไม่เน้นล้ำยุค แต่ดูดีและดูมีราคา ดูสวยแบบเรียบๆ หรูๆ ไม่ต้องพยายามโดดเด่น
ด้านหลังของเครื่องมีการวาง layout xlr แบบ 2 แถว มีข้อดีคือประหยัดเนื้อที่ในแนวนอน ไม่อึดอัด แต่การวางเลย์เอ้าท์แบบนี้ค่อนข้างสร้างปัญหากับการใส่และถอด xlr ที่ต้องถอดเรียงไล่กันไปจากบนลงล่าง เพราะแถวล่างจะถอดสายค่อนข้างยาก เช่นเดียวกับ Storm ISP
ด้านหลังมีการใช้สีขาวทำให้ดูคลีน สะอาด และดูไม่ดุดันเกินไป
การใช้งาน
ต้องยอมรับว่า Audiocontrol นั้นออกแบบตัวเครื่องและ software มาได้ user friendly มากๆ นั่นคือมันดูไม่หรูหรา โมเดิร์นเกินไป แต่มันดูเข้าใจง่าย และใช้งานง่าย ผมใช้เวลาเรียนรู้มันนิดเดียว ต่อใช้งาน ลองกดเมนู navigate ไปนิดหน่อยก็พอเข้าใจระบบของเขา ซึ่ง menu ทั้งหมดสามารถกดที่ตัวเครื่องหรือผ่านรีโมท โดยเมนูจะขึ้นเป็น on screen บนหน้าจอทีวี / projector ของเรา
เมนูรวดเร็ว ใช้งานง่ายมาก ไม่หน่วง ความรู้สึกเหมือนกำลัง navigate menu ของ pre ญี่ปุ่นยังไงยังงั้น แต่ก็มีบั๊กบ้างเช่นการแสดงผลของ test tone ที่แสดงบน on-screen ว่าเป็น internal แต่ที่ตัวเครื่องจริงๆแล้วเป็น external และเวลาออกจากการ setup dirac live ที่มีค้างบ้างนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วต้องถือว่าทำได้ดีและเมนูง่ายต่อการใช้งาน
การสวิท HDMI นั้นแม่นยำ รวดเร็ว และใช้งานได้ดี สามารถจับภาพและเสียงได้แม่นยำไม่มีปัญหาอะไร
ในส่วนของการบู๊ทนั้น สร้างความรู้สึกประทับใจให้ผู้ใช้งานได้ดี นั่นคือทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าบู๊ทเครื่องเร็ว ซึ่งทางผู้ผลิตใช้วิธีคือบู๊ทแล้วแสดงหน้าจอเมนูก่อน เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามันพร้อมใช้งานแล้ว ในระหว่างที่หน้าจอแสดงผล ผู้ใช้อาจกำลังเปิดเครื่องอื่น เตรียมเครื่องดื่ม หรือกำลังคิดว่าจะดู content อะไรดี ซึ่งในระหว่างนั้นเครื่องยังบู๊ทอยู่ด้านในอีกชั้นนึง เราจะรู้ว่าเครื่องยังบู๊ทอยู่หากกดเข้าเมนูไปใช้งานด้านใน และมันจะแสดงผลว่ามันกำลังทำงานอยู่
แต่โดยรวมหากปิดเครื่องแบบ 100% และบู๊ทจนเสร็จเต็มที่ก็จะใช้เวลาราวๆ 15-20 วินาที +- ไม่เกินนี้ครับ
ซึ่งก็ถือว่าเป็นค่า standard การบู๊ทของ pre-processor ในระดับนี้ที่รองรับ 16 แชนแนล ไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายใดๆในระดับราคาเดียวกัน
Dirac live
สิ่งที่ต้องชมคือการเข้าใช้งาน Dirac live นั้นทำได้ง่าย ไม่ต้องต่อกล่องเพิ่ม และไม่ต้องกดไป activate ที่เมนูใดเมนูนึงก่อน แต่ระบบออกแบบให้เสียบสายแลน และขอให้เครื่องอยู่วงเดียวกันกับ commputer ที่เรารัน dirac live อยู่ แค่นี้พอ ระบบจะนำเราเข้าไปซิ้งกับ software ในคอมให้เราใช้งานได้เลย
ซึ่งวิธีการใช้งาน dirac live ของ Audiocontrol สามารถดูแบบละเอียดในในคลิปวีดีโอนี้ครับ
>>>>Audiocontrol Diraclive review <<<<
การใช้งานนั้นเป็น version full ที่มี bass control แบบ license 1 subwoofer มาให้ด้วย หากต้องการใช้งาน multiple subwoofer สามารถซื้อ license multiple subwoofer เพิ่มได้ในภายหลัง
Dirac live ของ audiocontrol การใช้งานจะเหมือนๆกันทุกยี่ห้อ นั่นคือ calibrate mic, วัดเสียง, ปรับ target curve และ upload เข้าเครื่อง
หลังจากเซ็ทเสร็จสามารถ upload เข้าเครื่องได้สูงสุด 3 profiles ด้วยกัน (สามารถลองเซ็ทและเทียบเสียงได้ 3 แบบ)
Dirac live full + Bass Conrol แจ้งว่า license ใช้งานได้แค่ 1 subwoofer
ลองฟัง
การทดลองฟังจะ Benchmark กับ pre-processor อีกตัวที่เราใช้ dirac live เหมือนกันอยู่ในระบบ
โดยระบบทั้งหมดจะใช้ลำโพงตัวเดียวกัน, power amp ตัวเดียวกัน, ห้องฟังเดียวกัน (room coustic เหมือนกัน)
และเซ็ทอัพด้วย Dirac live เหมือนกัน และด้วยไมค์ตัวเดียวกัน เพื่อดูว่าแนวเสียงที่ได้เป็นอย่างไร
แนวเสียงที่ได้ฟังนั้นต้องบอกว่า เสียงแรกที่ได้ยินก็พาให้เรารู้สึกว่าเสียงมันช่างละม้ายกับ pre american อีกตัวที่เราเคยได้ทดสอบเสียเหลือเกิน
จุดเด่นของเสียงที่ได้ยินนั้นต้องบอกว่าคือ เสียงกลางแหลม ที่เนียน พริ้ว และฟังสบาย และโดดเด่น มีรายละเอียดที่ดี โดยเฉพาะเสียงพูด เสียงกลาง เสียงดนตรี ในการฟังคอนเสิรต์ และแม้แต่การฟังเพลงก็ให้โทนเสียงที่น่าฟัง และรายละเอียดที่ดีมาก โดยไม่ขุดรายละเอียดมากเกินไปจนเกิด noise หรือไม่ธรรมชาติ
ในขณะที่ย่านต่ำนั้น ให้โทนของความถี่ต่ำที่ลึก ทุ้ม เบสให้ความรู้สึก deep และมีมวล ฟังสบาย
ลักษณะโทนเสียงเช่นนี้ ให้ความพริ้วหวาน และเนียน ฟังสบาย เสียงแหลมไม่แผดพุ่ง แต่ชัดและเนียน
และเสียงต่ำที่นุ่มลึก แผ่ แต่ไม่กระแทกกระทั้น ดุดัน หนักหน่วง กระแทกออกมาเป็นลูก
ซึ่งจะว่าเป็นข้อดีก็ใช่ แต่ถ้าจะมองเป็นข้อเสียก็คงสามารถพูดได้เพราะเบสจะเป็นโทนตรงกันข้ามกันกับ pre-processor อีกตัวที่เราใช้งานอยู่ตรงจุดนี้นี่เอง แม้ว่ารายละเอียดทั้งสองตัวจะไม่ได้แตกต่างกัน แต่โทนและวิธีการนำเสนอของ pre ทั้งสองตัวนั้นแตกต่างกัน ทั้งกลางแหลมที่สดมีไดนามิค กับกลางแหลมที่เนียนพริ้วฟัง
และเบสที่หนักแน่น หนักหน่วง กระแทกเก็บตัวดี กับเบสที่นุ่มลึก ช้าๆหน่อยแต่ฟังสบายไม่รุกเร้ามากเกินไปดูหนังก็ได้ ฟังเพลงก็ยิ่งดี
จุดเด่น
1. แนวเสียง ใส พริ้ว กลางแหลมเนียนสะอาด รายละเอียดดี crystal clear การแยกแยะรายละเอียดทำได้ดี มีมิติ ฟังเพลงดี ดูหนังสบาย
2. การใช้งานที่ง่าย ทั้งเมนูการใช้งานที่รวดเร็ว การจับ hdmi signal ที่ดีและไม่ผิดพลาด
3. การออกแบบตัวเครื่องที่ดูสวยงาม ดูมีราคา ไม่อวกาศล้ำยุคเกินไปและก็ไม่ดู retro จนดูเหมือนหลงยุค ดูสวยได้นาน
4. ให้ Dirac live ที่ถือว่าเป็น auto room correction ที่ดีที่สุดในตอนนี้และให้คุณภาพการปรับในระดับที่ใช้งานได้จริง (ให้ Dirac live Full + Bass Control 1 subwoofer)
ข้อเสีย
1. ข้อเสียก็เป็นข้อดีอีกแง่มุมนั่นคืออาจจะไม่เหมาะกับนักฟังสายบู๊ที่ต้องการสไตล์เสียงแนวดุดัน เบสโครมคราม ไดนามิคที่ต้องสูญเสียไป โดยเฉพาะเบสนั้นที่มีบุคลิคที่มีความเฉพาะตัวในด้าน deep และอาจจะไม่ถูกใจสายบู๊เท่าไร่
2. ด้วยราคาค่าตัวที่ตั้งขึ้นมาสูงกว่าราคาของแอมป์ในระดับเดียวกัน เช่น Anthem AVM70 และแม้แต่ Emotiva xmc-2 และยังสูงกว่า RMC-1 จึงทำให้กลุ่มลูกค้าอาจจะต้องมีใจรักในสไตล์เสียงของแบรนด์นี้จริงๆ
3. ยังไม่รองรับ DTS:X Pro
4. ลูกยางรองเครื่องเตี้ยมาก ตอนวางใต้ท้องเครื่องจะครูดบ่อยมาก ในตอนที่ทดสอบใต้ท้องก็ครูดกับพื้นไปแล้วหลายครั้ง
เหมาะกับใคร
Audiocontrol Meastro X7 เหมาะกับนักเล่นสายฟังสบายเป็นหลัก ยิ่งโดยเฉพาะนักเล่นที่เน้นฟังรายละเอียด บรรยากาศโอบล้อม และเสียงกลางแหลมของ X7 ที่ต้องบอกว่านี่คือหมัดเด็ด ที่ใครได้ฟังแว้บเดียวก็ต้องยอมรับว่า กลางแหลมแบบนี้นี่แหละที่ฟังได้นาน ไม่ขุดรายละเอียดมากเกินไป ยังดูหนังได้สนุกและฟังเพลงดี และในขณะเดียวกันกลางแหลมก็ไม่ได้ดุดัน พุ่ง ไดนามิคแรงจนรู้สึกอึดอัด และหยาบกร้านสไตล์ Home cinema ที่นิยมกัน
นี่จึงน่าจะเหมาะกับนักเล่นสาย Home audio ที่เน้นดูหนังฟังเพลง สบายๆ ชิวๆ ดูได้ทั้งครอบครัว ใช้งานง่าย เป็นมิตร สวยหรู ดูดี ใช้งานได้นาน
สรุป
ถ้าไม่ได้ติดเรื่องความคุ้มค่าทางด้านราคาต้อง คุ้มสุดๆ เปรียบเทียบสเปกบรรทัดต่อบรรทัด ราคาต้องคุ้มทุกหยาดหยด และต้องเป็นแบรนด์ดังที่พูดชื่อแล้วอวดเพื่อนบ้าน หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการให้หูผึ่งได้ แต่คุณเน้นเสียงที่ชอบ และซื้อมาเน้นใช้งานจริงๆ สะดวก ซื้อมาใช้ไม่ได้มาอวด และไม่ได้มาเก็งราคาขายต่อ นี่อาจจะเป็นเครื่องที่ดีมาก โดยเฉพาะนักเล่นที่ชอบเสียงในสไตล์นี้ต้องบอกว่า ในตลาด pre-processor 16 channel นอกจาก Audiocontrol Meastro ตัวนี้ก็เห็นจะมีแนวเสียงคล้ายๆแบบนี้อีกแค่ 2 แบรนด์แค่นั้น และที่สำคัญๆอีกสองแบรนด์ที่ว่านั่นก็พริ้วกว่านี้ เหมาะกับการฟังเพลงและดูคอนเสิรต์ไปเลย นี่อาจจะเป็น pre-processpr 16 channel เพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงกลางระหว่างการดูหนังได้ และฟังเพลงดี ก็เป็นได้นะครับ
* Audiocontrol Meastro X7 ราคาตั้ง 280,000 บาท
audiocontrol, audiocontrol meastro x7, preamp, acurus, home cinema, prepro, Pre/Pro, pre-processor, avr, Marantz, Rotel, home theater, B&W
สินค้าในตะกร้า ({{total_num}} รายการ)
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง
➜ เลือกซื้อสินค้าเพิ่ม