นักเล่น Home theater หลายๆท่านอาจสงสัยว่าเพราะอะไรถึงมี Pre-processor ออกมาขาย ทั้งๆที่ เราก็มี AVR ที่ทั้งง่าย เครื่องเดียวจบ มี power ในตัวแล้ว
ok ครับ Pre-processor อาจจะดูไกลตัวไป และเป็นกลุ่ม niche ที่ต้องการความเป็นที่สุดในการรับชมภาพยนตร์และไม่ได้เข้าถึงง่ายขนาดนั้น
ทีนี้ก็ถามใหม่ว่า ทำไมมี AVR แล้ว บางท่าน หรือช่วงนี้ถึงนิยมหา power amp มาต่อเสริมกันอีก ในเมื่อ AVR ก็มีภาคจ่ายไฟในตัวครบแล้ว

กำแพง power amp นี้เองที่เป็นกำแพงใหญ่ด่านแรกที่ถ้าคนเปิดใจยอมรับและได้ลองเล่น ก็จะเหมือนเป็นประตูบานใหญ่ที่พอมันทลายลงไปแล้ว จะเปิดโลกกว้างของการเล่น home theater ของเราไปได้อีก และพาก้าวไปสู่โลกใหม่ที่มีของเล่นมากมาย ทรงพลังและใหญ่กว่าเดิม
ที่กล่าวมาแบบนี้เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะ avr ในตลาดทั่วไปมีข้อจำกัดอย่างเดียวกันก็คือ กำลังขับที่มักจะตันที่ 175 watt วัดที่ 2 ch ที่ 6 โอม (AVR ตัวท๊อปค่ายญี่ปุ่น) หรือแม้แต่ avr ค่ายฝรั่งตัวท๊อปสุดก็ให้กำลังมากสุดแค่ 140 วัตต์วัดที่ 2 แชนแนล
พอเอามาเทียบกับ power ระดับเริ่มต้นที่อาจจะให้กำลังเพียง 150 วัตต์ ที่ 5 แชนแนลก็กลายเป็นว่า กำลังของ power นั้นดีกว่าไปไกลเหมือนกัน เพราะไม่ลดทอนเมื่อต่อหลายๆแชนแนล
นอกจากนั้นความสนุกของมันไม่ใช่แค่กำลัง แต่เป็นแนวเสียงของ power amp ที่ผสมผสานเข้าไปกับภาคปรีของ avr
เช่นเดิมๆ avr อาจจะให้ damping factor แค่ 200 , s/n ratio แค่ 80-90
แต่พอได้ power ที่กำลังดีๆ damping สูงๆระดับ 500 -หลายพัน และ s/n ratio ระดับ >120 เข้าไปก็ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ระบบ home theater ได้อีกมาก
avr อาจจะแพ้ pre ไปหมดทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ avr ทุกตัวที่จะแพ้ โลกใบนี้มนุษย์ก็ยังสร้าง avr ระดับท๊อปๆ เอาไว้ตอบโจทย์นักเล่นระดับ hard core แต่ต้องการ avr เครื่องเดียว เช่น Focal astral 200 w x 13 ch @ 8 ohms (ร่วมมือกับ storm) หรือจะเป็น StormAudio I.ISP3D.16.12 ที่ให้กำลัง 200 x 16 ch @ 8 ohm
หรือจะมี Emotiva XMR-1 ที่ให้กำลัง 200 x 11, 16 ch @ 8 ohm (มีสองรุ่น) ซึ่งไม่รู้มันจะออกเมื่อไร่
AVR เหล่านี้ล้วนแก้ปัญหาเรื่ิองกำลังขับและ spec ของ AVR ทั่วๆไปได้ แต่ราคาก็สูงขึ้นมากและเผลอๆก็เกินราคา pre-pro + power amp แยกไปเสียอีก

การเล่น avvr เครื่องเดียวอาจจะจบแค่นั้น ไม่สามารถอัพเกรดอะไรได้อีก อาจจะอัพสายไฟ accessories และลำโพงอีกนิดหน่อย
แต่การเพิ่ม power amp เป็นการเปิดประตูออกไปและเจอกับโลกใหม่ที่อัพคุณภาพเสียงจากเดิมขึ้นไปอีกมาก และถ้าคุณยังไม่หนำใจ ก็ยังมี pre-pro ให้อัพต่อ ซึ่งก็คงต้องคุยกันยาวว่ามันดีอย่างไร ทำไมนักเล่นถึงยอมจ่ายเงินหลายแสนเพื่อ pre-pro ที่ไม่มีแม้แต่ภาค power ขับลำโพง
แต่ที่แน่ๆว่ากันว่า นักเล่นส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอ ใครที่ก้าวข้ามไปเล่น power amp แล้ว มักจะไม่กลับมาเล่น avr ตัวเดียวอีกเลย
1. การเลือก power amp ก็มีค่าต่างๆที่ควรใส่ใจ เช่น
กำลังขับ จำนวนแชนแนล damping factor, s/n ratio และแนวเสียงของแอมป์แต่ละตัวก็ไม่เหมือนกัน
การนำ power มาต่อคู่ภาคปรีของ avr และลำโพงจึงเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์และความชอบด้วย แอมป์ บางตัวให้เสียงนุ่มนวลไม่ต่างจาก avr , แอมป์บางตัวให้เสียงหนักแน่นดุดัน แอมป์บางตัวให้เบสและสเกลหนาอลังการ แอมป์บางตัวก็ให้เสียงกลางแหลมพริ้วเหมาะกับฟังเพลง ดูคอนเสิรต์ การเลือกแอมป์ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเรียนรู้และทดลองด้วยตัวเองครับ
2. แล้วการจะเติม power amp เข้าไปในซิสเต็มเรานั้น (ขอยกตัวอย่างระบบ 7.1.4) ควรจะเริ่มที่จำนวนแชนแนลเท่าไร่และใช้กี่ตัวดี
ในความเห็นของผมนั้น ยิ่งจำนวนแชนแนลน้อย ยิ่งให้คุณภาพและกำลังสูงสุด ตัวที่ดีที่สุดคือ monoblock แต่ในความเป็นจริงไม่มีความจำเป็นต้องใช้แอมป์ 11 ตัวขับลำโพงแต่ละแชนแนลแบบนั้น มันสิ้นเปลืองสายไฟ พื้นที่วาง และผลลัพธ์สมัยนี้ก็ไม่ได้ต่างจากการใช้ multi channel amp ดีๆเท่าไร่ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่าขนาดนั้น
ในทางกลับกัน แล้วถ้าเป็นแอมป์ตัวเดียวครอบจักรวาล 11 แชนแนลละดีไหม แน่นอนว่ามันสะดวกเพราะไม่เปลืองพื้นที่ สายไฟใช้เส้นเดียว แต่ในความเป็นจริง จำนวนแชนแนลยิ่งเยอะ ยิ่งโหลดและคุณภาพที่ได้ก็ย่อมดรอปลงไปเมื่อเทียบกับแอมป์รุ่นเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกันแต่จำนวนแชนแนลน้อยกว่า
ดังนั้นหากเป็นมือใหม่ผมจะแนะนำว่าให้เริ่มที่ 3 แชนแนล แล้วนำมาขับ lcr เพราะ lcr คือเสียงเกือบ 70% ในภาพยนตร์ที่เราดูแล้ว หากชอบก็สามารถไปต่อได้ หรือไม่ชอบหรือจะถอยก็ไม่เจ็บตัวเพราะราคาแอมป์ 3 แชนแนลนั้นมักจะมีราคาถูกกว่า
3. สเตปถัดไป หากจะไปต่อ เราจะอัพอย่างไรดี
ผมจะแนะนำว่าใช้ 4 แชนแนลในการขับ sr, srb และหาอีก 4 แชนแนลซึ่งอาจจะเป็นรุ่นเล็กกว่ามาขับ atmos ทั้ง 4 ตัว รวมเป็น 3+4+4 คุมแยกโซนสำคัญในระบบ home theater ได้หมด อยากจะเปิดปิด lcr หรือเซอราวด์ หรือแอดมอสก็สามารถปิดเปิดที่แอมป์ได้ และหากจำเป็นต้องยกแอมป์บางตัวเช่นแอมป์ขับแอดมอสออกไป maintenance ก็ยังสามารถดูหนังได้โดยไม่กระทบกับการใช้งานเท่าไร่
แต่ถ้าบางคนบอกว่า 3 ตัวมันเยอะไปแม่บ้านคงไม่ปลื้ม ผมคงจะแนะนำว่า 7+4 นี่คือสูตรที่ดีที่สุดอีกสูตรนึงครับ
นั่นคือใช้ แอมป์ 7 แชนแนลขับ lcr +sr, srb
ส่วนแอป์ 4 แชนแนลนั้นก็ใช้ขับ atmos ทั้ง 4 ตัวบนหัว
4. แล้วถ้าจะไปต่อจะทำอย่างไร บอกแล้วว่าการหลุดออกมาเล่น power amp นั้นเหมือนการเปิดประตูบานใหญ่ เล่นแล้วไม่จบสิ้นและ improve เสียงได้มาก ดังนั้นหนทางการเล่นจึงไม่ตันง่ายๆ ถ้าสะสม power ครบแชนแนลแล้ว เรายังไปต่อได้อีก ด้วยการเปลี่ยนภาค pre-processor จากเดิมที่ใช้ภาค pre-out ใน avr มาเป็น pre-processor จริงๆที่ให้คุณภาพสูงกว่า ทั้งคุณภาพเสียง ความชัดเจน การปรับแต่ง room correction และแน่นอนว่าราคาก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

สรุป
มาถึงจุดนี้ การเล่น home theater อาจจะมีหลายรูปแบบ แต่แนวทางที่มุ่งเน้นการเล่นให้คุณภาพเสียงดีที่สุดก็มักจะหนีไม่พ้น pre-processor + power นี่คือจุดหมายปลายทางของนักเล่น
การค่อยๆเล่น เติมทีละชิ้น ปรับและเรียนรู้แนวเสียงของอุปกรณ์แต่ละอย่างเป็นเรื่องที่น่าสนุกและน่าค้นหา เชื่อเถอะว่า หากเราเปิดใจและเปิดประตูออกมาพบเจออะไรใหม่ๆ มันจะยังมีความรู้และประสบการณ์อะไรใหม่ๆให้เราค้นหาได้ไม่จบสิ้น
สิ่งนึงที่ผมอยากจะบอกก็คือสิ่งใดๆที่เราใส่เข้าไปในระบบล้วนมีผลกับเสียงทั้งนั้น มีผลมากบ้าง น้อยบ้าง แต่สิ่งนึงที่เราเลือกเปลี่ยน เลือกมาแนะนำกัน
สิ่งนั้นเปลี่ยนแล้วมันต้องเห็นผลชัดๆ จริงๆ มีผลกับเสียง ของเล่นเล็กน้อยอาจไม่ใช่ทางของเรา ความคุ้มค่าของการเล่น การจ่ายเงิน 1 แสนซื้อของที่มีผลแค่ 10% ในระบบอาจจะคุ้มค่า แต่ถ้าจ่าย 3 แสนแล้วมีผลกับเสียง 50% ละ จะมองว่ามันแพง คุ้มค่า หรือเยอะเกินไป อันนี้ต้องอยู่ที่มุมมองของนักเล่นแต่ละคน เพราะนักเล่นแต่ละคนก็มีแนวทางต่างกัน

แต่เชื่อผมเถอะว่า อะไรที่มันมีผลน้อยๆ ผมไม่นำมาแนะนำกันแน่นอน และเราจะมุ่งมั่นค้นหาสินค้าคุณภาพที่เราทดลองแล้วว่าดี ดีแบบไม่ต้องเพ่ง มาแนะนำกันต่อไป