ศตวรรษใหม่ของเครื่องเสียง - New Era of hifi trends
Speaker ที่บ้านคุณมีลำโพงกี่คู่ครับ
แล้วลำโพงที่มีอายุมากๆคุณภาพเสียงจะยังสู้ลำโพงรุ่นใหม่ๆได้ไหม
จริงๆแล้วเทคโนโลยีของลำโพงนั้นเราเดินไปเกือบสุดขอบและแทบไม่มีการพัฒนาอะไรใหม่ๆมานานแล้ว ถ้าจะให้เปรียบเทียบการเดินทางระหว่าง กรุงเทพไป ภูเก็ต ตอนนี้เราก็คงยืนอยู่ที่ภูเก็ตไปนานแล้วเหมือนกัน จะเห็นว่าลำโพงเก่าๆบางตัวอายุ 10 ปี ก็ให้เสียงได้ไม่แพ้ลำโพงรุ่นใหม่ๆราคาแพงเลย ที่ทำอยู่ในปัจจุบันก็คือการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพและการตลาด บางทีปรับนู้นนิด เสียงใสขึ้น แต่แลกกับกลางต่ำน้อยลง หรือปรับนี้หน่อยเบสเยอะขึ้น แต่กลางแหลมลดลงน้อย แต่ผลโดยรวมก็ยังไม่หนีไปจากเดิม
ลำโพงเป็นของอีกอย่างนึงที่ผมชอบเก็บ เพราะเหตุผลก็คือมันไม่ตกยุค และมันเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่มีระบบไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ามาเกี่ยวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับของอย่างอื่น และสามารถเก็บรักษาได้นานเป็น 10 ปีโดยมีการซ่อมบำรุงน้อย และให้คุณภาพเสียงได้ดีคงที่ง่ายกว่าอุปกรณ์อื่นๆ
และที่สำคัญ มันไม่มี cost ในการเก็บรักษาใดๆ หากคุณดูแลมันถูกต้องและดีพอ พูดง่ายๆมันเป็นของสะสมที่ราคาตก แต่มีคุณค่าต่อจิตใจของผู้สะสม และมันยังไม่สิ้นเปลืองและผลาญงบในการดูแลด้วย

ถ้าลำโพงคืออุปกรณ์ที่อายุ ยืนยาว ต้นทุนเก็บรักษาต่ำ แล้วถ้าอุปกรณ์อื่นๆละ เรายืนอยู่จุดไหนกันแล้ว
Pre-processor / AVR : ถ้าให้พูดถึง pre หรือ AVR ก็ต้องบอกว่า นี่เป็นอุปกรณ์ที่มีวงจรชีวิตของมัน ช่วงที่ผ่านมาเราผ่านช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีครั้งสำคัญมา 2-3 ครั้ง นั้นคือ
1. การมาถึงของ HDMI และการเปลี่ยนระบบเสียงจาก Dolby , DTS มาเป็นแบบ HD เช่น Dolby true hd, DTS-HD Master การเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้ avr เก่าๆที่ไม่รองรับ hdmi ราคาตกพรวดจนแทบเป็นขยะ และระบบเสียงเก่าๆ อย่าง dloby , dts ปกติก็แทบไม่มีใครอยากได้
2. การเปลี่ยนถ่ายระบบเสียงจาก HD มาเป็น objected base นั่นคือ Dolby atmos, DTS:X, Auro 3D การเปลี่ยนถ่ายครั้งนี้ก็ทำให้ avr , pre เทพๆหลายตัวที่รองรับแค่ 7.1 ราคาตกฮวบจนแทบไม่มีค่า เช่น D2V จาก 3 แสน เหลือแสน แล้วก็ค่อยๆรูดลงมาเหลือ 3 หมื่น ที่ปัจจุบันก็ไม่รู้จะขายออกหรือเปล่า
แน่นอนว่าเทคโนโลยีพวกนี้เป็นสิ่งเปราะบางและไม่แน่นอน และมีของใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ แต่ปัจจุบัน ถ้าผมจะกล่าวว่านี่คือปลายทางของระบบเสียงภายในบ้านแล้วไม่รู้ว่าพวกท่านจะเชื่อกันหรือไม่
สาเหตุก็เพราะปัจจุบันระบบเสียงแบบ object นั้นรองรับได้มากถึงระดับ 128 ตำแหน่ง ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันหยุดแค่นี้ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่มันเป็นเรื่องของข้อจำกัดของการใช้งานในบ้านแบบ home use มนุษย์ไม่สามารถทำห้องดูหนังภายในบ้านใหญ่โตและใส่ลำโพงได้ถึง 128 จุด เอาง่ายๆ แค่ 24 แชนแนลในประเทศหรือในโลกนี้ยังแทบนับห้องได้
ดังนั้น physical การใช้งานในบ้านคือกรอบที่ทำให้ตอนนี้ระบบเสียงเราน่าจะเดินมาถึงภูเก็ตแล้ว อนาคตถ้าจะมีอะไรใหม่กว่านี้ก็คงไม่ใช่ระบบเสียง object แต่เป็นการขยายช่องแชนแนลในการ process object เหล่านี้ให้มากขึ้น จาก 11 ไปเป็น 16 ไปเป็น 24 เป็น 32 ซึ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนเทคโนโลยี แต่เป็นแค่การ expand และไม่มีอะไรใหม่ ผู้ใช้ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ เครื่องระดับสูงๆส่วนใหญ่พกพาฟีเจอร์ในการ upgrade มาด้วย (ส่วนใหญ่นะ ไม่ทุกตัว เช่น pre ญี่ปุ่นอาจจะเน้นออกเครื่องใหม่ให้ตามซื้อ)

หลายท่านอาจจะ เอ๋ะ จริงเหรอ แล้วพวกระบบใหม่ๆ เช่น imax enhance ละ
ผมอยากจะบอกว่าเราจะพูดถึงระบบสำคัญที่ทำให้เกิด major change ขึ้นในวงการ สำคัญระดับที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยนเครื่อง ถ้าไม่เปลี่ยนคุณจะดูหนังใหม่ๆไม่ได้ เช่น ระบบเสียงที่เป็นพื้นฐานอย่าง DTS, Dolby แต่เราจะไม่พูดถึงระบบที่เป็น add on , certified feature
สาเหตุที่ผมบอกว่า imax enhance คือ add on feature แต่ไม่ใช่ new audio format เหมือน dolby atmos, dts x ก็เพราะว่า ระบบ imax ก็ยังวิ่งอยู่บน dts:x codec หรือพูดภาษาบ้านๆก็คือ มันเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อเติมความสวยงามของภาพ และเสียง แต่ไม่มีมันก็ยังใช้งานได้ และมันไม่ใช่ระบบเสียง แต่ตัวมันถ้านิยามให้ถูกต้อง มันเป็นเพียง certified อย่างนึงที่ต้องมีเครื่องที่รองรับและ process มัน แต่ไม่ใช่แค่ cer ที่คุ้นเคยอย่าง THX Ultra 2 ที่ไม่ต้องมีเครื่องปลายทางรองรับ
ดังนั้นถ้ามีคนถามผมว่า pre-pro หรือ avr ตอนนี้ มาถึงจุดไหนแล้ว น่าซื้อหรือยัง แล้วอนาคตจะมีอะไรออกมาใหม่อีกไหม ผมจะบอกว่า เรามาถึงภูเก็ตแล้วเพื่อน อย่าคิดว่าปีหน้า pre จะออกระบบไหนออกมาเพิ่ม เพราะระบบเสียงที่เป็น audio format พื้นฐานมันมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ถ้าจะดูหนังปีนี้ในบ้านด้วยระบบ 7.1.4 นายจะรอให้ pre ออก 64 แชนแนลบน DTS:X, Dolby atmos ก่อนก็คงไม่ได้ใช้สักที เพราะสุดท้ายสาเหตุที่ pre ไม่ทำออกมาให้รองรับแชนแนลเยอะขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของข้อจำกัดของห้อง ราคาเครื่อง และตลาดที่กลุ่มนักเล่นระดับนี้มีน้อย

แล้ว Subwoofer ละ มันน่าเก็บมั๊ย
ผมจะจัดให้ subwoofer อยู่ในกลุ่มของลำโพงนั่นแหละครับ เพียงแต่ sub ประเภท active นั้น มีข้อเสียเดียวที่ทำให้อายุการใช้งานมันไม่ยืนยาวเท่าที่ควรนั่นก็คือภาคแอมปลิไฟร์ใน subwoofer ที่มักจะมีอายุการใช้งานของมันเอง ซับหลายตัวเสียในส่วนของ amplifier และต้องเปลี่ยนบอร์ดแอมป์ ลองนึกดูว่าคุณบิ้ว active sub ลงในบัฟเฟิลวอลและอยู่หลังจอ ตอนมันเสียจะเกิดอะไรขึ้น อย่าบอกว่าใส่ได้ก็เอาออกมาได้ ต้องถามกลับว่า แล้ว user ที่เขาใช้งาน มันเป็นหน้าที่เขาที่ต้องถืออุปกรณ์มารื้อเอง แบกออกมาซ่อมเองอย่างนั้นหรือ
แต่ถ้าเป็น passive sub นั้นผมให้ความคุ้มค่าและทนทานพอๆกับลำโพงปกตินั่นแหละครับ
เครื่องเล่น Media player
ไม่ว่าจะเป็นกล่อง android , media player ต่างๆ ในกลุ่มนี้มีรอบที่เปลี่ยนตามเทคโนโลยีของภาพและเสียง หลายคนอาจจะชอบเก็บเครื่องเหล่านี้ แต่ผมมองว่า อนาคตเราจะมุ่งไปที่ File และ Streaming เป็นหลัก แม้ปัจจุบัน Streaming ยังไม่ให้ความสำคัญกับระบบเสียงที่ปล่อยออกมามากนัก แต่อนาคตผมเชื่อว่ามันจะรองรับระบบเสียงได้เท่ากับแผ่นและ file ได้ในช่วงเวลาอีกไม่นาน
และแน่นอนว่าปัจจุบันตลาดเครื่องเล่นแผ่นนั้นตายไปแล้ว ถ้าถามความคุ้มค่าก็ต้องแล้วแต่คนชอบ ถ้าคุณมีแผ่นเก็บไว้เยอะ การจะมี bluray player เก็บไว้สักเครื่องก็คงดี เผื่อเเอาไว้เล่นหนังที่สะสมไว้ แต่ถ้าคุณไม่มีทรัพย์สมบัติ (แผ่น) ติดตัวมาเลย ผมคิดว่าการลงทุนใน bluray player นั้นอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไร่ (ปัจจุบันบ้านเราเหลือแค่ pioneer lx500, lx800)

Amplifier
ถ้าถามผมว่า power amp คือ niche market ใช่ไหม ผมก็คงตอบว่าใช่ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจว่าระบบเสียงนั้นมีความจำเป็นต้องใช้ power amp การใช้ avr ตัวเดียวสะดวกกว่า
และที่สำคัญ power amp จะพัฒนาไปทางไหนได้อีก เพราะในเมื่อปัจจุบันเราก็พัฒนามาจนสุดทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหม้อแปลง ei หม้อแปลงเทอรอยด์ ไปนถึงสวิชชิ่ง power supply แต่ละยี่ห้อก็เลือกหนทางที่ตัวเองถนัด หลายแบรนด์ที่ทำของดี ราคาสูง หลายแบรนด์ก็ทำของราคาถูกจับต้องได้ ซึ่งทุกอย่างก็อยู่ที่ผู้ใช้ว่าพอใจจ่ายแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ของดีไม่มีถูก และของถูกไม่มีดี มีแต่ของดีเหมาะสมกับราคาและเงินในกระเป๋าเรามากกว่า
ในส่วนของความทนทาน power ถือว่า ทนทานทรหดถึกมากๆ เรียกว่าอายุมันอยู่ได้เป้นช่วงชีวิคคนเลยทีเดียว ถ้าคิดจะทำห้องดูหนังแบบจริงจัง ผมมองว่าการมี power สักตัวก็เป็นการลงทุนใน main equipment ที่คุ้มค่า แต่ถ้าถามว่าอนาคตแอมป์จะไปทางไหน ผมก็คงจะตอบว่ามันคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆอีกแล้ว เรียกว่าทุกอย่างนิ่งหมดแล้ว ตราบใดที่เราไม่มีเทคโนโลยีส่งถ่ายพลังงานไฟฟ้าใหม่ๆที่มาแทนหม้อแปลงได้ ทุกอย่างมันคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนาน เรียกว่าซื้อวันนี้ไม่มี out ไม่มีตกรุ่นสำหรับคำว่า power amp ครับ ไม่ต้องไปตามซื้อรุ่นใหม่ให้เหนื่อยด้วย )

ภาพ
ในส่วนของภาพผมจะพูดรวมๆแบ่งเป็นสองส่วน นั่นคือตลาดจอทีวี กับตลาด projector
TV
ถ้าการเดินทางจากกรุงเทพมาภูเก็ต เราคงอยู่แถวๆประจวบอยู่เลยครับ ถ้าคุณชอบซื้อทีวี คุณจะสังเกตว่าทีวี 55 นิ้ว ซึ่งใหญ่เชี่ยๆแล้วในสมัยก่อน เราหาซื้อกันในราคา 2-3 หมื่นบาท ปัจจุบันเราซื้อได้ในราคาหลักพันไปจนถึงหมื่นต้นๆ (ไม่นับพวก oled) เทคโนโลยีภาพรุดหน้าไปไกลและเร็วขนาดนี้ สาเหตุเดียวคือ economy of scale และมันคุ้มที่จะทำ เพราะตลาดมันใหญ่มาก มีบ้านไหนไม่ดูทีวี มีบ้านไหนไม่มีทีวีบ้าง ตลาดยิ่งใหญ่ยิ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนา และมันจะไปไกลกว่านี้
กลับกันตลาดไหนเล็ก การพัฒนายิ่งน้อยลงและไม่คุ้มที่จะวิจัยให้เกิดการเติบโต และ margin ต่อ unit ยิ่งสูงขึ้น
อนาคตทีวีจะไปไกลกว่านี้ จอใหญ่ขึ้น ถูกขึ้น ดีขึ้น ไปจนถึง tv panel แบบต่อกันได้ที่จะมาทดแทน proejctor ได้ในที่สุด
Home cinema projector
ถือเป็น niche market โดยสมบูรณ์แบบ ทำมาเพื่อรองรับนักเล่นที่ทำห้องดูหนังที่มี passion .ในการรับชมภาพยนตร์โดยเฉพาะ ถ้าถามว่า economy of scale และราคามันเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า ราคา projector ที่ดีๆ รองรับ 4k native ราคานั้นแพงมาก
แต่ถึงอย่างไร projector ก็ต้องการนักเล่นที่มีความเข้าใจและยอมรับในข้อเสียของมันได้ เช่นความสว่างที่ถือว่าเทียบไม่ได้เลยกับ tv และการใช้งานที่ต้องใจเย็นนิดนึง ไม่ใช่เปิดปุ้ป ภาพมาปั้ป บางจังหวะยังมีรอ มีหน่วง และ projector ในระดับกลางและเริ่มต้นก็ยังมีเรื่องอายุหลอดมาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นตลาดนี้ก็ถือเป็นตลาดที่มีโอกาศในการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนน้อยตามผู้ใช้ในตลาด
แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวผมว่า การซื้อ projector ไว้ดูในบ้านก็ให้บรรยากาศในการดูหนังที่ดี และถนอมสายตา ผมก็ยังเชียร์และสนับสนุน และมองว่ามีอนาคตกว่าธุรกิจโรงหนัง ที่เทรนด์ของโลกในปัจจุบันนั้นธุรกิจโรงหนังล้วนจะทรงตัวและดรอปลง เช่นเดียวกับธุรกิจ retail store หรือห้างต่างๆ

วันนึงเราอาจจะงงว่าทำไมก่อนนั้นเราต้องจ่ายเงินรวมตัวกันไปดูหนังในห้องใหญ่ๆรวมกับคนแปลกหน้าเยอะๆ ด้วย เหมือนแต่ก่อนที่เราคงงงว่า ทำไมพ่อแม่เราต้องถือเหรียญ เอาไปหยอดตู้โทรศัพท์รอคิวใช้ของรวมกันคนอื่นด้วยนะ หรือทำไมต้องโทรไปฝากข้อความบอกพนักงานให้กดส่งข้อความเราให้ไปเด้งในเพจเจอร์คนอื่นด้วยว่ะ
วันนี้คุณอาจไม่เชื่อ แต่ไม่เป็นไร อีก 10 ปี ข้างหน้า คุณอาจจะเข้าใจว่ามนุษย์ยิ่งพัฒนาเทคโนโลยีไปได้ไกลแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันน้อยลงไปเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ มนุษย์ใช้เทคโนโลยีตอบสนองและรองรับความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น อะไรที่ต้องรอนานๆ กล้องฟิลม์ โทรศัพท์สาธารณะ สิ่งพิมพ์ ร้านค้าปลีก ก็จะเปลี่ยนเป็นอะไรที่ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ซื้อของโดยไม่ต้องออกไปรถติดเอง ระบบขนส่งที่มีคนเอาของมาส่งถึงหน้าห้อง ข่าวสารที่ขึ้นมาบนหน้าจอโดยไม่ต้องรอใครพิมพ์ออกมาเป้นกระดาษ และแม้แต่การดูหนังที่ไม่มีความจำเป็นต้องดูร่วมกับคนแปลกหน้าก็ตาม.....
ไม่ว่าอนาคต เทคโนโลยี และโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่จงใช้ชีวิตให้มีความสุข ดูหนัง รักษาสุขภาพ และทำสิ่งที่รัก อย่าลืมว่ามนุษย์มีอายุได้แค่ 20,000 กว่าวัน ถ้าอะไรที่มันทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความสุขขึ้น จงทำมันวันนี้..... ไม่ใช่วันข้างหน้า
