Klipsch La Scala AL5 เมื่อลำโพงในยุค 60-70 กลับมายิ่งใหญ่และสานต่อความฝันให้กับคนรุ่นใหม่อีกครั้ง
ลำโพง La Scala ชื่อนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อโรงละครโอเปราอันยิ่งใหญ่ที่ชื่อ Teatro alla Scala ในประเทศอิตาลี ถูกเผยโฉมครั้งโลกในปี 1963 เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ชืนชอบแนวเสียงและการถ่ายทอดความเป็นดนตรีของ Klipschorn แต่ติดข้อจำกัดเรื่องของห้อง จึงดีไซน์ให้ไม่จำเป็นต้องตั้งมุมห้องเหมือนกับ Klipschorn
และดีไซน์ให้ตัวตู้เป็น Folded horn แบบในตัวสามารถตั้งตรงไหนก็ได้ในห้อง ต่างจาก Klipschorn ที่จะใช้ผนังมุมห้องเป็นผนังตู้จำลองสำหรับลำเลียงเสียงเบสออกมา
Folded horn คือการออกแบบเอาดอกวูฟเฟอร์ไว้ด้านในตู้ จะไม่หันดอกยิงตรงใส่คนฟังเหมือนกับลำโพงแบบ Bass reflect ปกติ
โดย Folded horn จะซ่อนดอก และทำตู้ให้มีลักษณะเฉพาะให้เสียงมีการเดินทางผ่านตัวตู้ และเกิดกำทอน ลดเสียงที่ไม่พึงประสงค์และให้ output ที่เที่ยงตรง สะอาด และ low distortion ที่สุด
(ดูจากรูปประกอบ La scala ซ่อนดอกไว้ยิงเฉียงเข้าหาผนังหลังของตัวตู้ และเกิดการสะท้อนเสียงย้อนไหลกลับออกมาสู่ช่องเบสด้านหน้าตัวตู้ทั้งสองช่อง)

Un-boxed
หากคุณสั่งซื้อลำโพง La Scala AL5 มาหนึ่งคู่ สิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อของมาส่งก็คือตู้ลำโพงจำนวน 4 กล่อง (เลิกคิดว่าจะสามารถไปซื้อด้วยวิธี traditional ที่ขับรถไปที่ร้าน จ่ายเงิน ดูของ ยกขึ้นรถ ยกขึ้นบ้านนะครับ เพราะคุณไม่สามารถทำแบบนั้นกับ La scala ได้)
กล่องทั้ง 4 กล่องจะประกอบไปด้วยส่วนของ Tweeter horn หนึ่งกล่อง และ Bass อีกหนึ่งกล่อง นำมาประกอบกันกลายเป็นลำโพง 1 ข้าง น้ำหนักของ ลำโพงคือ 91 กิโลกรัมต่อข้าง ผมเดาจากน้ำหนักตัวตู้ tweeter horn น่าจะหนักราวๆ 20-25 กิโล ส่วนตู้เบสน่าจะหนักราวๆ 70 กิโลได้ครับ
การประกอบลำโพงทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันนั้นทำได้ง่ายโดยการนำ Tweeter horn มาวางทับบนตู้เบส โดยจะมีฐานยางและร่องสำหรับวางกำหนดไว้แล้วว่าต้องวางตำแหน่งไหน
แต่การประกอบจำเป็นจะต้องใช้คน 3 คนด้วยกัน เพราะต้องยกตู้ Tweeter horn ให้ลอยขึ้นเหนือตู้เบสนิดนึง และให้อีกคนดึงสายลำโพงจากตู้ Tweeter horn มาเสียบกับตู้เบสเพื่อเชื่อมกัน (Klipsch ให้สายลำโพงมาแล้ว ขั้วต่อเป็นแบบก้ามปู)
เมื่อประกอบเรียบร้อย ก็นำ Tweeter horn วางทับลงไปก็เป็นอันจบ
การต่อสายลำโพงจากแอมป์จะต่อปกติ ได้ทั้งแบบ single wire และ bi-wire โดย binding post ขั้วต่อจะอยู่ที่ตู้ Tweeter ไม่ได้อยู่ที่ตู้ bass

ตัวงานประกอบของ La scala จะเป็นงาน Hand made ที่มีความดิบและให้ลุคความเป็นวินเทจอยู่สูงมาก ตัวตู้ปิดผิวด้วยผิวไม้ในส่วนของตู้ลำโพง แต่ส่วนของตัวดอก tweeter และ mid range เมื่อแกะตะแกรงออกมาจะไม่ได้ปิดผิว เผยให้เห็นเนื้อแท้ของสัจจะวัสดุดั้งเดิมของ driver ที่ใช้
โดยตัวงานจะเห็นน๊อต เห็นทวีตเตอร์ เห็น mid range กันจะๆไปเลย ตัว mid range จะลากยาวตั้งแต่หน้าตู้ไปสุดที่ปลายตู้ตลอดความลึก และโผล่ท้ายออกมาให้เราเห็นที่ด้านหลังนิดหน่อย
ตัวงานมีความดิบและไม่เรียบร้อยอยู่บ้างตามสไตล์วินเทจ ไม่ใช้สไตล์ไฮโซ หรูหรา เนียนหาที่ติไม่ได้เหมือนลำโพงไฮเอ็นด์แบรนด์อื่นๆ ตัวงานอาจจะไม่ได้เนี๊ยบกริ้ป หลายคนอาจจะขัดใจในส่วนนี้บ้าง แต่เราอยากให้ลองฟังเสียงดู ความหงุดหงิดที่อยู่ในใจคุณอาจจะมลายหายไปอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้
Specification
ลำโพงรุ่นนี้เป็นลำโพง 3 ทาง (แยกเสียงกลาง แหลม และเบส) เคลมความไวไว้ที่ 105 db ซึ่งถือว่าสูงมาก และให้ความดัง maximum spl ที่ 121 db ซึ่งสามารถจัดอยู่ในกลุ่มลำโพง High performance ได้เลย เพราะด้วยศักยภาพในตัวมันต้องถือว่าสูงมาก
ความถี่ที่ลำโพงสามารถผลิตได้อยู่ในช่วง 51 - 20 kHz ใช้ดอกลำโพงเบอร์เดียวกันกับ Klipschorn ทุกประการทั้งหมด
ใช้ mid range เป็น horn รุ่น K-55-X ขนาด 2 นิ้ว
ใช้ tweeter รุ่น K-771 ขนาด 1 นิ้ว
ใช้ woofer เสียงเบสรุ่น K-33-E ขนาด 15 นิ้ววางดอกแบบ folded horn ซ่อนภายในตู้
ในส่วนของดอกเบส La scala จะวางคนละแบบกับ Klipschorn ที่ตัว la scala จะวางและให้เสียงไหลผ่านช่องอากาศทั้งสองข้างของตัวตู้ โดยมีตัวตู้เองกั้นเอาไว้ ส่วน Klipschorn จะวางดอกหันหลังและยิงอัดให้เสียงไหลออกด้านข้างโดยใช้ผนังมุมห้องทำงานประหนึ่งเป็นผนังลำโพงแทน
ความกว้าง 61.59 cm
ความสูง 101.6 cm
ความลึก 64.29 cm
๋๋Just listen
ทดลองต่อฟังกับ NAD C658 (Pre/Streaming dac) , Hegel H390 (Power) ลองฟังแบบปกติแล้วก็ลองรัน dirac live แล้วมาลองฟังอีกที พบว่ากราฟของ La scala นั้นมีอาการโด่งของเบสน้อยกว่า Cornwall และหลังจาก 50 Hz ลงมานั้นหายไปเลย
ตรงตามสเปคที่เคลมไว้ ส่วนกลางแหลมนั้นมีหลุมบ้างประปราย ดูกราฟแล้วเสียงไม่น่าจะดีได้เลย แต่พอลองเปิดฟังสัมผัสแรกที่ได้พบคือ โอ้สวรรค์ Horn midrange และ tweeter ใหญ่ๆมันชัด ละเมียดแบบนี้นี่เอง เสียงที่ออกมาฟังได้เป็นรูปเป็นร่าง และละเอียดยิบจนลำโพงที่เคยฟังแล้วคิดว่าชัดแล้ว กลายเป็นไม่ชัดมีหมอกมัวๆไปเลย
ฝรั่งบอกว่า mid high ของ la scala นั้น sparkle สุดๆ ผมฟังเองก็เป็นจริงตามนั้น มันล่องลอย ชวนฝัน พริ้ว และระยิบระยับตามที่มันบอกจริงๆ เสียงแบบนี้เปิดเพลงร้อง vocal แล้วเหมาะและเข้ากันมาก

ในส่วนของเบสหรือย่านกลางต่ำนั้นสังเกตชัดว่ามีทรวดทรงที่กระชับ ไว และไม่ลึก หนักเหมือน Cornwall ที่ให้สเกลของย่านกลางต่ำที่ดุดันและหนักแน่นกว่า
พูดง่ายๆว่า เบสของ La scala นั้นมีในระดับที่พอฟัง ตัวเบสต้นมีแต่ไม่หนักเหมือน cornwall และในขณะที่ deep bass ต่ำกว่า 50 Hz นั้น La scala ไม่มีในส่วนนี้
แต่ทว่าในข้อเสียนี้ก็กลับกลายเป็นข้อดีที่ยิ่งเสริมย่านกลางแหลมให้ฟังดีขึ้นไปอีก เพราะการที่ลำโพงมีจุดเด่นที่เสียงร้อง และกลางแหลมแบบนี้ พอไม่มีเบสต่ำมากวนซึ่งอาจจะมีปัญหากับบางห้องหรือสร้างภาระให้ต้องบริหารจัดการ
ยิ่งผลักดันให้เนื้อเสียงกลางแหลมยิ่งฟังแล้วดียิ่งขึ้นไปอีก สำหรับการฟังเพลงในบางแนวเช่น rock, edm อาจจะรู้สึกว่าเบสขาดไปบ้าง ไม่ได้ตึ้บตั้บมากนัก แต่ถ้าถามว่าพอมั๊ย ต้องตอบว่าพอแน่นอน เพียงแต่ถ้าจะให้ perfect สมบูรณ์
หรือ tonal balance ทุกย่านสมดุลนั้นอาจจะไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่สามารถแก้ได้หากท่านเป็นสไตล์นักฟังที่ต้องการเบสหรือกระหายเบส ด้วยการเติม Subwoofer แต่ถ้าท่านฟังเพลงแนวแบบที่เน้น vocal, pop , soul อะไรแบบนี้ต้องขอบอกว่าเพียงพอแล้ว

ผมเคยอ่านกระทู้ฝรั่งถามเอาไว้ว่า ระหว่าง Cornwall iv vs. La scala al5 นั้นเขาจะเลือกอะไรดี ผมได้ประเด็นว่าคนตอบส่วนใหญ่จะตอบไปในทิศทางต่างกันก็คือ La scala จะให้เสียงที่ไปทางฟังสบาย audiophile กว่า แต่เบสไม่เยอะ กลางแหลมยอดเยี่ยม
ถ้าฝรั่งคนไหนฟังเพลงแนวช้าๆเขาจะตอบว่า la scala ดีกว่ามาก ส่วนถ้าฝรั่งคนไหนที่ชอบฟังไปทางสนุกๆ live หรือแนว rap, rock หน่อย เขาจะตอบว่า cornwall ฟังดีและ Tonal balance ดีกว่า ฟังได้หลากหลายและฟังได้นาน
ซึ่งหลังจากผมได้ทดลองด้วยตัวเอง ผมก็พบว่าทุกท่านที่ตอบในกระทู้นั้นพูดจริงทั้งหมด แต่พูดในมุมมองของคนที่มีความชอบและรสนิยมในการฟังดนตรีแตกต่างกัน
มาถึงตรงนี้ถามว่าผมเลือกอะไร ผมคงตอบได้ไม่เต็มปากว่า อยากเก็บไว้ทั้งสองตัวจะได้ไหม เพราะรสชาติความ live และสด หนักแน่น เบสที่ฟาดหนัก deep bass ที่ควบแน่นกระแทกอกแบบนี้มันทำให้ฟังดนตรีสนุกจริงๆ
ในขณะที่บางเวลาอยากฟังเพลงทั่วๆไป และต้องการกลางแหลมที่ดีแบบชนิดสุดยอดที่หาจากลำโพงตัวไหนไม่ได้ ผมก็จะต่อ La scala ฟัง แบบนี้คงไม่ผิดกระไร และถึงบังคับให้ผมต้องเลือกตัวใดตัวนึง ก็ไม่น่าจะผิดหวังทั้งคู่แน่นอนครับ

ข้อดี
1. กลางแหลม ถ้าจะมีลำโพงที่ให้เสียงร้อง และกลางแหลมนวลเนียน และชัด ไพเราะในระดับนี้ ผมก็นึกไม่ออกจริงๆว่าลำโพงตัวนั้นมันคืออะไร
2. ตัวตู้ที่สวยงาม ยามที่มันตั้งอยู่ในห้องฟัง ผมว่ามันสร้างเสน่ห์และมนต์ขลังให้แขกไปใครมาที่พบเห็นต้องหันมามองได้ไม่มากก็น้อยครับ และที่สำคัญลำโพงตัวนี้คนไทยยังเป็นเจ้าของกันไม่เยอะ และน่าจะมีอยู่ไม่กี่คู่ในบ้านเรา (หลัก 10) ไม่นับรวมรุ่นเก่าลงไปกว่านี้นะครับ
3. performance ที่สูงลิบ ความไว sensitivity ที่มากถึง 105 db และ spl 121 db คงมากพอที่จะทำให้ห้องฟังใหญ่ๆในบ้านคุณฉ่ำไปด้วยเสียงและตัวโน๊ตประหนึ่งโรงละครชั้นดีหรือ live hall ขนาดย่อมๆได้ไม่ยาก

ข้อเสีย
1. Deep bass และโทนัลบาล้านที่เน้นไปทาง กลางแหลม ผมเชื่อว่าอ่านมาถึงข้อนี้ หลายคนคงเบือนหน้านี้และไม่คิดว่าจะเอาเงินร่วม 4 แสนมาทิ้งบนลำโพงที่โทนัลบาล้านขาดเบสตัวนี้ แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณได้ยินได้ครอบครองมัน และฟังเสียงกลางแหลมของมันแล้ว
คุณจะลืมและไม่สนใจข้อเสียข้อนี้อีกเลย เพราะกลางแหลมของมันไม่สามารถหาเสียงแบบนี้ได้อีกแล้วในลำโพงแบรนด์อื่นๆ (ถึงมีก็ไม่เหมือน)
2. ตัวตู้และน้ำหนัก ของมันนั้นอาจจะไม่ง่ายที่จะยัดไปในห้องเล็กๆ เพราะขนาดกว้างของตัวตู้ร่วม 65 cm นี่ก็แทบเต็มประตูแล้ว ผมไม่ได้ห่วงว่าเสียงจะล้นห้อง แต่ผมห่วงว่าวางไปแล้วมันเต็มห้องไปหมดจากที่ห้องฟังจะดูผ่อนคลาย กลับกลายเป็นอึดอัดไปแทน
และการเคลื่อนย้ายเซ็ทอัพหาตำแหน่งอาจจะไม่ง่ายนักกับคนสูงอายุที่ต้องลากลำโพงขนาด 90 กิโลไปมาในห้อง (แม้ว่าพื้นล่างมันจะออกแบบมาให้ลากได้ แต่เราก็คงไม่อยากทำแบบนั้น)
3. งานประกอบ ถ้าคุณเข้าใจงาน hand made และงาน heritage คุณจะเข้าใจว่างานมันไม่เนี๊ยบกริ๊ป 100% และแต่ละตัวก็อาจจะมีลายไม้ที่แตกต่างกันไป (ตามดวง) ถ้าคุณคาดหวังงานประกอบแบบ premium hi-end คุณอาจจะผิดหวัง
แต่ถ้าคุณเข้าใจในวิถีแห่งลำโพงของ Klipsch way คุณจะเข้าใจว่า Klipsch สร้างลำโพงเสียงดีในราคาที่คุ้มเงินเมื่อเทียบกับเม็ดเงินเท่ากันที่จ่ายออกไปกับแบรนด์อื่น แต่พวกเขาไม่ได้สร้างลำโพง Hi-end ที่เน้นประดับบ้านที่ไร้ที่ติ
4. Binding post ลำโพงไปอยู่ที่ตู้ tweeter ที่อยู่สูงเกือบ 80 cm ซึ่งมันทำให้เปลืองความยาวสายลำโพง และถ้าใครใช้สายลำโพง super hi-end ที่มีขนาดใหญ่มากๆ หนักมากๆ
มันจะรั้งขั้ว banana ลงมาซึ่งนานๆไปอาจส่งผลเสียต่อขั้วลำโพงหรือบานาน่าได้ครับ ที่ถูก binding post ควรจะนำมาไว้ในส่วนของตู้เบสด้านล่างแทนจะ user friendly มากกว่าลากสายไปเสียบด้านบน
สรุป
ตำนานของลำโพงอายุ 60 ปีที่ยังทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน และถ้าคุณเอ่ยนามของมันให้ฝรั่งฟัง ผมเชื่อว่านี่คือลำโพงในฝันของคนทั่วโลก และเป็นลำโพงที่ให้ความคุ้มค่าสูง ทั้งในแง่ของคุณภาพเสียง และการลงทุนครอบครองลำโพงดีๆสักตัวไปยาวๆ
Klispch ไม่ใช่บริษัทที่ผลิตลำโพงเกินราคา แต่พวกเขาทำลำโพงที่คุ้มค่าและ High performance และผมเชื่อว่านี่เป็นลำโพงอีกหนึ่งตัวที่ให้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครทำได้เหมือนอีกแล้ว หากคุณจะหาลำโพงเสียงดี คุณอาจจะมีตัวเลือกมากมาย
แต่สำหรับผม นี่เป็นหนึ่งในลำโพงที่ผมเก็บเข้าใน collection และรู้สึกภูมิใจที่ได้ครอบครองลำโพงคู่นี้ครับ มันไม่ใช่แค่เสียงดี และไม่ใช่แค่งานออกแบบที่ดูงดงาม แต่มันคือ Klipsch La Scala...







