์NAD C658 DAC Streaming แบบเจาะลึกที่ไม่พูดถึงเรื่องเสียง

BluOS Streaming Dac ในซีรี่ย์ Classic ของ Nad ตัวนี้ผมนำมาใช้ในระบบ เพราะเหตุผลคือ ต้องการที่จะรันเทส Dirac live เพื่อมาแก้ปัญหาอคูสติกในห้องดูหนัง ซึ่งตอนนี้จำเป็นต้องนำมาใช้ฟังเพลงชั่วคราว แล้วประสบปัญหาอคูสติกที่ไม่เหมาะกับการฟังเพลงดังนั้นรีวิวนี้จึงไม่ได้มีอามิจสินจ้างใดๆ และก็จะเป็นการบอกเล่นสนุกๆตามประสาเพื่อนฝูง ซึ่งอาจจะมีคำหยาบบ้างนิดหน่อย ตั้งแต่จำความได้ช่วงแรกๆที่ผมเล่นเครื่องเสียงนั้น ผลิตภัณฑ์ตัวแรกของผมก็คือ NAD 320Bee และลำโพง MordauntShort และหลังจากนั้นผมก็ห่างหายไปจาก NAD นานมาก (อ่านว่าเอ็น-เอ-ดี) จำได้แต่ว่า ภาพลักษ์ของ NAD นั้นเป็นบริษัทเครื่องเสียง 2 ch ที่สร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่าย ให้เสียงที่ flat ไม่ค่อยมี color และค่อนข้างมีความ traditional คือไม่หรูหราและไม่จี๊ดจ๊าด และไม่ตามเทรนด์สักเท่าไร่แต่วันนึงจู่ๆ NAD ก็ลุกขึ้นสลัดภาพลักษณ์เก่าออกจนเกือบหมดสิ้น ด้วยการทำ Bluos และลุกขึ้นมุ่งเน้นตลาด streaming ด้วยการออก Node 2i ออกมา นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และหลังจากนั้นก็มีผลิตภัณฑ์ที่ดูแล้วมันน่าสนใจออกมาอีก เช่น M10 ที่ดูยังไงมันก็คือ Naim Uniti version ที่อัพพลังและน่าใช้ขึ้น แต่ถูกลง

จนมาถึง C658 ที่เป็น Dac ในระดับกลาง ราคาเข้าถึงง่าย ใช้ dac เบอร์ Sabre ES9038pro เบอร์เดียวกับที่ oppo 205 และเครื่องเล่นอีกหลายๆตัวใช้นั่นแหละ และที่สำคัญมันมี Dirac live ให้มาด้วยว่ะ ใครที่ไม่รู้ว่า Dirac live คืออะไร ผมจะอธิบายสั้นๆว่า มันคือ program room correction แบบ auto ที่เป็น third parties ที่ดีที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ พลังของโปรแกรมนี้ไม่ใช่แค่ไปแก้แค่ distance , eq แต่มันลงไปแก้ระดับ time domain, phase ของลำโพงต่างๆ ไปจน cross over ต่างๆ ถ้าคุณวัดค่าได้ถูกต้องและใช้ไมค์และอุปกรณ์ที่ดีพอ ว่ากันว่า มันสามารถแคลออกมาได้ระดับที่ calibrator ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับกลางยังต้องเหนื่อยในการที่จะแคลให้ผลลัพธ์ออกมาดีกว่ามันเลยทีเดียว ซึ่งมันสามารถนำไปปรับแก้ต่อให้ดีขึ้นได้อีกที่โม้ๆมานี่ไม่ได้มโนไปเองนะครับ ผมเคยมีประสบการณ์ใช้ dirac live กับ Storm ISP mk2 และกับ emotiva RMC-1, XMC-2 มาแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มันก็แตกต่างกันไปนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว มันใช้งานได้ในระดับที่ดี และยังสามารถปรับแต่งได้เองว่าอยากได้เสียงแบบไหนด้วยนะ

Un-Boxed
หลายคนอาจจะคิดว่า DAC Streaming เครื่องละ 5-6 หมื่นมันแพงไป และไม่คิดว่าการที่ต้องจ่ายตังซื้อเครื่องแล้วต้องจ่ายตังซื้อ software อีกมันเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
แต่ผมให้แง่คิดว่า ปัจจุบันโลกนี้สิ่งที่ขับเคลื่อนโลกไม่ใช่แค่ hardware หรือยุคอุตสาหกรรมเหมือนแต่ก่อน หลายคนคิดว่าจ่ายตังต้องได้ของถึงจะคุ้ม แต่วันนี้โลกขับเคลื่อนไปด้วย software , AI, internet of things, big data ทุกวันนี้เราใช้ google จนชิน เราส่ง line โทรไลน์จนค่ามือถือแทบจะไม่ต้องจ่าย เราอ่านข่าวบน smart phone จนหนังสือพิมพ์ที่จับต้องได้ล้มตายกันหมด เราใช้ google map จนไม่ต้องโทรถามทางกันแล้ว และแผนที่แผ่นพับแบบเก่าแทบจะไม่มีความจำเป็นเพราะมันไม่บอกตำแหน่งที่เราอยู่ ถ้าเราไม่รู้ตำแหน่งแผนที่แบบเก่าก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เราจะเห็นว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ ตอนนี้ขับเคลื่อนด้วย software และมันจะเป็นแบบนี้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ถ้าคุณคิดว่าการเล่นเครื่องเสียงในยุคเก่าจะต้อง analog ต้องขยับลำโพงกันทีละเซ็น ทีละมิล ต้องไม่ปรับ eq อะไรเลย ทุกอย่างต้อง flat ผมจะบอกว่านี่คือความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก การหาตำแหน่งลำโพงที่ดีที่สุดอาจจะยังจำเป็น แต่เมื่อตำแหน่งที่ดีที่สุดนั้นมันก็ยังให้เสียงที่ไม่ดีที่สุด การใช้ dsp ในการปรับจึงเข้ามาช่วยตรงนี้
เสียงที่เราได้ยินผ่านหู เกิดจาก อุปกรณ์ต่างๆเช่นลำโพง แอมป์ pre dac poweramp ไหลผ่านและเปล่งมันออกมาจากกรวยลำโพง และมันส่งออกมากระทบกับอคูสติกในห้อง สัดส่วนของเสียงจะดีหรือไม่อยู่ที่ห้องฟังและอุปกรณ์ต่างๆ แทบจะ 60 (ห้อง) :40 (เครื่อง)การประโคมสายแพงๆ อุปกรณ์เสริมต่างๆก็คือการเข้าไปแก้ความถี่ที่ลำโพงเปล่งออกมาประเภทนึง แต่สุดท้ายแล้วเสียงที่จะเข้ามาในหูก็ต้องผ่านอคูสติกห้องนั่นเอง

เครื่องรุ่นนี้จะมาพร้อม MDC ที่มันก็คือสล๊อตสำหรับ upgrade ซึ่งมีด้วยกัน 2 สล๊อต เช่นอัพเกรดให้มี hdmi ได้ หรืออนาคตมีฟังชั่นอะไรเพิ่มก็ซื้อเฉพาะฟังชั่นนั้นมาอัพได้ เป็นวิธีการออกแบบที่ดี และเครื่องอเมริกัน, ยุโรปจะนิยมใช้วิธีนี้ คือออกรุ่นใหม่ช้าๆ ตัวเครื่องอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี และตกรุ่นช้า แต่อัพเกรดได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรอัพเดทในอนาคต แต่ที่แน่ๆ มีฟังชั่นนี้ก็ถือว่า NAD มองการณ์ไกลและมีประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างเราๆครับ

Stop and Reviewใน section นี้จะไม่พูดถึงว่าเสียงมันดีมั๊ยนะครับ (ขอข้ามเรื่องนี้) แต่จะพูดถึงการใช้งานในแง่ต่างๆที่มันน่าสนใจดังนี้1. Bluos
การใช้งานและ UI มันดีมั๊ย ตอบสั้นๆว่า ก็ดี สมูธ และใช้งานได้ในระดับที่ใช้งานได้จริง ไม่ก๊องแก๊ง ยกเว้นเรื่องรีโมทกดไม่ค่อยติด แต่ถ้าถามว่ามันเลิศแบบ os ของ Naim ไหม ต้องบอกว่า Naim แม่มดีกว่า ลื่นกว่า และดูมีสไตล์มากกว่า ในตัว 658 หน้าจอจะเล็กและไม่โชว์ปกเพลง รวมถึงไม่สามารถแสดงชื่อเพลงไทยได้นะครับ
เมื่อได้มาก็เอาโหลดแอป แล้วเชื่อมไวไฟผ่าน app ไม่สามารถเข้าไปเชื่อมไวไฟจากเครื่องได้นะครับ ต้องผ่านแอปมันเท่านั้น เสร็จแล้วสิ่งที่ต้องทำก่อนก็คือ update firmware เครื่องเพื่อให้เป็น version bluos ล่าสุดที่รองรับ Tidal connect เพราะเราจะลองกันในหัวข้อถัดไป

2. Tidal Connect
feature ใหม่สดจากเตาที่ Tidal ที่เพิ่งออกมาใหม่ๆ พูดสั้นๆก็คือเป็นฟังชั่น cast เพลงจาก app tidal ที่สามารถเปิดแอป tidal แล้วเลือกลำโพงหรือเครื่องที่รองรับให้เสียงไปออกที่เครื่องนั้นได้เลย โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม third parties ห่วยๆ เช่น mconnect, bubble upnp
ตัวนี้ 658 รองรับ tidal connect แล้ว การใช้งานดี สมูธแต่มันก็ยังมีจุดที่กดแล้วเพลงไม่ไป ยังเล่นเพลงเก่าค้างอยู่แล้วเราเลือกเพลงใหม่ไปแล้ว แต่เพลงยังไม่มา ให้อารมณ์จะเดินต่อก็ไม่ได้ จะกลับไปก็ไม่ไหวแล้ว แต่ response และประสบการณ์ใช้งานผ่าน Tidal ตรงๆนั้นดีกว่าไปใช้แอปอื่นๆชนิดที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ต่างชนิดหน้ามือเป็นหลังตีน รวมๆคือถือว่าดีย์
และอย่างน้อยมันก็ดีตรงที่ Tidal มันเร่งเสียงตามยากหน่อยและ volume มันขึ้นทีละ 1 ไม่ใช่ขึ้นพรวดๆ 5 step เหมือน spotify (ลำโพงพังกันมาเยอะแล้ว)

3. Roon Ready อีกหนึ่งฟังชั่น must have ที่ต้องมี ไม่มีก็คือไม่ซื้อ ก็คือ Roon ตัวนี้ c365 เป็น roon ready ที่ได้ certified แท้ๆเลย (บางตัวเป็น roon ready ที่ไม่ certified หรือพูดง่ายๆก็คือบริษัทมันไม่จ่ายค่าต๊งให้รูนนั่นแหละ) Roon ก็จะงอน และออกมาบอกว่า ต่อไปกรูจะไม่ support มึงนะ และถ้ามีงเล่นแล้วมีปัญหากรูจะไม่ยุ่งนะ และไม่การันตีนะว่าจะเล่นได้ตลอด วันไหนกรูจะไม่ให้มึงเล่นก็ได้นะ แต่มันก็แค่ขู่ครับ นาทีนี้ roon ก็ยังปล่อยให้พวก roon ready ที่ยังไม่ certified เล่นได้อยู่ดี ที่รู้เพราะผมมีทั้งเครื่องที่ certified และ un-certified ซึ่งแม่มก็เล่นได้เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่สบายใจว่าวันนึง roon มันจะตัดหางกรูปล่อยวัดหรือเปล่าว่ะ
การใช้งาน roon นั้นวุ่นวายและ ไม่ user friendly เท่าไรนัก แต่แลกมากับคุณภาพเสียงที่ดีกว่าการใช้ tidal ตรงๆ เพราะ roon คือ player ที่ปรับแต่งมาเพื่อเน้นคุณภาพเสียงดีมาแล้ว และยังสามารถปรับแต่งเสียงได้ต่อได้ คล้ายๆ pre-processor เช่นสามารถ ลาก eq แก้ปัญหาได้ ตั้ง distance, low pass, high pass ได้ ซึ่งผมก็ใช้มันแก้ปัญหาห้องฟัง ซึ่งก็แก้ได้ระดับนึง ติดแค่ว่า ปัจจุบันเราไม่เห็นกราฟว่ามันมีปัญหาที่ย่านไหน และเท่าไร่ ผมจึงได้แต่เดาๆ และลากมันจากกราฟเดิมที่เคยเห็นตอนรันด้วย storm, emotiva ว่ากราฟมันมีปัญหาที่ย่านไหน แต่มันลำโพงคนละตัวกันไง เลยเดาๆว่ามันน่าจะมีปัญหาที่ 30-50 Hz มันโด่ง เลยทำให้เสียงทึบมาก ผมเลยดึงย่านนี้มันลงมาที่ -6 db ซึ่งได้ผล แต่มันก็ยังขาดๆเกินๆเพราะมันคือการเดา และดึงลงมาทั้งย่าน แต่พอมาเห็นกราฟจริงๆ ปัญหามันหนักกว่านั้น เพราะมันโด่งระดับ 10 db ไม่ใช่แค่ 6 dbสรุปคือ tool ที่ roon ให้มานั้นใช้งานได้จริง ถ้าเรามีเครื่องมือวัด แต่หากเราไม่เห็นกราฟของห้องเรา ก็เท่ากับเรามีปืน แต่ปิดตาเราไว้ เราจึงได้แค่คาดเดาและยิงไปตามจุดที่คิดว่าศัตรูเราจะอยู่แบบสุ่มๆ ตามเสียงที่เกิดขึ้น ซึ่งมันไม่แม่นยำ แต่ก็ดีกว่าไม่มีว่ะ
4. Dirac live
ในส่วนของ. Dirac live เราจะได้ dirac live lite version ตัวฟรีมา.
ซึ่งตัวนี้จะแคลและปรับให้เราแค่ 20-500hz ซึ่งก็ถือว่าแก้ปัญหาหลักๆที่สร้างความชิบหายในการฟังเพลงได้ระดับนึงแล้ว นั่นคือความถี่ต่ำ.
ไม่ต้องแปลกใจว่านักเล่นยุคเก่าๆสมัยยุคเว็บ thaiaudio ยังเฟื่องฟูจะกลัวเรื่องลำโพงเบสล้นกันมาก ชนิดที่ลำโพงตั้งพื้นตัวใหญ่หน่อย จะกลัวแล้วว่าจะล้น เพราะมันแก้ยาก ขยับกันจนทะลุกำแพงก็แก้ไม่ได้ จนติดมาเรื่อง home theater
ตัวนี้ C658 ให้มาฟรีเป็น lite version การใช้งานจะสามารถ connect ใช้ได้เลยไม่เหมือน pre-processor ที่จะใช้งานต้องไปเปิดฟังชั่นมันก่อน
ถ้าลองแล้วชอบก็ไปซื้อ dirac ตัวเต็มมาเล่นได้ 99 เหรียญตลอดชีพ แคลได้ทุกย่าน 20-20000 hz ส่วนใหญ่คนที่ชอบก็คือคนที่ห้องมีปัญหาอคูสติก ซึ่งมันแก้ได้จริงๆ ในระดับที่ไม่ทรมานสังขาลลำโพงนัก เช่นห้อง 8*10 ตรม ใช้ลำโพงฟังเพลงตัวเล็กๆ ใช้แอมป์หลอดกำลังนิดเดียวอะไรแบบนั้น แต่ถ้าห้องคุณ acoustic มันไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ก็อาจจะไม่คุ้มและไม่รู้สึกว่ามันว้าวอะไร เพราะของเดิมคุณมันไม่ได้แย่ไง
ราคา 99 เหรียญจ่ายครั้งเดียว ถูกกว่าไปกินบุฟเฟ่ตามโรงแรมหรือไปกินโอมากาเสะอีก.
ส่วน license จะติดกับเครื่องนะซื้อแล้วไม่ใช่ว่าจะไปปรับได้ทุกเครื่อง
ข้อเสียของ Nad dirac live หลักๆคือ ไมค์มันต้องเสียบกับเครื่อง C658 ซึ่งที่ถูกตามปกติมันต้องเสียบกับคอม เหมือน pre-pro ทั่วๆไป เข้าใจว่าออกแบบมาแบบนี้ เพราะตั้งใจให้ user ใช้กับ ipad, smart phone ได้นั่นเอง เวลาจะแคลจะต้องยกเครื่อง c658 มาตรงโซฟา ไม่พอต้องยกแอมป์มาด้วย เพราะมันจะไม่มีเสียง สาเหตุคือสาย usb มันไม่ยาวพอที่จะวัดได้ทุกจุด ใครเคยใช้จะรู้ว่ามันห้ย้ายตำแหน่งไปหลายตำแหน่ง สายมันจะตึงในส่วนของไมค์แถม คุณภาพไม่เพียงพอที่จะวัดได้ละเอียดพอ แนะนำให้โยนทิ้งไปเลย. (ล้อเล่น) แนะนำว่าไปสั่งไมค์ umik1 จาก minidsp มาใช้แทน แต่ระวังมันส่งแบบ dhl โดนภาษีอีก 6ร้อย) และเวลาแคล 2 ch ให้ปรับไมค์หันหน้าหาลำโพง ส่วนเวลาแคล home theater หันไมค์ขึ้นฟ้า เคนะ
dirac live version ของ nad , arcam, jbl และทุกยี่ห้อจะได้เวอร์ชั้น lite คือแคลได้ 20-500 hz ถ้าอยากได้แคลแบบเต็มระบบต้องจ่ายเงินซื้อตัวเต็ม
ส่วน emotiva rmc-1,xmc-2 จะได้ตัวเต็มแต่ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ bass control
ส่วน storm ได้หมดทุกอย่างที่ dirac ประเคนมาให้. แนะนำให้ลองใช้ bass control มันเทพมากและปรับความถี่ต่ำละเอียดมากจริงๆ ผลลัพธ์ถือว่าดีมากๆ
5. ลองปรับ Dirac live ว่ามันได้ผลจริงไหมผมจะใช้ไมค์ Umik-1 minidsp และใช้ลำโพง Klipsch cornwall iv, Amp Hegel H390, Dac Nad C658
หลังจากวัดแล้ว ขั้นตอนการวัดขอข้ามไปเลย มันเยอะและยาว ในส่วนของความถี่ต่ำย่าน 50-60 hz ห้องนี้เกินมาตั้ง 10 db ก็ไม่แปลกใจที่คนมาฟัง 2 ch กับลำโพงคู่ละครึ่งล้านห้องกรูแล้วจะไม่ปลื้มและบ่นว่าทึบ แหลมมันสู้ลำโพงราคา 2 หมื่นห้องเขาไม่ได้ (เจ็บจี้ด)
และไม่ต้องแปลกใจว่าลำโพงตั้งพื้นห้องนี้จะฟังเชี่ยกว่า bookshelf มาก
เพราะลำโพงบุ้คเชลฟ์มันทำงานลงมาไม่ถึงจุดที่เป็นปัญหาหนักนั่นเอง และที่เด็ดคือหากนำลำโพงบุ้คเชลฟ์มาฟังในห้องนี้จะฟังดูมีน้ำมีเนื้อมีเบสขึ้นมาเลย ซึ่งปกติจะเป็นจุดอ่อนของลำโพงบุ้คเชลฟ์ที่เบสน้อย และบาง สเกลเล็ก
วิธีแก้อคูสติกจริงๆอย่างถูกต้องมีสองอย่าง คือ
1. แก้อคูสคิกห้องจริงๆ ซึ่งผมไม่ทำเพราะห้องนี้มันคือห้องดูหนังไม่ใช่ห้องฟังเพลง
2. ใช้ software ช่วยได้ในระดับนึง ข้อนี้ต้องดูลำโพง และปัญหาว่ามันคืออะไร และดึงและกดได้แค่ไหน การกดจะสร้างปัญหาน้อยกว่าดึงขึ้น แต่ถ้ามันดึงหรือกดเยอะๆ เสียงมันก็จะไม่ะรรมชาติได้เหมือนกันครับ
แต่ที่แน่ๆการแก้ปัญหาแบบนี้ล้วนต้องใช้ตังค์ แต่วิธีที่เราไม่แนะนำก็คือไปเสียตังเปลี่ยนสายแพงๆ ซึ่งเสียงมันเปลี่ยนจริงแหละ แต่เปลี่ยนแบบ random และไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปในทิศทางใด เป็นการแก้ปลายเหตุ
เสียงหลังจากโหลด Dirac เข้าไปแล้ว มันจะไปปรากฏในเครื่องให้เราเลือก จะเลือกหรือไม่เลือกใช้ก็ได้ และแน่นอนเราก็ต้องเลือกใช้สิ ไม่ใช่จะซื้อมาทำห..อะไรจริงไหม ซึ่ง Dirac มันสามารถโหลดและปรับได้หลายชุด ไม่ต้องวัดใหม่ด้วยนะหากลำโพงและตำแหน่งไม่เปลี่ยน หากโหลดใส่เครื่องแล้วไม่ชอบก็ไปแก้ curve ใหม่ได้ แล้วโหลดมาทับหรือสร้างใหม่เอาไว้ฟังเทียบกันก็ได้หลายๆ preset เลิศมั้ยอะ

ตรงนี้ฝรั่งเขารีวิวไว้ว่าลองฟังแล้วเสียง sound stage มันแคบลง ไม่กว้าง ฟังแล้วโฟกัสและพุ่งกว่าเก่า บางคนบอกฟังแล้วคมและแสบหูไปนิด
ซึ่งผมลองแล้วก็จริง เพราะเบสบางไปหน่อย เลยเข้าไปแก้ curve อีกนิด ยกเบสขึ้นหน่อยก็เป็นอันใช้ได้ ฟังแล้วเสียงมี clarity ที่ดี ชัด เสียงกลางลอยและเด่นไม่ทึบ เทียบกับก่อนใช้ dirac เป็นหน้ามือหลังตีน เคสผมคือการกดลง จะเห็นผลดีกว่าการยกขึ้น ซึ่งตรงนี้ผมว่าผลลัพธ์มันคือการเปลี่ยนแบบระดับ game changer ไปเลย ไม่ใช่แค่ดีขึ้น แต่มันเปลี่ยนจากแก้สิ่งที่บกพร่องให้ฟังได้ในระดับปกติ
ส่วนถ้าใครห้องไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่ถ้าใช้แล้วไม่ใช่ว่ามันจะดีขึ้นในทุกเคส เพราะรสนิยมคนเรามันปัจเจก
ตัว dirac live จะคำนวนและปรับเสียงให้อัตโนมัติออกมาเป็น standard curve ตามมาตรฐานและ algolithm ของโปรแกรม
ส่วนจะชอบมั้ย ก็แล้วแต่คน บางคนฟังเสียงหนาๆบวมๆแล้วบอกเสียงใหญ่มีสเกล อิ่มฟังสบาย บางคนฟังแหลมจนแทบหูจะขาด
dirac จึงไม่ยัดเยียดให้คุณชอบเหมือนมัน แต่มันอนุญาติให้คุณปรับ target curve ต่อได้หลังคำนวณเสร็จว่าคุณชอบแบบไหน แค่มีความรู้นิดหน่อยว่า ถ้าอยากได้เสียงทึบๆ เอ้ยเสียงหนาๆอิ่มๆ หรือเสียงแหลมแสบๆสดๆเอ้ย. แหลมเปิดรายละเอียดดี ควรปรับกราฟที่ย่านไหน (เป็น gui ปรับง่ายไม่มีความรู้ก็เล่นได้)

ข้อดี 1. Dirac live ไม่มีข้อนี้เราก็คงไม่ซื้อแน่นอน ใช้งานได้ดี นะครับเอาไว้แก้ปัญหา ถือเป็น room correction อันดับหนึ่งของโลกก็ว่าได้2. ราคาไม่แพง ราคานี้ ได้ Dac ที่ทำได้หมดทุกอย่าง ทั้ง Tidal connect, Spotify connect, Roon ready และยังได้ software Dirac live แม้จะเป็น lite version แต่ด้วยราคานี้ขอบอกว่าโคตะระคุ้มแล้วครับ
3. คุณภาพเสียงก่อนปรับอาจจะพอๆกับ Dac อีกตัวที่ผมมี นั่นคือ Magnet elite S ซึ่งต้องบอกว่าของดีนะครับ คนไทยทำของดีมาก ใช้ dac AK4498 คุณภาพสูง ฟังดี พริ้ว โทนัลบาล้านดี ในขณะที่ Dac ES9038pro ก็จะให้จุดเด่นอีกแบบนั่นคือรายละเอียดและกลางแหลมที่เด่นชัด
แต่ภายหลังปรับ Dirac live แล้ว C658 เสียงมาครบกว่า ซึ่งตรงนี้เทียบไม่ได้ว่า C658 ดีกว่า เนื่องด้วยเพราะ Magnet เราฟังโดยไม่ได้ปรับ dsp (ไม่มี Dirac live) นั่นเอง
ข้อเสีย
1. เครื่องรุ่นนี้มี issue อยู่อย่างนึงก็คือ ตอนทดสอบต่อฟัง Streaming กับ Roon / Tidal connect ตัวเครื่องและ DAC จะไม่สามารถเร่งได้ถึง 100% (ความดัง 0) ไม่เช่นนั้นตัวเครื่องจะส่งสัญญาณที่มี Distortion และ noise ออกไปสู่ power amp และลำโพง โดยที่ noise นั้นไม่เกี่ยวกับ gain ความดังของลำโพงหรือ power amp เลย แม้จะเร่งเสียงที่ power amp เพียงเล็กน้อย แต่ volume ที่ roon / tidal (C658) ขึ้นไปที่แตะใกล 0 เมื่อไร่ตัวมันจะผลิต noise ส่งออกมาเอง
ปัญหานี้ช่วงแรกผมเข้าใจว่าเป็นที่ตัวเครื่องของผมมีปัญหาเฉพาะตัว แต่เมื่อลองลด volume จาก source ลงมาที่ระดับ 20 ก็ฟังได้ปกติ
และเมื่อลองไปค้นใน google ดู ก็พบว่าปัญหาดังกล่าวเกิดกับเครื่องอื่นๆที่ต่างประเทศด้วย ฝรั่งบอกว่ามันน่าจะเป็นปัญหาเรื่อง gain mismatch ที่ออกแบบให้สามารถเร่ง volume ได้เกินกำลังของเครื่องหรือ Dac จนตัวมันมี distort และจะยิ่งฟังชัดมากเมื่อจับกับลำโพงแนวเสียงชัดๆ เช่น horn ทำให้เราไม่สามารถเร่ง volume ไปในจุดที่ควรจะเร่งได้
ซึ่งปกติแล้วเวลาเราเล่น dac streaming หรือ source จากเครื่องเล่นใดๆ เราก็มักจะต้องเร่ง volume ของเครื่องเล่นนั้นๆไว้ที่ max เสมอ เช่น pioneer lx500, oppo uhd203, uhd205 หรือ source ต่างๆก็จะเป็นทำนองนี้ แล้วเราจะย้ายไปเพิ่มลด volume ที่ตัว pre, power แทน ซึ่ง magnet elite s ก็ต้องเร่งจนถึงสูงสุด นั่นคือ 0 และไปเพิ่มลดเสียงที่ตัวแอมป์แทน
ในที่นี้ผมใช้ Amp Hegel H390 เป็น power และใช้ Dac streaming เป็น NAD C658 สลับกับ Magnet Elite S และต่อพ่วงกันกับ Hegel ด้วย XLR
Source ใช้ Tidal และ Roon
https://forum.audiogon.com/discussions/distortion-nad-c-658
ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้มีผลต่อคุณภาพเสียงของเครื่องหรือลำโพง สามารถแก้ได้ 2 วิธีคือ
1. ด้วยการ balance volume ให้พอดี โดยไม่เร่ง volume ที่ source tidal / roon ให้แตะ 0 แต่ไปเร่ง volume ที่ amp แทน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้แอมป์ต้องเร่งมากขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย
2. ด้วยการไป fix volume ของ c658 ไว้ ไม่ให้มีการลด volume ต่ำกว่า 10 โดยตัวเครื่องสามารถตั้ง volume ได้ 2 แบบคือ variable และ fix หากเราตั้งเป็น fix เราสามารถตั้ง fix ไว้ที่ volume เท่าไร่ก็ได้ ซึ่งปกติเครื่องอื่นเขาจะสามารถตั้งไว้ที่ 0 ได้ แต่วิธีนี้เราจะตั้งไว้ที่ -10 หรือ -20 แทน ซึ่งก็จะไม่เกิดปัญหา แต่ก็ไม่มช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเป็นแค่การเลี่ยงไม่ให้ user ไปลด volume ลงจนถึงจุดที่มี noise นั่นเอง แต่ปัญหายังคงอยู่ คล้ายๆ รถคันนี้วิ่งเกิน 140 ไม่ได้ เครื่องจะสั่น ก็ไปแก้ด้วยการล๊อคคันเร่งให้เร่งได้แค่ 135 แทน ทำนองนี้
ปัญหานี้น่าจะเป็น known issue ของ NAD และผมไม่ทราบว่าจะสามารถแก้ได้ด้วย firmware หรือไม่ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไป ข้อสังเกต : ผมเห็นรีวิวตัวนี้ตามสำนักต่างๆหลายตัว แต่ไม่มีใครพูดถึงปัญหานี้เลย ทั้งๆที่ตัวมันเองเป็น Dac streaming ซึ่งน่าจะเจอปัญหานี้ตั้งแต่ลองใช้ครั้งแรก ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นปัญหาเรื่องการทดสอบที่ไม่คลอบคลุมหรือจรรยาบรรณในการรีวิวที่ไม่สามารถพูดถึงได้หรืออย่างไร อันนี้ฝากไว้ให้คิดนะครับ หากเราจะรีวิวแต่ข้อดี แต่ไม่พูดถึงข้อเสียเลย โดยเฉพาะข้อเสียที่เด่นชัดเช่นนี้ ผมว่าเราอย่าเรียกว่ารีวิวเลย เราเรียกว่าโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือโปรโมทสินค้าจะตรงกับเนื้อหามากกว่าครับ2. รีโมท ตัวที่ผมได้รับมีอาการกดลึก คือกดไม่ค่อยติด ต้องกดลึกและกดย้ำ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรครับ เพราะปกติ DAC เราจะไม่ค่อยปรับแต่งกดรีโมทอะไรเยอะแยะอยู่แล้ว
สรุป เครื่อง DAC Streaming อาจเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับนักเล่นในบ้านเรา และอาจจะดูไม่จำเป็น แต่เชื่อเถอะว่า มันจะมาแทน cd player เพราะเมื่อก่อนเราซื้อเครื่องเล่น cd แพงๆ แล้วหาซื้อแผ่นมานั่งเล่น ใส่แผ่นทีละแผ่น กรอแทร๊คทีละแทร๊ค อนาคตเราจะซื้อ streaming dac มาฟัง และสามารถเปิดโลกออกไปฟังเพลงใหม่ๆอีกนับล้านเพลง แม้ว่า audiophile จะบอกว่า พวกเขาไม่สนใจ เพราะ audiophile ฟังแต่เพลงเก่าและแผ่นเดิมๆ แต่อย่าลืมว่าโลกหมุนไปทุกวัน วันนึงเมื่อถึงวันและยุคของลูกหลานเรา วันนั้นเขาจะตั้งคำถามว่า ทำไมต้องซื้อแผ่นทีละแผ่นในเมื่อมี content hi res พร้อมเสิรฟในราคายุติธรรมและเข้าถึงง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเสียงในยุคเดิมของคุณพ่อได้ทันที......ผมจะไม่สรุปว่า NAD C658 คุ้มหรือไม่ แต่ที่แน่ๆสำหรับผมตราบใดที่มันมี Dirac live ต่อให้มันแพงกว่านี้สองเท่า ผมก็ว่ามันคุ้มสำหรับตัวผมเองที่ไม่ต้องไปหาห้องฟังใหม่ หรือต้องยุบห้องดูหนังมาทำห้องฟังเพลง ซึ่งราคามันคงไม่ใช่แค่ 5-6 หมื่นเป็นแน่ครับปล. NAD วันนี้ไม่ใช่ NAD ในวันเก่า วันที่ผมเพิ่งเล่นเครื่องเสียงอีกแล้ว แต่เป็น NAD โฉมใหม่ที่พร้อมปรับตัวก้าวไปให้ทันกับโลกสมัยใหม่ เพราะอย่าลืมว่า ต้านทานอะไรก็ต้านทานได้ แต่ไม่ใช่วันเวลาและกระแสของโลก
ทุกอย่างที่เราได้ยินไม่ใช่เวทย์มนต์ แต่มันคือวิทยาศาสตร์ เสียงสามารถวัดออกมาได้ด้วยกราฟ ทุกอย่างอธิบายได้ ในวงการ Home theater นักเล่นที่เจนจัดเล่นมาถึงจุดนึง (นักเล่น ht จริงๆนะ ไม่ใช่นักเล่น ht สายมูเตลู) มักจะออกมาขายสายสัญญาณ สายไฟแพงๆ ออกเหลือแต่ตัวที่จำเป็นจริงๆ และกระซิบบอกผมว่า (ผมเป็นคนไปซือต่อ) มันต่างนะครับ แต่มันนิดเดียว เทียบกับการเซ็ทอัพในระบบ ภายใน pre-processor, dsp แล้วมันได้ผลที่ชัดเจนกว่า แถมมันไม่เสียตังว่ะพี่
