"แค่นี้ก็ดีแล้ว" หรือ "มันต้องดีกว่านี้ได้อีก"
คำสั้นๆสองคำที่เขียนต่างกันนิดหน่อย แต่ความหมายต่างกันลิบลับ
ถ้าเป็นบรรยากาศการแข่งขันในการทำงาน ในองค์กรณ์เอกชน คุณคงคิดถึงข้อสอง เพราะการหยุดอยู่กับที่ในขณะที่คนอื่นเดินหน้า ก็เหมือนกับยืนอยู่บนลู่วิ่งที่ดึงเราถอยหลังอยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้ามาดูในโลกของเครื่องเสียง "แค่นี้ก็ดีแล้ว" กับ "มันต้องดีกว่านี้ได้อีก" คุณเป็นคนแบบไหนครับ?
บางคนอาจจะถามว่ามีทางสายกลางให้เลือกมั๊ย คือก็พอใจนะ แต่ถ้ามีเงินหรือเจอสินค้าดีๆก็ค่อยอัพ ถ้าคุณถามแบบนี้ คุณยังอยู่ข้อสองครับ นั่นคือคุณยังอยากจะอัพอยู่ เพียงแต่รอเวลา รอหาของที่ถูกใจ รอเงิน รอช่วงเวลาที่เหมาะสม
แล้วถ้ายังงั้น อะไรคือซิสเต็มที่ดีที่สุดที่คุณหา? จุดไหนคือจุดสูงสุดที่คุณอยากจะไป
คนฟังลำโพงทีวีก็อยากจะได้ชุดโฮมพวก Philips LG
คนใช้ Philips LG ก็อยากจะได้ In The Box จะได้อัพเกรดได้
คนใช้ In The Box ก็อยากจะได้ชุดแยกชิ้นจริงๆ แมทชิ่งเอง เลือกของเอง
คนใช้ชุดแยกชิ้นเล็กๆก็อยากได้ชุดใหญ่ๆ อยากไป AVR ตัวท๊อป
พอได้ AVR ตัวท๊อปก็อยากจะไป Pre-Pro
พอได้ Pre-Pro ก็อยากจะไปชุด Hi-end
พอมีชุดใหญ่ๆก็ดูหนัง ฟังเพลงไม่สุด อยากจะแยกชุดดูหนัง กับชุดฟังเพลงสองแชนแนล
มันจะมีคำพูดนึงของพ่อค้าที่ใช้หลอกล่อบรรดานักเล่นเครื่องเสียงนั่นคือ "ชุดนี้คุ้มครับ แพงแต่จบ ใช้ได้ไปยาวๆเลยครับพี่" สักพักคนพูดก็จะมีสินค้าใหม่ๆ สายไฟเอย สายลำโพงเอย สายสัญญาณเอย สารพัดออกมานำเสนอว่า ตัวนี้ยกระดับเสียงซิสเต็มพี่ให้ดีขึ้นได้อีกเยอะนะครับ
เห็นมั๊ยครับโลกการเล่นเครื่องเสียงมันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ถามว่ากว้างแค่ไหน ก็กว้างเท่าที่ใจคุณอยากจะไปและกำลังทรัพย์คุณจะเอื้อมไปได้นั่นแหละ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า ไอ้นี่มันบ้าหรือโง่กันเนี่ย เป็นร้านขาย เป็นพ่อค้า แต่ทำไมมาเขียนบทความแบบนี้ มากระตุ้น มาดึงสติคนเล่นให้คิดอะไรแบบนี้ ทำไมไม่ผลิตบทความให้คนอยากจะอัพ อยากจะเปลี่ยน ให้คนรู้สึกอยากๆๆๆๆๆๆๆได้อยากซื้อของละคร้าบบ
คำตอบคือ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมขายสินค้าชิ้นนึงไป ลูกค้าเคยฟังมาบ้างแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าซิสเต็มที่ลูกค้าใช้อยู่เสียงมันจะแมทกับสินค้าชิ้นนั้นหรือเปล่า ลูกค้าไปถามร้านอื่นก็ได้คำแนะนำมาว่า เหมาะครับ เล่นได้ ตัวนี้มันเกิดมาคู่กัน (การตลาดผมเค้าบอกมาแบบนั้น อุ๊ป)
เรื่องก็คือลูกค้ามาถามผมว่าจะซื้อตัวนี้นะ แนวเสียงเป็นยังไง ผมก็อธิบายๆๆๆ ถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาเป็นคำพูดให้ลูกค้าเข้าใจว่าเสียงมันจะออกมาแนวไหน เพราะบางทีการที่เราแมทชิ่งเครื่องเสียงนั้น
เราทำได้เพียงบอกแนวทางและแนวเสียงให้ลูกค้าเข้าใจว่าจะเป็นยังไง แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมาก เช่นความชอบ และประสบการณ์ของแต่ละคน บางทีเราชอบลูกค้าไม่ชอบ หรือบางทีเราไม่ชอบ แต่ลูกค้าดันชอบ เป็นเรื่องยากและเป็นเส่นห์ของเครื่องเสียงอย่างหนึ่ง
สุดท้ายลูกค้าตัดสินใจซื้อ ส่งของไปให้ลูกค้าที่ตจว เรียบร้อย สักพักลูกค้าโทรมาบอกว่า โห เสียงมันสด เฟี้ยว แก้วแตก เสียงเปิดฝาไฟแช๊คมันบาดหูพี่มากๆเลย ตอนนั้นในใจผมแป๊วมากๆ ใจเสียมากๆ
เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การที่ลูกค้าไม่ซื้อหรือไปซื้อกับร้านอื่น แต่เป็นการที่เชียร์ให้ลูกค้าซื้อไปแล้วลูกค้ารู้สึก "เสียดายเงิน" "เสียเงินเปล่า" ลูกค้าผิดหวัง และเอาเราไปพูดว่า ร้านนี้อย่าไปขอคำแนะนำ เชียร์แต่ของ ขายแต่ของ แต่ให้คำแนะนำไม่ได้
กลายสภาพเป็นร้านดังที่เน้นขายเอาจำนวน เน้นทำราคา ลูกค้าโทรมาถามสินค้าอะไรตอบไม่ได้สักอย่าง รู้อย่างเดียวราคากับลดได้เท่าไร่
แต่พอฟังลูกค้าต่อไปอีกสักพักก็พบว่า ทุกอย่างดีขึ้นหมด เสียงในทุกๆย่าน แต่ติดอย่างเดียวคือเบสมันบางลง ถามต่อก็เจอว่าตัวเก่าที่ลูกค้าใช้นั้นเป็นลำโพงที่เสียงหนา และมีเอกลักษณ์เรื่องเสียงอวบอ้วนมาก พอเปลี่ยนมาเป็นตัวนี้จึงเกิดข้อสังเกตชัดเจน
หลังจากนั้นอีกสองวันลูกค้าก็โทรมาคุยเล่นกับผมต่อว่า เออเบิร์นไปแล้วเสียงไม่บาดหูแล้ว แต่เสียงบางลงกว่าตัวเก่านิดหน่อย ตอนนี้ชอบแล้ว จากตอนแรกที่จะเก็บลงใส่กล่อง ก็เอามาใช้แทนตัวเก่าได้เลย
นาทีนั้นเหมือนโล่งอก เหมือนคนขับรถชนท้ายเค้าแล้วเค้าไม่เอาเรื่อง โล่งใจ เพราะการที่ลูกค้าซื้อไปแล้ว ลูกค้ารู้สึกชอบ รู้สึกคุ้มค่าที่จ่ายเงินไป รู้สึกไม่โดนร้านหลอกและเค้าบอกต่อถึงร้านเรา "ในแง่ดี" คือสิ่งสำคัญที่สุดของคนขายทุกคน ของร้านทุกร้าน ซึ่งตรงนี้สำคัญกว่าทำยังไงให้ขายได้มากนัก เพราะการขายได้ บางทีมันแค่ช่วยให้เดือนนี้คุณอยุ่รอด แต่การมีฟี๊ดแบ๊กที่ดีจากลูกค้า การที่ลูกค้ากล้าแนะนำเราและบอกต่อ นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ร้านค้าร้านนั้นยืนอยู่ได้ในระยะยาวครับ
สุดท้ายมาถึงตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่จุดไหนของการเล่นเครื่องเสียง "พอใจแล้ว" หรือ "มันต้องดีกว่านี้ได้อีก" ก็ไม่สำคัญเท่า
"ใจ" และ "งบประมาณ" ของคุณตอนนี้มันอยู่ตรงไหนแล้ว ถ้าคุณมีครบทั้งคู่ จ่ายแล้วไม่เดือดร้อนใคร เล่นได้ จ่ายแล้วได้ซิสเต็มที่ดีขึ้น มีความสุข เสียงดีขึ้น แบบนี้เล่นไปเลยครับ ใครจะกล้ามาว่าเราได้ใช่มั๊ยครับ (ยกเว้นภรรยา อันนี้อย่าให้รู้ราคา)
เริ่มจากตั้งงบก่อน หาลิมิทให้ตัวเอง หากรอบให้ตัวเอง ถามตัวเองก่อนว่าชอบอะไร แบบไหน เน้นหาข้อมูลก่อนจ่ายเงิน ปัจจัยไหนสำคัญที่สุดสำหรับคุณ
ร้านต้องสวย มีเซ็ทอัพดีๆเตรียมไว้ จ่ายแพงกว่าหน่อยแล้วแฮปปี้ มั่นใจ
หรืออยากได้ร้านประเภทกูรู มีรับติดตั้งเซ็ทอัพ ถามอะไรอับดุลตอบได้
หรือร้านค้าที่ราาพิเศษหน่อย ถูกกว่านิดหน่อย 0% เท่านั้น แต่ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้เลย ซื้อแล้วต้องไปหาข้อมูลเอง ติดเอง ลองผิดลองถูกเอง
หรือต้องการทั้งหมดในร้านเดียว
พิจารณาให้ถี่ถ้วนครับ ไม่มีทางไหนถูก หรือ ผิด เดี๋ยวนี้ร้านค้าเยอะ แย่งลูกค้ากัน อำนาจอยู่ในมือของลูกค้า ผมเชื่อแบบนี้
ร้านค้าที่มองลูกค้าเป็นเหยื่อ มองลูกค้าว่าไม่รู้เรื่อง บางทรปิดบังข้อมูล หลอกลูกค้า รับสินค้าเก่าๆ ตัวโชว์มาหลอกขายว่ามีประกัน หรือร้านที่ลูกค้ามือใหม่มาถาม แล้วตอกลุกค้ากลับเจ็บๆ ถามมาด่าไป แบบนี้ก็ให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินผลการกระทำไปเอง What goes around come around นะครับ
อย่าให้การตลาด หรือพ่อค้ามาบอก มาตัดสินใจแทนคุณ เพราะคนที่จะตัดสินใจได้ดีที่สุดว่าตัวไหนเหมาะ ตัวไหนดีที่สุด "คือคุณ" ไม่ใช่ร้านค้าครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |