สายสัญญาณ Balance & Un-Balance เลือกใช้แบบไหนดี
ก่อนอื่นขอ intro พื้นฐานก่อนว่า
1. สาย balance
คือสายสัญญาณที่ใช้สาย 3 เส้นประกอบกันขึ้นมาเป็นสาย 1 เส้น นั่นคือ + (hot), - (cool), ground การที่แยกสาย ground ออกจาก - นั่นแปลว่าสายแบบ balance จะให้สัญญาณรบกวนที่ต่ำมาก และยังมีความต้านทานที่ต่ำ ทำให้สัญญาณที่ต่อออกจากปลายสายข้างนึงไปปลายสายอีกข้างนึงมีความแรง สัญญาณรบกวนน้อย จึงสามารถเดินสายยาวๆหลายสิบเมตรได้นั่นเอง
สาย balance นิยมเข้าหัวด้วยกันสองแบบนั่นคือ หัว xlr และหัว 1/4TRS
แต่ในวงการฮิฟิ (HiFi) บ้าน นิยมเรียกทับศัพท์สาย xlr ว่าคือสาย balance ไปเลยก็ไม่ผิดเช่นกัน แต่ให้จำไว้ว่าสาย balance ไม่ได้มีแค่หัว xlr เพียงประเภทเดียว (คล้าย ๆ รถ suv ทุกคันก็คือรถ แต่รถทุกคันไม่ได้มีแค่ suv แต่มี sedan, van และอื่นๆอีกมากมาย อะไรประมาณนั้น)
2. สาย Un-Balance
คือสายที่ใช้สายแกนในเพียงสองเส้น นั่นคือ + (hot) และ - (cool),ground ในเส้นเดียวกัน
สายประเภทนี้จะเอาสาย - กับ ground มารวมไว้ด้วยกัน
และนิยมเข้าหัวหลักๆคือ rca และ phono แต่ในวงการฮิฟิ (HiFi) บ้านเราก็มักทับศัพท์สาย rca แทนสาย Un-Balance ไปเลยก็เข้าใจกัน
สายประเภทนี้จะมีความต้านทานสูงกว่า และมีสัญญาณรบกวนที่มากกว่าเพราะการเอาสาย - และ ground ไปรวมไว้ด้วยกันนั่นเอง สายแบบนี้นิยมเป็นสายมาตรฐานของเครื่องเสียงตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนหลักแสนหลักล้าน เป็นสายสามัญประจำบ้านที่ใครๆก็นิยมใช้ครับ
ทีนี้มาดูข้อดีข้อเสียของสายทั้งสองประเภท
1. Balance ให้ gain สัญญาณแรงกว่า Un-Balance ประมาณ 3 dB
สาเหตุที่ Un-Balance ให้ gain แรงกว่าก็เป็นเพราะมีความต้านทานที่ต่ำ พอให้สัญญาณแรง เวลาเราต่อสาย xlr เทียบกับ rca เราจึงพบว่าเสียงชัด พุ่ง หนักแน่น ชัด ดูมีมิติกว่าเสมอ (ในสายระดับเดียวกัน) เพราะว่าจริงๆแล้วความดังมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 dB ครับ
ข้อดีของ gain ที่สูงก็คือ ที่ volume เท่าเดิม เราสามารถเล่นได้ความดังมากกว่าเดิม ลดการสูญเสียสัญญาณ อันนี้ทำให้เราลด volume ลงมาในระดับปกติที่เราฟังได้ และมี headroom เหลือเพิ่มขึ้น load ของเครื่อง (avr, power amp ลดลง) เปรียบง่ายๆเช่น เราเคยใช้แรง 80% ในการยกของหนัก 100 kg
แต่พอเปลี่ยนสาย เราสามารถใช้แรงแค่ 50% ในการยกของน้ำหนัก 80 kg เท่าเดิม ทำให้เราเหนื่อยน้อยลง และเหลือแรงไปทำอะไรที่มันต้องใช้แรงมากกว่านี้ได้อีกถ้าเทียบกับแบบแรก ที่มันแทบจะชน limit ชีวิตเต็มร้อยของเราแล้ว
2. Noise ต่ำ
สาย balance มีการเดินสายแยกภายใน 3 เส้น และแยก ground ออกมาต่างหาก ทำให้ สัญญาณรบกวนต่ำมาก
และสัญญาณรบกวนต่ำก็คือดีย์ (โปรดทำเสียงแบบเด็กแนวตาม คือดีย์) เร่งได้ดัง สะอาด สงัด (ไม่พูดถึงบุคลิกเสียงของสาย)
เวลาไปต่อ power กับ avr ด้วยสาย rca เรามักจะพบว่าบางบ้านมีเสียงฮัมจาก ground loop หรืออะไรก็แล้วแต่ บ่อยครั้งสาย xlr ก็ช่วยให้เสียง hum เบาลงหรือหายไป เพราะการต่อ power amp นอกจากจะไปขยายเสียงที่ดีที่เราอยากฟังแล้ว แต่มันยังขยายขยะและ noise ที่อยู่ในระบบเราด้วย หาก avr และระบบไฟเราไม่นิ่ง มีกราวด์ลูป เพาเว่อร์ก็จะขยายสิ่งนั้นให้ดังขึ้นด้วย และยิ่งสาย rca ที่มีกราวด์และสายลบ (cool) รวมกัน ยิ่งเปิดโอกาศให้เสียงฮัมชัดขึ้นกว่า xlr มากครับ
3. ระยะของสาย
สาย Balance สามารถเดินได้ยาวกว่า Un-balance มากๆ สาย xlr อาจจะเดิน สัญญาณซับวูฟเฟอร์ขึ้นฝ้า 20-30 m เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามันเป็นสาย rca มันจะไม่ปกติแล้ว เพราะที่ระยะเกิน 10 ม. สัญญาณที่อ่อนลงจะมีผลต่อคุณภาพเสียงทันที เราจึงไม่นิยมเดินสาย rca ยาวมากๆ เช่นในวงการ pa ที่ต้องเดินสายยาวๆ จึงไม่สามารถใช้สาย rca ได้นั่นเอง (สาย xlr ไม่ใช่งานเกรด pa หรืองานบ้่านหม้อ โปรดแยกแยะ แต่ด้วยข้อดีของ xlr - balance จึงทำให้วงการ pa นำมาใช้)
4. ราคา
ในเกรดเท่าๆกัน สาย balance มักมีราคาสูงกว่าสาย Un-Balance เสมอ สาเหตุจากชนิดของสายที่นำมาทำและการเข้าหัวที่มีความยุ่งยากกว่า
5. ประเภทช่องต่อสัญญาณของ pre, power ,player ลองสังเกตไหมว่าเครื่องเราทั้งสามมีช่องต่อแบบไหนให้มา
บางเครื่องให้ rca มาอย่างเดียว
บางเครื่องให้มาทั้งคู่ บางเครื่องให้ xlr อย่างเดียว
แต่สิ่งที่ควรคำนึงเครื่องประเภทที่ให้มาทั้งสองประเภท (xlr /rca) ภายในเครื่องนั้นแยกวงจร balance / Un-Balance ออกจากกันหรือไม่
เครื่องระดับ entry / mid-end level ส่วนใหญ่ที่ให้ขั้วมาทั้งสอง มักจะนำสัญญาณไปรวมกันในตัวเครื่อง จึงทำให้ข้อดีของสาย balance นั้น ไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ (แต่ก็ยังได้ประโยชน์ในเรื่อง gain ความดังและความยาวของสาย)
เมื่อเทียบกับเครื่องที่ให้ xlr แยกวงจรภายในออกมา หรือเครื่องที่ให้ xlr เพียงอย่างเดียว เพื่อมุ่งเน้นให้คุณภาพเสียงสูงที่สุด เช่น ATI, Anthem (p series), Emotiva rmc-1
*** เราจะสังเกตว่าในวงการโอ้ไฟล์ (audiophile) ที่เน้นฟังเพลง มักจะมีวลีที่บอกว่า ผมชอบ rca มากกว่าเพราะมีความเนียน ลื่นไหล สะอาดละมุนละไมกว่า
ในความเป็นจริงแล้ว เป็นความเข้าใจผิด เพราะหากสายในระดับเดียวกันแล้ว (ไม่พูดถึงบุคลิคเสียง) สาย rca จะดังน้อยกว่า และ noise เยอะกว่าเสมอ แต่สาเหตที่บางท่านพูดเช่นนั่นก็ต้องอธิบายใหม่ว่า ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่หลายท่านที่มีซิสเต็มฟังเพลงมักนิยมฟังไม่ดังนัก พอสาย xlr มัน gain สูงกว่า เลยทำให้ซิสเต็ม ลำโพง แอมป์ ดังขึ้น แรงขึ้น ทำให้ที่ volume เท่าเดิมในเพลงประเภทซอฟท์ ๆ หรือ volcal มันดังกว่าเดิม
เราสังเกตว่าคนฟังสองแชนแนลนิยมฟังไม่ดังมาก และเวลาไปลองฟังเขาก็จะแนะนำให้ฟังที่ระดับปกติที่ฟังที่บ้าน (ซิสเต็มฟังเพลงคุณภาพสูง ฟังเบาๆก็ฟังดี ตรงข้ามกับชุดมัลติ) นั่นเพราะชุดฟังเพลงฟังดีที่ระดับนึงทั้งฟังแบบเบาๆค่อยๆ มีรายละเอียด และระดับปกติ ยิ่งไปเร่งไปเค้น นอกจากฟังไม่เพราะแล้ว ยังเปิดเผยความไม่น่าฟังของซิสเต็มให้ชัดขึ้น
คนที่เล่น home theater เวลาไปลองฟัง เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องลองฟังสิ่งที่ดังกว่าปกติ เพราะคุณสมบัติของลำโพงแอมป์ ปรีดูหนังที่ดีนั้นต้องให้ peak และ dynamic ที่ดี ภาษานักเล่นคือ ยิ่งเร่งยิ่งฟังดี ฟังสนุก ไม่ใช่ยิ่งเร่งยิ่งเจี้ยวจ้าว บาง หนวกหู เราจึงต้องลองทั้งระดับฟังปกติ และระดับสามารถทดสอบ maximum ของหูและชุดเราว่ามันฟังดีไหม เหมือนเราไปลองรถ มีใครไปลองที่ระดับ 20-30 km/h แล้วบอก อือดีจัง
แต่ทุกคนอยากรู้ limit ของรถว่า ถ้าขับเร่งแซงยามฉุกเฉิน มันตอบสนองเราได้ไหม หรือถนนไม่เรียบมีหลุมมีบ่อมันยังนั่งสบาย (ฟังสบาย) หรือเปล่า
สาย rca ไม่ได้ฟังลื่นหรือเนียนกว่า xlr (ในระดับเดียวกัน) แต่มันเบากว่า คนฟังเพลงเลยเข้าใจว่ามันฟังลื่น สบายกว่าแค่นั้น (ฟังเบาๆสบายหู)
สรุป เลือกใช้สายอะไรก็แล้วแต่อุปกรณ์ที่เรามี ตังในกระเป๋า ความนิยมในแบรนด์ของสาย บางคนชอบสายมาก เครื่องหลักหมื่น แต่สายต้องหลักแสน แบบนี้เล่น rca จะประหยัดเงินกว่า แต่ถ้าถามเรา สาย xlr ถูกๆ บางทีถ้าไม่ยึดติดยี่ห้อ ผมว่ามันให้คุณภาพเสียงดีกว่าสาย rca แบรนด์แพงๆไปเยอะครับ
ลาละครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |