Review Klipsch C-310ASWi
6 ปีที่ผ่านมา
Review Klipsch C-310ASWi
วันนี้ได้รับ Subwoofer รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Klipsch มา นั่นก็คือ C-310ASWi ซึ่งแตกไลน์ออกมาจากรุ่น SPL และรุ่น R ที่เป็นดอกสีทอง และเนื่องจากตัวนี้ใช้ดอกลำโพงใหม่และมีฟังก์ชั่นอะไรที่เหนือกว่าสองรุ่นที่กล่าวไปแล้ว
แต่จะว่าไปรุ่นนี้ก็ถือว่าไม่ได้ใหม่เสียทีเดียวนัก เพราะโครงสร้างการทำงานของรุ่นนี้นั้นใช้การออกแบบโดย Passive Radiater ก็คือดอกวูฟเฟอร์ที่ทำงานควบคู่ไปพร้อมกับดอกลำโพงจริง เพื่อวัตถุประสงค์คือสลายการสั่นค้างของความถี่ต่ำ หรือพูดง่ายๆคือให้เบสมันสะอาด กระชับ เก็บตัวเร็ว โดยดอกจริงที่ทำงานสร้างความถี่ต่ำนั้น ถูกติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งด้านหน้าของตัวตู้ และทำงานเพียงดอกเดียว โดยใช้กำลังขับ 400 วัตต์ และพีคที่ 800 วัตต์ เท่ากับแอมป์ที่ติดตั้งอยู่ในตัว R-115SW ซับขนาด 15 นิ้วรุ่นเก่าเลย
ซึ่งถือว่าเป็นกำลังขับที่เยอะแล้วสำหรับ klipsch เพราะดอกวูฟเฟอร์ของ klipsch แทบทุกรุ่นเป็นแบบความไวสูง ขับง่ายและไม่กินวัตต์ และที่สำคัญ ตัวดอกของ C-310ASWi นั้นเป็นขนาดเพียง 10" แต่เลือกใช้แอมป์กำลังขับสูงเท่ากับที่ติดตั้งในตู้ที่ใช้ดอก 15"
สเปกการทำงานของตัวนี้ก็จะมีดังนี้
- ช่องเชื่อมต่อให้มาด้วยกันสี่แบบ RCA, XLR, Hi-Level และ Wireless ซึ่ง Wireless จะต้องใช้คู่กับ WA-3 Transmitter ที่ต้องซื้อแยกและไม่มีให้มาในกล่อง
- ดอกขนาด 10" ยิงหน้า และมีสองดอกเป็น passive radiator ติดตั้งด้านข้างสองด้าน (ซ้าย ขวา)
- มี application ที่ชื่อว่า Klipsch Low Control เอาไว้ปรับค่าต่างๆได้ทุกอย่างโดยไม่จำเป็นต้องเดินไปยุ่งอะไรที่ตัวซับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ให้นึกถึง svs app นั้นละครับ และใช้บลูทูธเป็นตัวเชื่อมต่อ มันจะขึ้นมาให้เราเลือกบนหน้าจอ มีซับกี่ตัวก็ขึ้นมาให้เลือก ค่าต่างๆ ที่มีให้ปรับนั้นละเอียดมาก ละเอียดกว่า svs อีก มี eq ให้ปรับแต่ง , phase, cross over และอะไรอีกมากมาย รวมถึงมี Auto Room Correction เอาไว้ปรับกราฟให้เสียงเบสเหมาะสมกับห้องและตำแหน่งวาง ใช้ไมค์ของโทรศัพท์ smart phone ของเรา และผมได้ลองใช้แล้ว มันให้วัดเสียงโดยวางโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งใกล้ซับหนึ่งครั้ง และตำแหน่งอีกหนึ่งครั้ง แล้วจึงปรับ eq ให้ออโต้
ซึ่งมันก็ปรับกราฟได้ระดับนึงครับ ถ้าหลุมเยอะมาก มันก็แค่เกลี่ย แต่ไม่ได้ทำให้กราฟเนียนเหมือน ARC ของ Anthem ที่อันนั้นค่อนข้างปรับออโต้ได้ละเอียดกว่า แต่ของ Klipsch ดีตรงสามารถดึง eq manual ได้ครับ ซึ่งแนะนำว่าถ้าไม่รู้ว่าขาด เกินตรงไหน อย่าพยายามไปดึงมันมั่วตามใจมาก เอาแค่พอหอมปากหอมคอ
- ขนาด ตัวตู้เล็กนิดเดียว จะเห็นว่ามันตัวเล็กจริงๆ สามารถวางในห้องเล็กๆได้ไม่เกะกะ น้ำหนักตู้อยู่ที่17-18 กิโลกรัม ก็เรียกว่ายกไปไหนมาไหนคนเดียวได้สบาย ไม่ลำบากมาก และผิวตู้เป็นไฮกลอสสีดำเงาที่เป็นรอยง่าย (รอยมือ)
- ปุ่มปรับ อยู่ด้านหลังตัวตู้ทั้งหมด และทุกอย่างเป็น analog แบบมือหมุน และหมุนได้ฟรีรอบโดยไม่มีหน้าจอดิจิตอลบอกค่าว่าตอนนี้อยู่ที่เทาไร่แล้ว (คงกะให้ไปใช้ในแอป) ซึ่งการเชื่อมต่อก็ให้มาหลากหลายดี และต้องขอชมที่ให้ XLR มาเสียที (คุณพระ)
ทดลองฟัง
หลังจากเรียนรู้การใช้งานและลองต่อเล่นสักพัก ผมก็ยกไปวางในตำแหน่งซับตัวเดิม ที่เคยวางใช้งานอยู่ และลองต่อสาย เรียนรู้กับมันสักพัก และปรับให้มันใช้งานเบื้องต้น แล้วก็เลยลองเปิดหนังเปิดเพลงฟังดู เปิด Man of Steel และ MI ภาคล่าสุด
แนวเสียงที่ได้บุคลิกก็คือ Klipsch ชัดเจน คือเป็นเบสที่ฟังสนุก คือมีมวล หนา และกระแทก (เบสมีเนื้อ ชัด และแสดงตัวเป็นลูก) ความกระชับอยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆของ Klipsch ทุกรุ่นที่เคยฟังมาอย่างชัดเจน ความเร็ว ความคม กระชับ และพั๊นซ์จนเกือบจะเท่าตู้ปิดของยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำ แต่ที่เจ๋งก็คือ พลังเบสของรุ่นนี้ที่แม้จะตัวเล็กจิ๋วเดียว แต่กำลังมันนั้นมหาศาลจริงๆ
ในด้านของกำลังนั้นเผลอๆอาจจะรุนแรงกว่า R115sw ด้วยซ้ำ แต่มันกระชับและคมขึ้นกว่ารุ่นเดิมๆของ Klipsch อีกสัก 30-40% พอผสมผลสานกันออกมาทั้งคมขึ้น และกำลังมากขนาดนี้ มันเลยกลายเป็นซับ Monster ตัวกระจิ๋วที่ทรงพละกำลัง และเบสมันฟังสนุกมาก
ทั้งหมดที่ว่ามันมาในตัวตู้ที่เล็กลง และใช้ดอกแค่ 10 นิ้ว และมีแอปมาให้ใช้ปรับได้สะดวก
และไฮไลท์ที่ต้องย้ำก็คือ ปริมาณเบสของตัวนี้ ต้องบอกว่าเยอะครับ น่าตกใจที่ตัวตู้แค่นี้ แต่ปริมาณเบสที่มันผลิตได้นั้นมันเกินพอเลยสำหรับห้องที่ผมฟังคือ 5*4 เยอะจนน่าตกใจ ฉากที่เบสแผ่มันสั่นประตูห้องได้เลย และฉากที่มันต้องการความคม ผมเข้าใจว่ามันพั๊นซ์ดีกว่า Klipsch ทุกรุ่นที่เคยมีมา และคมเกือบเทียบเท่าตู้ปิดของบางยี่ห้อที่ขึ้นชื่อว่าคมด้วย
ถ้าซิสเต็มไหนที่คิดว่าอยากอัพเกรด ความถี่ต่ำ แต่ยังติดเรื่องต้องการขนาดตู้ที่เล็ก สวยงาม วางซ่อนได้ และสะดวกสบายในการใช้งาน ในขณะที่ก็ต้องการความโหดประเภททะลักจุดเดือด ผมคิดว่าตัวนี้ตอบโจทย์การใช้งานในห้องดูหนังฟังเพลงได้จนเกินพอ
ข้อดี
1. ตัวตู้เล็ก แต่ปริมาณเบสนั้นไม่น้อย และเยอะมาก พั๊นซ์มาก จัดวางง่าย สะดวกสบาย สวย และน่าจะถูกใจสำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัด และมันเก๋ตรงที่เปิดหนังที่เบสเยอะๆแล้วมันเขย่าห้องแล้วมีคนถามว่า เบสที่ออกนี่ มันมาจากตู้เล็กๆแค่นี้เองเหรอ
2. ปริมาณเบส ที่ผลิตออกจากตู้เล็กๆ และดอก 10" นั้นมาก รุนแรงจนรู้สึกว่าตกใจ เบสได้คมระดับที่น่าพอใจ และในฉากที่แผ่ก็เล่นเอาประตูสั่นได้ แต่เบสยังคงเป็นเบสสไตล์ Klipsch คือเบสที่เอาใจคอดูหนังฟังเพลงที่ต้องการให้เบสเป็นพระเอกและแสดงตัวขึ้นมาในระบบ เบสสนุกมาก ฟังแล้วเพลิดเพลิน และคุณภาพเบสนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป และหนักเกินพอสำหรับซิสเต็มทั่วๆไป (โหดได้ใจ)
ปล . พละกำลังเบสยังคงรุนแรงแบบตู้เปิด แต่ให้คุณภาพและความพั๊นซ์ คม กระชับในแบบน้องๆตู้ปิด (อาจจะไม่เทียบเท่า แต่มันดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมๆของ Klipsch)
3. มี XLR ให้ต่อใช้งาน ทำให้สามารถลากสายยาวๆมากๆได้
4. มี Application Klipsch Low Control ที่ปรับได้ทุกอย่างผ่านมือถือ และสามารถปรับได้ละเอียดยิบบ สะดวกและดีมากๆ และแอปที่ใช้งานนั้นเสถียรและรวดเร็ว เชื่อมต่อได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหา ตรงนี้ขอชื่นชมครับ
5. มี Auto Room Correction ปรับ EQ ได้อัตโนมัติให้เหมาะสมกับอคูสติกและสภาพห้อง (ได้ระดับนึง อย่าคาดหวังว่ามันจะเทพเหมือนเครื่องมือของ calibrator ที่ใช้ไมค์และ software แยก)
ข้อเสีย
1. ไม่มีหน้าจอบอกสถานะว่าตอนนี้ volume เท่าไร และปุ่มปรับทุกอย่างเป็น analog และที่ผมรู้สึกว่าใช้งานยากก็คือปุ่มปรับ volume มันสามารถหมุนฟรีได้ 360 องศาแล้วไม่มีสุด คือเราจะไม่รู้เลยว่าตอนนี้ volume เท่าไร่ เพราะมันหมุนได้รอบไม่มีสุด ทางเดียวที่จะรู้ volume คือต้องดูใน app เอา
2. ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา ถ้ามีคนให้ซับตัวนี้มาใช้ฟรีๆ แล้วคุณลองต่อเข้าไปในระบบเล่นสัก 3-4 วันคุณจะรู้สึกว่า เออ เบสมันดีนะ สนุก มัน มันไม่ใช่เบสแบบ Home Cinema (เก็บตัวเร็ว) และมันก็ไม่ใช่เบสแบบที่ Audiophile นิยมกัน (เบาๆ ค่อยๆ) และมันก็ไม่ใช่เบสแบบที่แผ่เน้นแต่ปริมาณอย่างเดียว (เบสแบบแผ่นดินไหว ลงลึกๆ) แต่มันคือเบสที่คนที่ใช้ Klipsch เข้าใจตรงกันว่า เบสแบบนี้แหละ คือ Klipsch มันฟังสนุก มันเข้าถึง มันชัดเจน และคุณภาพเบสที่ได้มันดีกว่า ซีรี่ย์ก่อนๆอย่าง R112, R115 ขึ้นมาอีกพอสมควร
แต่พอเราเห็นราคา เราอาจจะรู้สึกว่า เออราคาที่ต้องจ่ายมันเพิ่มขึ้นมาอีกราวๆ 50-60% แลกกับความสะดวกสบายของฟังก์ชั่นต่างๆทั้ง App และคุณภาพเบสที่ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆด้าน และแลกกับปริมาณเบสที่เยอะ และตัวตู้ที่สวยงามดูหรูหรา และเล็กติดตั้งง่าย
ตรงนี้ผมไม่สามารถตอบได้ว่ามันแพงหรือคุ้มค่าหรือไม่ แต่คุณต้องลองตัดสินใจและ
weigth เอาเองว่าคุณต้องการอะไรจากซับวูฟเฟอร์สักตู้ ปริมาณเบส การใช้งานที่ง่าย ความสะอาดกระชับ ฟังเพลงดี ดูหนังสนุก ราคา หรือทุกๆอย่างรวมกัน
3. Auto Room Correction ในแอปของ Klipsch หากใช้กับโทรศัพท์อาจจะไม่เที่ยงตรงเท่าไร่ น่าจะต้องพิจารณาเรื่องไมค์แยกที่มีคุณภาพมาช่วยด้วย
สรุป ส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบเบส และชอบสะสมและฟังความถี่ต่ำมาตลอด ในบรรดาซับที่ฟังมาหลายๆยี่ห้อ ผมก็ยังบอกกับใครๆเสมอว่า เบสของ Klipsch มันเป็นเบสที่เข้าถึงความรู้สึกของผู้คนได้ดี ชัดเจน และไม่เฉพาะทางมากเกินไป คือมันไม่เร็วและสะอาดเกินไป และมันก็ไม่ได้ลงลึกอย่างเดียวเกินไปแต่ขาดต้น และมันก็ไม่ได้แผ่ และมันก็ไม่ได้เบาจนรู้สึกไม่ได้ แต่เบสของ Klipsch ในตัว C-310ASWi ก็ยังเป็นเบสที่ผมฟังซับวูฟเฟอร์หลายๆตัว พอได้กลับมาฟังความถี่ต่ำจาก C-310ASWi แล้ว ผมยังรู้สึกว่า เออ เบสมันสนุกจริงๆ ฟังเพลินจริงๆ และเบสแบบนี้นี่แหละที่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการอะไรที่มันเฉพาะทางจริงๆ
ถ้าวัดความเร็ว ความคมมันอาจจะสู้บางยี่ห้อที่เด่นเรื่องนี้ไม่ได้
และถ้าวัดที่ความนุ่มลึกมันก็อาจจะสู้ซับมหานิยมไม่ได้
และถ้าวัดที่ความละมุน แบบฟังเพลงสองแชนแล้วมันอาจจะสู้ซับอังกฤษยี่ห้อดังไม่ได้
และถ้าวัดที่ความหนักหน่วงสุดๆแล้ว มันอาจจะสู้ซับอเมริกาไม่ได้
และถ้าวัดที่ความแผ่ สะเทือนแผ่นดินไหว มันอาจจะสู้ซับยักษ์บางยี่ห้อที่ต้องแยกกัน 3-4 คนไม่ได้
แต่เบสแบบทั้งหมดที่กล่าวมาทุกแบบ คุณอาจจะต้องเลือกสักแบบนึง คือถ้าคมก็ไม่ลึก ถ้าลึกก็ไม่คม นุ่มก็ไม่สนุก พอสนุกก็ไม่นุ่ม
แต่ Klipsh สามารถผสมและนำทั้งหมดออกมาให้เราฟังได้ในตัวเดียว โดยที่พอเราฟังแล้วมันรู้สึกว่ามีครบทุกอย่างจริงๆ ทั้งโหด ปริมาณ คุณภาพ และราคาที่จ่ายออกไป
ปล ผมรู้สึกว่า Klipsch Subwoofer ไม่ใช่ซับที่เฉพาะทาง แต่เป็นซับที่ฟังแล้วรู้สึกว่า อืออออ มันดี คุ้มเงินมากกว่านำไปเทสและเทียบด้านใดด้านหนึ่งกับใครครับ เพราะเอาจริงๆแม้จะวัด spec และดูกราฟกันแล้วมันอาจจะไม่ได้สุดในด้านใดด้านหนึ่ง แต่พอฟังและใช้งานแบบไม่ได้จับผิด ผมกลับพบว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไปเลยด้วยซ้ำ................
ปล. คำเตือน ฝ้าไม่แข๊งแรง ระวัง!!!!
วันนี้ได้รับ Subwoofer รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Klipsch มา นั่นก็คือ C-310ASWi ซึ่งแตกไลน์ออกมาจากรุ่น SPL และรุ่น R ที่เป็นดอกสีทอง และเนื่องจากตัวนี้ใช้ดอกลำโพงใหม่และมีฟังก์ชั่นอะไรที่เหนือกว่าสองรุ่นที่กล่าวไปแล้ว
แต่จะว่าไปรุ่นนี้ก็ถือว่าไม่ได้ใหม่เสียทีเดียวนัก เพราะโครงสร้างการทำงานของรุ่นนี้นั้นใช้การออกแบบโดย Passive Radiater ก็คือดอกวูฟเฟอร์ที่ทำงานควบคู่ไปพร้อมกับดอกลำโพงจริง เพื่อวัตถุประสงค์คือสลายการสั่นค้างของความถี่ต่ำ หรือพูดง่ายๆคือให้เบสมันสะอาด กระชับ เก็บตัวเร็ว โดยดอกจริงที่ทำงานสร้างความถี่ต่ำนั้น ถูกติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งด้านหน้าของตัวตู้ และทำงานเพียงดอกเดียว โดยใช้กำลังขับ 400 วัตต์ และพีคที่ 800 วัตต์ เท่ากับแอมป์ที่ติดตั้งอยู่ในตัว R-115SW ซับขนาด 15 นิ้วรุ่นเก่าเลย
ซึ่งถือว่าเป็นกำลังขับที่เยอะแล้วสำหรับ klipsch เพราะดอกวูฟเฟอร์ของ klipsch แทบทุกรุ่นเป็นแบบความไวสูง ขับง่ายและไม่กินวัตต์ และที่สำคัญ ตัวดอกของ C-310ASWi นั้นเป็นขนาดเพียง 10" แต่เลือกใช้แอมป์กำลังขับสูงเท่ากับที่ติดตั้งในตู้ที่ใช้ดอก 15"
สเปกการทำงานของตัวนี้ก็จะมีดังนี้
- ช่องเชื่อมต่อให้มาด้วยกันสี่แบบ RCA, XLR, Hi-Level และ Wireless ซึ่ง Wireless จะต้องใช้คู่กับ WA-3 Transmitter ที่ต้องซื้อแยกและไม่มีให้มาในกล่อง
- ดอกขนาด 10" ยิงหน้า และมีสองดอกเป็น passive radiator ติดตั้งด้านข้างสองด้าน (ซ้าย ขวา)
- มี application ที่ชื่อว่า Klipsch Low Control เอาไว้ปรับค่าต่างๆได้ทุกอย่างโดยไม่จำเป็นต้องเดินไปยุ่งอะไรที่ตัวซับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ให้นึกถึง svs app นั้นละครับ และใช้บลูทูธเป็นตัวเชื่อมต่อ มันจะขึ้นมาให้เราเลือกบนหน้าจอ มีซับกี่ตัวก็ขึ้นมาให้เลือก ค่าต่างๆ ที่มีให้ปรับนั้นละเอียดมาก ละเอียดกว่า svs อีก มี eq ให้ปรับแต่ง , phase, cross over และอะไรอีกมากมาย รวมถึงมี Auto Room Correction เอาไว้ปรับกราฟให้เสียงเบสเหมาะสมกับห้องและตำแหน่งวาง ใช้ไมค์ของโทรศัพท์ smart phone ของเรา และผมได้ลองใช้แล้ว มันให้วัดเสียงโดยวางโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งใกล้ซับหนึ่งครั้ง และตำแหน่งอีกหนึ่งครั้ง แล้วจึงปรับ eq ให้ออโต้
ซึ่งมันก็ปรับกราฟได้ระดับนึงครับ ถ้าหลุมเยอะมาก มันก็แค่เกลี่ย แต่ไม่ได้ทำให้กราฟเนียนเหมือน ARC ของ Anthem ที่อันนั้นค่อนข้างปรับออโต้ได้ละเอียดกว่า แต่ของ Klipsch ดีตรงสามารถดึง eq manual ได้ครับ ซึ่งแนะนำว่าถ้าไม่รู้ว่าขาด เกินตรงไหน อย่าพยายามไปดึงมันมั่วตามใจมาก เอาแค่พอหอมปากหอมคอ
- ขนาด ตัวตู้เล็กนิดเดียว จะเห็นว่ามันตัวเล็กจริงๆ สามารถวางในห้องเล็กๆได้ไม่เกะกะ น้ำหนักตู้อยู่ที่17-18 กิโลกรัม ก็เรียกว่ายกไปไหนมาไหนคนเดียวได้สบาย ไม่ลำบากมาก และผิวตู้เป็นไฮกลอสสีดำเงาที่เป็นรอยง่าย (รอยมือ)
- ปุ่มปรับ อยู่ด้านหลังตัวตู้ทั้งหมด และทุกอย่างเป็น analog แบบมือหมุน และหมุนได้ฟรีรอบโดยไม่มีหน้าจอดิจิตอลบอกค่าว่าตอนนี้อยู่ที่เทาไร่แล้ว (คงกะให้ไปใช้ในแอป) ซึ่งการเชื่อมต่อก็ให้มาหลากหลายดี และต้องขอชมที่ให้ XLR มาเสียที (คุณพระ)
ทดลองฟัง
หลังจากเรียนรู้การใช้งานและลองต่อเล่นสักพัก ผมก็ยกไปวางในตำแหน่งซับตัวเดิม ที่เคยวางใช้งานอยู่ และลองต่อสาย เรียนรู้กับมันสักพัก และปรับให้มันใช้งานเบื้องต้น แล้วก็เลยลองเปิดหนังเปิดเพลงฟังดู เปิด Man of Steel และ MI ภาคล่าสุด
แนวเสียงที่ได้บุคลิกก็คือ Klipsch ชัดเจน คือเป็นเบสที่ฟังสนุก คือมีมวล หนา และกระแทก (เบสมีเนื้อ ชัด และแสดงตัวเป็นลูก) ความกระชับอยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆของ Klipsch ทุกรุ่นที่เคยฟังมาอย่างชัดเจน ความเร็ว ความคม กระชับ และพั๊นซ์จนเกือบจะเท่าตู้ปิดของยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำ แต่ที่เจ๋งก็คือ พลังเบสของรุ่นนี้ที่แม้จะตัวเล็กจิ๋วเดียว แต่กำลังมันนั้นมหาศาลจริงๆ
ในด้านของกำลังนั้นเผลอๆอาจจะรุนแรงกว่า R115sw ด้วยซ้ำ แต่มันกระชับและคมขึ้นกว่ารุ่นเดิมๆของ Klipsch อีกสัก 30-40% พอผสมผลสานกันออกมาทั้งคมขึ้น และกำลังมากขนาดนี้ มันเลยกลายเป็นซับ Monster ตัวกระจิ๋วที่ทรงพละกำลัง และเบสมันฟังสนุกมาก
ทั้งหมดที่ว่ามันมาในตัวตู้ที่เล็กลง และใช้ดอกแค่ 10 นิ้ว และมีแอปมาให้ใช้ปรับได้สะดวก
และไฮไลท์ที่ต้องย้ำก็คือ ปริมาณเบสของตัวนี้ ต้องบอกว่าเยอะครับ น่าตกใจที่ตัวตู้แค่นี้ แต่ปริมาณเบสที่มันผลิตได้นั้นมันเกินพอเลยสำหรับห้องที่ผมฟังคือ 5*4 เยอะจนน่าตกใจ ฉากที่เบสแผ่มันสั่นประตูห้องได้เลย และฉากที่มันต้องการความคม ผมเข้าใจว่ามันพั๊นซ์ดีกว่า Klipsch ทุกรุ่นที่เคยมีมา และคมเกือบเทียบเท่าตู้ปิดของบางยี่ห้อที่ขึ้นชื่อว่าคมด้วย
ถ้าซิสเต็มไหนที่คิดว่าอยากอัพเกรด ความถี่ต่ำ แต่ยังติดเรื่องต้องการขนาดตู้ที่เล็ก สวยงาม วางซ่อนได้ และสะดวกสบายในการใช้งาน ในขณะที่ก็ต้องการความโหดประเภททะลักจุดเดือด ผมคิดว่าตัวนี้ตอบโจทย์การใช้งานในห้องดูหนังฟังเพลงได้จนเกินพอ
ข้อดี
1. ตัวตู้เล็ก แต่ปริมาณเบสนั้นไม่น้อย และเยอะมาก พั๊นซ์มาก จัดวางง่าย สะดวกสบาย สวย และน่าจะถูกใจสำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัด และมันเก๋ตรงที่เปิดหนังที่เบสเยอะๆแล้วมันเขย่าห้องแล้วมีคนถามว่า เบสที่ออกนี่ มันมาจากตู้เล็กๆแค่นี้เองเหรอ
2. ปริมาณเบส ที่ผลิตออกจากตู้เล็กๆ และดอก 10" นั้นมาก รุนแรงจนรู้สึกว่าตกใจ เบสได้คมระดับที่น่าพอใจ และในฉากที่แผ่ก็เล่นเอาประตูสั่นได้ แต่เบสยังคงเป็นเบสสไตล์ Klipsch คือเบสที่เอาใจคอดูหนังฟังเพลงที่ต้องการให้เบสเป็นพระเอกและแสดงตัวขึ้นมาในระบบ เบสสนุกมาก ฟังแล้วเพลิดเพลิน และคุณภาพเบสนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป และหนักเกินพอสำหรับซิสเต็มทั่วๆไป (โหดได้ใจ)
ปล . พละกำลังเบสยังคงรุนแรงแบบตู้เปิด แต่ให้คุณภาพและความพั๊นซ์ คม กระชับในแบบน้องๆตู้ปิด (อาจจะไม่เทียบเท่า แต่มันดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมๆของ Klipsch)
3. มี XLR ให้ต่อใช้งาน ทำให้สามารถลากสายยาวๆมากๆได้
4. มี Application Klipsch Low Control ที่ปรับได้ทุกอย่างผ่านมือถือ และสามารถปรับได้ละเอียดยิบบ สะดวกและดีมากๆ และแอปที่ใช้งานนั้นเสถียรและรวดเร็ว เชื่อมต่อได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหา ตรงนี้ขอชื่นชมครับ
5. มี Auto Room Correction ปรับ EQ ได้อัตโนมัติให้เหมาะสมกับอคูสติกและสภาพห้อง (ได้ระดับนึง อย่าคาดหวังว่ามันจะเทพเหมือนเครื่องมือของ calibrator ที่ใช้ไมค์และ software แยก)
ข้อเสีย
1. ไม่มีหน้าจอบอกสถานะว่าตอนนี้ volume เท่าไร และปุ่มปรับทุกอย่างเป็น analog และที่ผมรู้สึกว่าใช้งานยากก็คือปุ่มปรับ volume มันสามารถหมุนฟรีได้ 360 องศาแล้วไม่มีสุด คือเราจะไม่รู้เลยว่าตอนนี้ volume เท่าไร่ เพราะมันหมุนได้รอบไม่มีสุด ทางเดียวที่จะรู้ volume คือต้องดูใน app เอา
2. ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา ถ้ามีคนให้ซับตัวนี้มาใช้ฟรีๆ แล้วคุณลองต่อเข้าไปในระบบเล่นสัก 3-4 วันคุณจะรู้สึกว่า เออ เบสมันดีนะ สนุก มัน มันไม่ใช่เบสแบบ Home Cinema (เก็บตัวเร็ว) และมันก็ไม่ใช่เบสแบบที่ Audiophile นิยมกัน (เบาๆ ค่อยๆ) และมันก็ไม่ใช่เบสแบบที่แผ่เน้นแต่ปริมาณอย่างเดียว (เบสแบบแผ่นดินไหว ลงลึกๆ) แต่มันคือเบสที่คนที่ใช้ Klipsch เข้าใจตรงกันว่า เบสแบบนี้แหละ คือ Klipsch มันฟังสนุก มันเข้าถึง มันชัดเจน และคุณภาพเบสที่ได้มันดีกว่า ซีรี่ย์ก่อนๆอย่าง R112, R115 ขึ้นมาอีกพอสมควร
แต่พอเราเห็นราคา เราอาจจะรู้สึกว่า เออราคาที่ต้องจ่ายมันเพิ่มขึ้นมาอีกราวๆ 50-60% แลกกับความสะดวกสบายของฟังก์ชั่นต่างๆทั้ง App และคุณภาพเบสที่ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆด้าน และแลกกับปริมาณเบสที่เยอะ และตัวตู้ที่สวยงามดูหรูหรา และเล็กติดตั้งง่าย
ตรงนี้ผมไม่สามารถตอบได้ว่ามันแพงหรือคุ้มค่าหรือไม่ แต่คุณต้องลองตัดสินใจและ
weigth เอาเองว่าคุณต้องการอะไรจากซับวูฟเฟอร์สักตู้ ปริมาณเบส การใช้งานที่ง่าย ความสะอาดกระชับ ฟังเพลงดี ดูหนังสนุก ราคา หรือทุกๆอย่างรวมกัน
3. Auto Room Correction ในแอปของ Klipsch หากใช้กับโทรศัพท์อาจจะไม่เที่ยงตรงเท่าไร่ น่าจะต้องพิจารณาเรื่องไมค์แยกที่มีคุณภาพมาช่วยด้วย
สรุป ส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบเบส และชอบสะสมและฟังความถี่ต่ำมาตลอด ในบรรดาซับที่ฟังมาหลายๆยี่ห้อ ผมก็ยังบอกกับใครๆเสมอว่า เบสของ Klipsch มันเป็นเบสที่เข้าถึงความรู้สึกของผู้คนได้ดี ชัดเจน และไม่เฉพาะทางมากเกินไป คือมันไม่เร็วและสะอาดเกินไป และมันก็ไม่ได้ลงลึกอย่างเดียวเกินไปแต่ขาดต้น และมันก็ไม่ได้แผ่ และมันก็ไม่ได้เบาจนรู้สึกไม่ได้ แต่เบสของ Klipsch ในตัว C-310ASWi ก็ยังเป็นเบสที่ผมฟังซับวูฟเฟอร์หลายๆตัว พอได้กลับมาฟังความถี่ต่ำจาก C-310ASWi แล้ว ผมยังรู้สึกว่า เออ เบสมันสนุกจริงๆ ฟังเพลินจริงๆ และเบสแบบนี้นี่แหละที่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการอะไรที่มันเฉพาะทางจริงๆ
ถ้าวัดความเร็ว ความคมมันอาจจะสู้บางยี่ห้อที่เด่นเรื่องนี้ไม่ได้
และถ้าวัดที่ความนุ่มลึกมันก็อาจจะสู้ซับมหานิยมไม่ได้
และถ้าวัดที่ความละมุน แบบฟังเพลงสองแชนแล้วมันอาจจะสู้ซับอังกฤษยี่ห้อดังไม่ได้
และถ้าวัดที่ความหนักหน่วงสุดๆแล้ว มันอาจจะสู้ซับอเมริกาไม่ได้
และถ้าวัดที่ความแผ่ สะเทือนแผ่นดินไหว มันอาจจะสู้ซับยักษ์บางยี่ห้อที่ต้องแยกกัน 3-4 คนไม่ได้
แต่เบสแบบทั้งหมดที่กล่าวมาทุกแบบ คุณอาจจะต้องเลือกสักแบบนึง คือถ้าคมก็ไม่ลึก ถ้าลึกก็ไม่คม นุ่มก็ไม่สนุก พอสนุกก็ไม่นุ่ม
แต่ Klipsh สามารถผสมและนำทั้งหมดออกมาให้เราฟังได้ในตัวเดียว โดยที่พอเราฟังแล้วมันรู้สึกว่ามีครบทุกอย่างจริงๆ ทั้งโหด ปริมาณ คุณภาพ และราคาที่จ่ายออกไป
ปล ผมรู้สึกว่า Klipsch Subwoofer ไม่ใช่ซับที่เฉพาะทาง แต่เป็นซับที่ฟังแล้วรู้สึกว่า อืออออ มันดี คุ้มเงินมากกว่านำไปเทสและเทียบด้านใดด้านหนึ่งกับใครครับ เพราะเอาจริงๆแม้จะวัด spec และดูกราฟกันแล้วมันอาจจะไม่ได้สุดในด้านใดด้านหนึ่ง แต่พอฟังและใช้งานแบบไม่ได้จับผิด ผมกลับพบว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไปเลยด้วยซ้ำ................
ปล. คำเตือน ฝ้าไม่แข๊งแรง ระวัง!!!!
สินค้าในตะกร้า ({{total_num}} รายการ)
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง
➜ เลือกซื้อสินค้าเพิ่ม