เล่าสู่กันฟังเรื่องสาย HDMI
มันน่าสนใจตรงที่บางคนบอก มีหลายเส้นแต่แยกไม่ออก ว่าต่างกันยังไง
หรือมันเป็นสัญญาณดิจิตอล 1-0-1-0 ต้องออกมาเหมือนกัน
คิดอย่างไรกันครับ?
ส่วนผมคิดแบบนี้ (คหสต ไม่ต้องเห็นด้วยกับผม)
- เคยสั่งสายยี่ห้อดังของภาคใต้เรามาใช้ 2 เส้น แบรนด์เดียวกัน แต่คนละรุ่น เส้นนึง silverplate อีกเส้นทองแดงธรรมดาเค้าโฆษณาไว้ว่า ไม่พอใจคืนได้
ผมลองแล้วภาพผมมองไม่เห็นความต่างเพราะทีวีที่ใช้ตอนนั้นเล็ก 58 นิ้ว ก็มองไม่ออก
แต่เสียงนี่ต่างมาก เส้น silverplate บาง จัด ชัด แหลม เบสหาย
เส้นทองแดง (ถูกกว่า) เบสอิ่ม หนัก เสียงไม่แหลมปรี้ดเหมือนตัวเคลือบเงิน ผมเลยไม่มีเหตผลอะไรที่ต้องเก็บสายแพงแต่เสียงไม่ถูกใจเอาไว้ ก็ส่งคืนไป
- ปัจจุบัน ใช้อยู่สองเส้น เส้นนึงมาตรฐาน isf อีกเส้นมาตรฐาน thx
เดินร้อยขึ้นฝ้าไว้สองเส้น เลยมีโอกาศเทียบกัน เทียบด้วยจอ 140 นิ้ว
คราวนี้ภาพต่างกันแบบชัดเจน ชนิดคนตาเป็นต้อระยะสุดท้ายมามองก็เห็น ปัจจัยที่ต่างกันคือ
1 สีสัน เส้นนึงสีเข้มสด อีกเส้นสีธรรมชาติ ข้อนี้ต่างเยอะมาก
2. การชิลด์สาย การป้องกันการรบกวนจากไฟตก และสัญญาณรบกวน สายที่ชิลด์มาดี เวลาไฟกระชาก แอร์ตัด หรือเปิดดิมเมอร์ (ข้อนี้สำคัญ) มันจะมีอาการภาพกับได้
3. การรองรับ bandwidth ระดับ 4k hdr ที่ 18 gbps ซึ่งในบ้านเรายังไม่มี content 4k ที่กินแบนด์วิธระดับนั้น ต้องรออนาคตถึงจะเอามาเทสกันได้ว่าสายเส้นไหนราคาคุย เส้นไหนของจริง
แต่สายที่ผมใช้ทั้งสองเส้นรองรับการเดินยาวระดับ 10 ม. และคอนเท้น 4k hdr ได้สบายทั้งคู่
สรุป สาย hdmi ต่างกันทั้งภาพและเสียง ปัจจัยที่ทำให้มองเห็นว่าต่างหรือไม่คืออุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลเรื่องภาพ (led / projector) ถ้าใช้ทีวี 50-60 นิ้ว ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมาก มองยาก
ส่วนเสียง ถ้าซิสเต็มเป็น in the box หรือระดับเริ่มต้นก็เส้นไหนก็ได้ ฟังไม่ออก
จะฟังออกต้องมีอุปกรณ์ปลายทางที่มีคุณภาพระดับนึง
การที่สรุปว่า สาย HDMI เป็น digital เส้นละ 500 กับ เส้นละ 15000 นั้นให้ผลเท่ากันทุกประการนั้นไม่เป็นความจริง สามารถมาทดสอบได้ที่ห้องฟังผม เดินสายไว้สองเส้น ระดับราคาพอกัน เสียบแล้วแล้วต่างแบบทำ blind test ก็บอกได้ว่าเส้นไหนเสียบอยู่
ปล hdmi ที่รองรับมาตรฐานเท่ากัน bandwidth ได้เท่ากัน อาจจะต่างในแง่ภาพและเสียง แต่ไม่ได้บอกว่าเส้นไหนเสียงดี ภาพสวยกว่านะ ความชอบส่วนบุคคล เพราะผมยังชอบเสียงของสายทองแดงตัวถูกมากกว่ารุ่นแพงที่เคลือบเงินเลย ใครชอบแบบไหนก็ลองกันเอาเองครับ
ความแตกต่างของสาย HDMI Fiber optic กับสายแข๊ง (ทองแดง)
สายหลักๆที่เราใช้กันมานานนม นั่นคือสายแข๊ง ใช้การส่งสัญญาณผ่านทางสายทองแดงปกติซึ่งจริงๆจะมีแบบธรรมดา passive และแบบ active คือมีตัวบูธสัญญาณอยู่ที่ปลายหัว
กับอีกแบบคือสาย Fiber optic ที่ใช้แสงในการส่งสัญญาณ ทั้งสองแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ในทัศนคติที่ผมได้ลองใช้มันทั้งสองแบบ พอจะสรุปได้ประมาณนี้ (อ่านแล้วฟังหูไว้หู อย่าเชื่อแต่จงซื้อหามาลองเอง)
สายแข๊ง:
ทั่วๆไปที่เป็น passive / active นั้นจะมีความยาวหวังผลที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเต็ม bandwidth ตั้งแต่ 1-10 m หากยาวเกินกว่านี้เริ่มชักจะไม่ค่อยดีและอาจมีปัญหาได้แล้ว เช่นที่ 15 ม
สายบางเส้นยาวระดับ 15 ม แต่ลงไว้ว่าผ่านมาตรฐาน 2.1 และรองรับ bandwidth ระดับมากกว่า 18 gbps หรือรองรับภาพระดับ 8k แล้ว
แต่เอาจริงๆมาตรฐานยังไม่ประกาศออกมาเลยว่า 2.1 เนี่ยมันต้องรองรับ bandwidth เท่าไร่ แล้ว content ที่เอามาเล่นก็ยังไม่มีผลิตออกมาให้คอนซูมเมอร์ใช้กันอีก
ดังนั้นสายแข๊งที่โฆษณาว่ารองรับภาพได้มากกว่า 18 gbps และผ่านมาตรฐาน 2.1 (8K) นี่ก็ต้องรอดูกันว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ข้อดี : สายที่ได้มาตรฐานพวกนี้แข๊งแรง ทนทาน ใช้งานได้แน่นหนา ใช้นานๆ หัวมักไม่มีปัญหาความร้อนเพราะมันไม่มีวงจรอะไรที่หัว เหมาะที่จะลากๆถูๆขึ้นฝ้า ไม่ค่อยมีปัญหาขาดหรือฉีกง่าย (ส่วนใหญ่เส้นจะหนาและใหญ่)
ข้อเสีย : เดินได้ยาวระดับนึง ไม่เกิน 10 ม หากเกินจากนี้ต้องลุ้นเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร และข้อเสียอีกอย่างคือสายดีๆ จะแพงเพราะตัวนำของสายที่ใช้ ยิ่งใช้วัสดุดีก็ยิ่งแพง ภาพและเสียงก็จะแปรไปตามคุณภาพของสายด้วย ดังนั้นแนวเสียงของสายแข๊งจะไม่เหมือนกันเลย ต้องลองเทสกันเอาว่าสายเส้นไหนที่ถูกใจและถูกหูคุณ
สาย Fiber optic:
สายที่ใช้หลักการการนำสัญญาณของแสง แทนการใช้ตัวนำสัญญาณ ที่หัวของสายจะมีแผงวงจรสำหรับแปลงสัญญาณแสงมาเป็นสัญญาณภาพและเสียงจากที่ได้ลอง ส่วนใหญ่คุณภาพเสียงของสายมักจะไม่ค่อยต่างกันมากเหมือนสายแข๊งที่ใช้วัสดุทองแดงในการนำสัญญาณ ต้นทุนของสายจะอยู่ที่คุณภาพงานประกอบ วงจรแปลงสัญญาณ ค่า R&D และค่าลงทุนส่งสายไปทดสอบตาม lab มาตรฐานต่างๆ ซึ่งจะต่างกับสายแข๊งที่ต้นทุนจะมาลงที่ตัวสายสัญญาณ เช่นทองแดง หรือสารต่างๆที่นำมาเคลือบและชิลด์มากกว่า
ข้อดี: สาย fiber optic สามารถเดินสายยาวๆมากๆได้ในระดับ 50 ม. โดยไม่มีปัญหาเรื่องกระพริบหรือสัญญาณตก ในขณะที่ bandwidth ยังได้ระดับเท่ากันกับสายเส้นที่สั้นๆกว่า และด้วยราคาสายยาวๆของ fiber optic เมื่อเทียบกับสายยาวๆของสายแข๊งนั้นราคาสาย fiber จะถูกกว่าและหมดปัญหาเรื่องสัญญาณด้วย
รวมถึงคุณภาพของเสียงและภาพก็คงที่และมีมาตรฐานที่ดีโดยไม่ลดทอนไปตามความยาวของสายครับ และโดยส่วนมากที่ผมเห็นส่วนใหญ่เสียงที่ได้จากสายพวกนี้จะออกแนวไม่ค่อยมี color และไม่ค่อยมีการแต่งเติมมากเหมือนพวกสายแข๊งที่ใช้สายเป็นตัวนำและมีกรรมวิธีเคลือบ และชิลด์ตามเทคนิคของผู้ผลิตแต่ละเจ้าครับ
ข้อเสีย: ตัวสายจะเล็กและบางกว่าสายแข๊ง เพราะใช้เพียงสัญญาณแสงนำสัญญาณ ที่หัวจะมีวงจรแปลงสัญญาณ ทำให้ที่หัวคือจุดอ่อน หรือโดนกระแทก หรือโดนเหยียบหักจนวงจรเสียหายก็จะใช้งานไม่ได้ แต่โอกาสที่จะเสียหายก็คงไม่ใช่ง่ายๆ
ดูง่ายๆสาย fiber optic ก็ใช้เป็นสายนำสัญญาณ internet ของพวกผู้ให้บริการ internet fiber อย่างทรูที่ลากสาย fiber เข้ามาในบ้านนั้นละครับ สายเล็กนิดเดียว ช่างทารุณกรรม หักงอ ตากแดด โดนความชื้น ยังไม่เป็นไรเลย ถ้าใช้งานปกติมันก็คงไม่พังหรอกนะ
ข้อเสียอีกอย่างของสายพวกนี้ คือสายมันเล็ก พยายามอย่าหักหรือฉีกมัน เพราะถ้าตัวสายด้านในเสียหาย การนำสัญญาณแสงก็จะเสียตามไปด้วย
สรุป สาย hdmi ทั้งสองแบบมีข้อดี ข้อเสีย ไม่มีแบบใดดีและเหมาะสมในทุกสถานการณ์ เพียงแต่เราต้องเลือกใช้ให้ถูกงาน และเหมาะสมกับความชอบของเราเป็นสำคัญ สำหรับผม (คหสต) สำหรับสายสั้นที่ใช้เชื่อมต่อจาก bluray ไปยัง pre หรือ AVR นั้นเรามักจะเลือกสายแข๊งที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะจ่ายไหว เพราะช่วงสั้นๆนี้ ใช้นำสัญญาณทั้งภาพและเสียงไปสู้ Pre-processor ให้ decode สัญญาณออกมาเป็นเสียงและภาพ
ส่วนสายจาก Pre ไป projector หรือ TV นั้น ถูกใช้นำสัญญาณเฉพาะภาพเพียงอย่างเดียว และส่วนมากมักจะเดินยาว เดินไกล เรามักจะนิยมเลือกสายที่เชื่อถือได้และชอบในแนวเสียงและภาพของสายเส้นนั้นๆเป็นหลัก การเลือกใช้สาย fiber optic สำหรับห้องที่ต้องใช้สายเดินยาวๆไป projector ก็เป็นทางเลือกที่ดี หรือการใช้สายแข๊งที่ไม่ยาวมากนักในบ้างห้องก็สามารถใช้ได้ แต่อย่าลืมว่า ช่วงสัญญาณนี้ให้เน้นเรื่อง bandwidth ที่ได้มาตรฐาน stable และสามารถนำสัญญาณได้ดีตลอดช่วงความยาวโดยไม่ดรอปหรือกระพริบในขณะที่เราดูหนังครับ เพราะคงไม่ใช่เรื่องน่าบันเทิงเริงใจแน่ หากกำลังดูหนังโปรดที่เราชอบ แล้วภาพดับในช่วงกำลังมันๆ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,238 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,075 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |