เลือก AVR แบบไหนดี

วันนี้พอมีเวลา ผมเลยอยากเขียนถึงวิธีการเลือก AVR หรืออีกชื่อคือ Audio Video Receiver หรือภาษาบ้านๆที่เราเรียกกันว่าเป็น AV multi channels หรือ AVR สำหรับดูหนังก็ได้ครับ
อย่างน้อยผมก็เคยลองผิดลองถูก ลองฟัง AVR รวมถึง Pre Processor มาหลายแบรนด์หลายรุ่น
วันนี้จะมาแชร์วิธีคิด วิธีเลือกในแบบที่ผมคิดว่าดี และน่าสนใจ เวลาจะเลือกหา AVR สักเครื่อง (แต่อาจจะถูกหรือเปล่าก็แล้วแต่วิจารณญาณของผู้ใช้งานแต่ละคน) หวังว่าจะมีประโยชน์
1. อันดับแรก เลือก AVR ให้มันมีแนวเสียงที่เราต้องการ
AVR แบรนด์ไหนเสียงยังไงก็ลองไปศึกษาดูกัน
แต่แนะนำว่า ถ้าลำโพงเสียงแหลมๆจัดๆก็พยายามอย่าไปเลือก avr ที่เสียงมันบางๆแหลมๆ และถ้าลำโพงขับยากอย่าพยายามไปเลือก avr ที่กำลังสำรองไม่ค่อยดี ยี่ห้อที่เสียงดุดันเหมาะกับการดูหนังได้ดี แนะนำให้พิจารณา onkyo RZ series เพราะรุ่นใหม่เสียงเฟี้ยวฟ้าวกำลังดี ไม่แสบหู และเบสหนัก เหมาะกับการดูหนังครับ
แต่ถ้าเสียงอยากได้โทนเสียงบาล้านมาหน่อย ไม่จัดมาก แต่ดูหนังดี กลมกล่อม คุ้มตัง กำลังสำรองก็ดีด้วย ก็ลองดู Marantz เป็นตัวเลือกแรกๆ
แต่ถ้างบสูงหน่อย อยากได้ดุดันสะใจ และบรรยากาศโอบล้อมดีด้วยให้ลองดู Anthem ครับ ได้ทุกอย่างที่คนดูหนังที่ต้องการความดุและดูหนังสนุกต้องการ
นอกเหนือจากนั้นถ้างบเยอะ ก็ยังมี AVR ระดับบนๆจากค่ายยุโรปให้เลือกเล่นอีก เช่น Storm, Arcam ซึ่งทั้งสองตัวก็ให้แนวเสียงต่างกันไปอีก ตัวนึงก็ดุดันดูหนังสนุก ส่วนอีกค่ายก็ตอบโจทย์ผู้ใหญ่ที่ต้องการเสียงเรียบๆสุภาพๆโทนติดแฟลทๆ
เลือกให้ถูกนะครับ พยายามเลือกแบรนด์ที่ให้จุดเด่นของเสียงของยี่ห้อนั้นๆตรงกับความชอบของเราไว้ก่อน
เพราะถ้าคุณชอบเสียงดุแต่เลือก AVR เสียงสุภาพ ผมบอกเลยว่าจะใช้ได้ไม่นาน
หลายคนบอกเซ็ทเสียงได้นี่ เอายี่ห้ออะไรก็ได้แล้วเซ็ทให้ถูกเสียงก็ดีทั้งนั้นแหละ ถูกครับ เซ็ทเสียงได้ แต่โทนเสียงเซ็ทให้ตายยังไงก็ไม่สามารถทำให้ยี่ห้อนึงเสียงเหมือนอีกยี่ห้อนึงได้เด็ดขาด เซ็ทให้ถูกต้องก็ให้คุณภาพและเสียงออกมาครบถ้วนตามที่เครื่องจะให้ได้ แต่โทนและสไตล์นั้นเป็นอีกเรื่องนึงที่ไม่สามารถ copy and parse กันได้
2. ดูจำนวนแชนแนลให้เพียงพอกับที่จะใช้เล่นในอนาคต ทั่วๆไปถ้าไม่เล่น atmos ก็ 7 แชนแนล ถ้าเล่น atmos ก็ 9 หรือ 11 แชนแนล
3. เลือกระบบเสียงที่รองรับให้เพียงพอกับปัจจุบัน ถ้าเลือกซื้อ AVR ในปัจจุบันก็ให้มองระบบเสียง Immersive Sound เช่น Dolby Atmos, DTS:X ไว้ก่อน
ส่วนพวกเสียง HD เช่น Dolby True HD, DTS HD นี่เป็นพื้นฐานทั่วๆไปแล้วครับ ไม่ต้องพูดถึง มีแต่แอมป์โบราณเท่านั้นที่ไม่รองรับพวกเสียง HD
4. AVR ทั่วๆไปที่ราคากลางๆ และคุ้ม ส่วนใหญ่จะมี 9 แชนแนล พอขึ้นไป 11 แชนแนลส่วนใหญ่แทบทั้งหมดจะเป็นตัวท๊อป ราคากระโดดทั้งสิ้น
ถ้าคิดจะเล่น 11 แชนแนลตัวเดียว อยากให้ลองเลือกตัวรอง 9 แชนแนลที่มี preout จะดีกว่า เพราะการ AVR ใช้ 11 แชนแนล นอกจากจะฝืนสังขาร AVR แล้วผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดี โหลด ขับลำโพงได้ไม่ได้ดีหรอก
5. คุณภาพเสียงของการใช้ AVR 11 แชนแนล กับ AVR 7 หรือ 9 แชนแนล หลายคนมักจะคิดว่า AVR ตัวท๊อป 11 แชนแนล จะต้องดีกว่าแน่ๆ ซึ่งก็อาจจะจริงถ้าตัวท๊อปใช้วัสดุ ใช้ dac คนละเบอร์กัน
แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักจะไม่ได้ดีไซน์ AVR ตัวท๊อป 11 แชนแนลออกมาให้แตกต่างจากรุ่นรองๆ
คุณภาพเสียงที่ได้จึงไม่ได้ต่างจาก AVR ตัวรองๆมากเท่าไร่ๆ (คือต่าง แต่เทียบเป็น % และเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มแล้วมันไม่ได้เป็นสัดส่วนที่ผมมองว่าคุ้ม)
เงินส่วนต่างที่คุณจ่ายไป จะไปลงกับ Power ที่สามารถขับลำโพงได้เพิ่มขึ้นจาก 9 เป็น 11 และไอ้ 2 แชนแนลที่เพิ่มขึ้นมาเนี่ย มันยาก และต้องจ่ายแพงกว่าการเพิ่มจาก 5 เป็น 7 หรือจาก 7 เป็น 9 ครับ
6.ถ้าจะเล่น 11 แชนแนล และโจทย์คุณคือต้องการจะใช้ AVR เท่านั้น ไม่ต้องการก้าวข้ามไปใช้ Pre
และโจทย์ต้องการให้เสียงดีที่สุด คุ้มกับเงิน ถ้าเป็นผมจะเลือก AVR ตัวรองๆ ที่รองรับ 7 หรือ 9 แชนแนล ที่มี Preout
เพื่อใช้ AVR ต่อและขับลำโพงเซอราวด์ทั้งหมด รวมถึง atmos
และหา power มาขับ 3แชนแนลหน้า (Lcr) หรือ 5 แชนแนลหลัก
สมมติมีงบ 120,000 จ่ายเพื่อซื้อ avr ตัวท๊อป 11 แชนแนลหนึ่งเครื่อง
กับซื้อ avr รุ่นรองราคา 4-5 หมื่น ที่เหลือเอาไปซื้อ Power กลางๆ อีก 6-7 หมื่น
เชื่อมั๊ยครับว่าจ่ายเท่าๆกัน แต่อย่างหลังให้เสียงดีกว่า AVR อย่างเดียวมาก มากแบบกระโดดไปเป็น 50-100 % นะครับ
มากกว่าการใช้ AVR แล้วหาเปลี่ยน accessories หาสายสัญญาณ สาย hdmi สายไฟ สายลำโพงระดับเทพ ทุ่มไปเลยให้ค่าสายอีก 2 แสน ค่า AVR อีก 1 แสน เสียงก็สู้ AVR + Power ราคา 1.5 แสนที่ใช้สายแถม ราคาต่างกันครึ่งนึงยังไม่ได้เลยครับ และแถมชุดหลังพออัพสาย อัพ accessories ยังไปต่อได้อีกด้วย
7. ความจริงข้อนึงคือ AVR ไม่มีวันขับลำโพงได้เต็ม 100% เพราะสเปกที่ระบุไว้เว่อร์วังใน spec sheet ที่ว่าไว้กันระดับ 140-180 วัตต์ เอาจริงๆก็วัดแค่ 1-2 แชนแนล
แต่ AVR ใช้งายจริงเราต่อกันขั้นต่ำ 5 แชนแนล มากสุดก็ 11 แชนแนล ถ้าต่อครบทุกแชนแนล กำลังที่เคลมในสเปคจะลดลงต่ำกว่านั้นอย่างต่ำๆ 50 % ครับ และตอนดูหนังถ้าถึงช่วงพีคกำลังจะยิ่งถูกสูบและบริโภคจนเรารู้สึกว่าตอนดูหนังแอคชั่นแล้วเร่งดังๆ มันจะหนวกหู เจี็ยวจ๊าว ฟังไม่รู้เรื่อง อยากลด volume เร่งมากไปกว่านี้ต่อไม่ไหวแล้ว
8. ปัจจัยที่ต้องดูว่าควรใช้ AVR ขนาดไหน ตัวใหญ่แค่ไหน ควรเติม Power มั๊ย คือขนาดของห้อง และขนาดของลำโพงว่าขับยากแค่ไหน
หากห้องเล็กๆ 3*3.5 ห้องนอนปิด ลำโพงบุ๊คเชลฟ์ขับง่ายๆ แบบนี้การใช้ AVR เล็กๆอาจจะเพียงพอแล้ว การเพิ่มเงินไปใช้รุ่นใหญ่อาจจะเห็นความแตกต่างบ้างแต่ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายเพิ่ม รวมไปถึง Power ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น เพราะได้แค่โทนเสียงที่เปลี่ยนไปตาม Power ตัวนั้นเท่านั้น แต่การคุมลำโพงได้ดีขึ้นนั้นจะได้ใช้ประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราเปิดเสียงดังขึ้นจนถึงระดับที่ avr มันให้ไม่ได้ขึ้นไปถึงจะเห็นความแตกต่างของ Power ครับ (แต่ก็ยังได้บุคลิคและโทนเสียงของ Power ตัวนั้นแถมมาให้)
9. สิ่งสำคัญที่สุดคือโทนเสียง เลือกให้ถูกใจไว้ก่อน เสียงถูกใจเซ็ทดีๆแล้วเสียงดีมากนะครับ
แต่ถ้าเสียงไม่ถูกใจ เซ็ทให้ตายเสียงมันก็ยังคาใจ
ไอ้เรื่องโอบล้อมพวกนี้สำหรับผมมันเซ็ทได้ครับ แต่โทนและสไตล์เสียงเซ็ทไม่ได้ครับ เราเซ็ทได้แค่ให้เสียงถ่ายถอดออกมาได้ครบ 100% ตามที่เครื่องและหนังให้ได้
10. สุดท้ายคืองบ เวลาเลือก AVR พยายามตั้งงบแล้วค่อยเลือก AVR ที่อยู่ในงบเราดูจำนวนแชนแนล preout รองรับระบบเสียงที่ต้องการมั๊ย หลักๆสมัยนี้อย่างน้อยก็ต้องมี dolby atmos, dts:x ไว้ก่อน
ส่วน Option รองๆอย่าง blutooth, streaming เช่น chormcast, playfi, zone2 ต่างๆ พวกนี้ อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมากครับ พวกนี้เป็น cosmetic เอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่ซื้อ AVR มาก็ใช้ดูหนัง ขับลำโพง พวกนี้แทบจะไม่ค่อยได้ใช้ครับ
เทคโนโลยี AV Receiver เป็นไปตามเทคโนโลยีระบบเสียงที่เมืองนอกคิด วันนี้ระบบเสียงมาถึงจุดนิ่งๆตรง Dolby Atmos, DTS:X, Auro 3D ช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่จะหาซื้อ AVR ดีๆสักตัวแล้วก็ใช้งานไปนานๆ
จบแล้วครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และมีความสุขในการเลือกหา AV Receiver มาใช้กัน