Sources
DIY PC (Windows 8) running Tidal, Spotify, and iTunes
Oppo BDP-103 Blu-ray player
Amplification and Processing
Crestron Procise ProAmp 7x250
Pioneer Elite SC-85 receiver
MiniDSP DDRC-88A Dirac Live processor
Speakers and Subwoofers
Klipsch RP-280F towers
Klipsch RP-450C center
Klipsch RP-160M bookshelf speakers
Klipsch RP-250S surround speakers
Klipsch R-115SW subwoofers (2)
Cables
Monoprice 12-gauge OFC speaker cables
Mediabridge Ultra Series subwoofer cable
Mediabridge Ultra Series HDMI cables
Monoprice Premiere Series XLR cables
TV
Samsung PN64F8500 64" plasma TV
วันนี้เรามีภารกิจที่ได้รับมอบหมายวันนี้กับการรีวิว ลำโพงที่เคลมตัวเองในหน้ากระดาษสเปกว่าขึ้นชื่อในเรื่องความไวสูง และประสิทธิภาพสูง มาดูกันว่าจะจริงอย่างที่คุยมั๊ยกับ Klipsch Reference Premier 7.2 channels
Klipsch ถือเป็นบริษัทผลติลำโพงที่มีชื่อเสียงมายาวนานในอเมริกา โดยจุดเด่นของเค้าคือ ความไวสูง (sensitivity) ลำโพงแบบฮอร์น (Horn-load) โดยลำโพงในซีรี่ย์ใหม่อย่าง Reference Premier ที่เพิ่งออกใหม่มาแทนซีรี่ย์เก่าอย่าง Reference II ก็เคลมตัวเองไว้ว่าเหนือกว่าซีรี่ย์เก่าในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป้นการดีไซน์ตัวตู้แบบใหม่หมดจด ตู้ฮอร์นใหม่ที่ใช้ยางเข้ามาเป็นส่วนประกอบแทนพลาสติก ABS และซีรี่ย์นี้เองที่ Klipsch หมายมั่นปั้นมือไว้เป็นอย่างสูงว่าจะได้เสียงตอบรับให้เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่เชิดหน้าชูตาให้กับบริษัท
เมื่อเร็วๆนี้ เราก็มีรีวิวที่เพิ่งปล่อยออกไปสองตัวได้แก่่รีวิวลำโพงคู่หน้า
Klipsch RP-280F : goo,gl/lfq6H4
และรีวิว Subwoofer Klipsch R115SW: goo.gl/5WKHOJ
โดยรีวิวทั้งสองตัวนั้นเป็นเพียงส่วนนึงของระบบ 7.2 channels และเป็นเพียงน้ำจิ้มของรีวิวนี้เท่านั้น โดยวันนี้เราจะมาจัดเต็มรีวิวกันให้ครบทั้งระบบดูสิว่า ถ้าเราเล่น Klipsch Reference Premier ตัวใหม่ทั้งชุด ทุกตัวเล่นตัวท๊อปหมด เราจะได้อะไรกลับมาบ้าง
ในวันที่ลำโพงทั้งชุดมาส่งที่ออฟฟิสนั้น สิ่งแรกที่เราตกใจคือขนาดของมันที่ทั้งใหญ่โตมากๆเลย ยิ่งโดยเฉพาะซับวูฟเฟอร์ R115SW นั้นหนักราวๆ 30 กิโลกว่าๆต่อตัวกันเลยทีเดียว โดยเราจัดการยกมันไปติดตั้งกันโดยใช้พื้นที่บนชั้นสาม เรียกว่างานนี้กว่าจะขนขึ้นไปได้ก็ทุลักทุเลพอตัวเลยทีเดียว ใครที่คิดจะแบกมันขึ้นบันได้คนเดียวนี่ เราอยากให้เปลี่ยนความคิดหรือล้มเลิกความคิดซะใหม่ครับ
หลังจากจัดวางและเซ็ทอัพไปแล้ว เราพบว่าทั้งลำโพงคู่หน้า ทั้งซับวูฟเฟอร์ทั้งสองตัวที่วางอยู่ด้านหน้าระหว่างทีวีนั้น แทบจะไม่มีพื้นที่เหลือให้ขยับเขยื้อนอะไรได้อีก คือมันพอดีมากจนน่าตกใจสำหรับห้องที่มีหน้ากว้างประมาณ 3.5 เมตร คือทุกอย่างวางแล้วจะติดกันไปหมด แทบจะไม่มีพื้นที่ให้ขยับได้เลย
หลังจากเซ็ทอัพกันเสร็จดูกันเผินๆแล้ว สิ่งที่โดนเด่นและสะดุดตาเราที่สุดก็คือดอกลำโพงอลูมิเนียมสีทองแดงที่เด่นสวยงามจนไม่อยากจะเอาตะแกรงหน้ากากลำโพงปิดเลยครับ
Features
ในระบบ home theater ที่เราจะมารีวิววันนี้นั้นประกอบไปด้วยลำโพงคู่หน้า เซ็นเตอร์ เซอราวด์หลัง เซอราวด์ข้าง และซับวูเฟอร์ขนาด 15 นิ้วอีกสองตัว โดยลำโพงที่ใช้นั้นถูกออกแบบตู้ฮอร์นทวีตเตอร์ใหม่โดยมี titenium dome tweeter บรรจุอยู่ในฮอร์นแบบทรงกลมและล้อมรอบด้วยสี่เหลี่ยมอีกที อีกทั้งวัสดุที่ใช้ทำฮอร์นก็เปลี่ยนจากพลาสติก ABS เป็นยางแทนเพื่อลดเสียงสะท้อนซึ่งอาจทำให้เสียงหยาบและพุ่งจนเกินไป
Here's a close look at Klipsch's new tweeter.
ชุดที่เราใช้รีวิวนี้เป็นสีดำลาย Ebony ซึ่งจริงๆจะมีสองสีด้วยกันคือ Ebony และ Cherry ตัวตู้ก็มีการออกแบบใหม่ให้ด้านหน้ามีเหลี่ยมมุมที่้เฉียงและลาดขึ้นจากด้านบนเพื่อลดการสะท้อนของเสียง และเพื่อความสวยงามให้ตัวตู้ไม่ดูทื่อๆแข๊งเกินไปเมื่อติดแผงหน้ากากลำโพงด้วยครับ
Klipsch RP-280F คู่หน้าที่เราใช้เป็นลำโพงแบบ 2 ทาง บรรจุทวีตเตอร์แบบ Tractrix horn-loaded 1" titanium-dome tweeter และดอกวูฟเฟอร์ขนาด 8" aluminum-cone woofers สองดอก.
แต่ละข้างน้ำหนักประมาณ 31 กิโลกรัม (62.5 pounds) ขนาดตัวตู้อยู่ที่ 10.5" (กว้าง) 43" (สูง) 18.3" (ลึก)
RP-280F ตัวนี้ตอบสนองความถี่ที่ 32 Hz to 25 kHz (+/-3 dB) ค่าความไวหรือประสิทธิภาพของลำโพงถูเคลมเอาไว้ที่ sensitivity = 98 dB/W/m
ลำโพงสามารถรองรับกำลังขับต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 150 watts และรองรับกำลังขับพีคได้ที่ 600 watts (peak) ที่ 8 ohms วงจร crossover frequency ตัวนี้ตัดการทำงานระหว่างดอกวูฟเฟอร์และทวีตเตอร์เอาไว้ที่ 1750 Hz, (ความถี่สูงกว่า 1750 Hz จะทำงานที่ทวีตเตอร์ ต่ำกว่าจะทำงานที่วูฟเฟอร์) ท่อลมสำหรับเสริมเสียงเบสตัวนี้จะอยู่ด้านหลังเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผื่นผ่้า และลำโพงตัวนี้รองรับการทำงานแบบ bi-amping และการต่อสายลำโพงแบบ bi-wiring อีกด้วย
Klipsch RP-450C ลำโพงเซ็นเตอร์ที่เป็นพระเอกในระบบ Home Theater ของเราตัวนี้เป็นลำโพงแบบ 2.5 ทาง บรรจุทวีตเตอร์แบบ Tractrix horn-loaded 1" titanium-dome tweeter และดอกวูฟเฟอร์ขนาด 5.25" aluminum-cone woofers สี่ดอก.
ดอกลำโพงตัวทางด้านซ้ายติดกับทวีตเตอร์ และตัวทางด้านขวาสุดจากทวีตเตอร์จะทำหน้าที่ตอบสนองเสียงกลางที่ความถี่ 500 - 1500 Hz ส่วนดอกลำโพงที่เหลืออีกสองตัวคือ ซ้ายสุดจากทวีตเตอร์และดอกขวามือถัดจากทวีตเตอร์ทำงานที่ต่ำกว่า 500 Hz ลงมา น่้ำหนักตัวของ RP-450C อยู่ที่ประมาณ 18 กิโลกรัม (35.7 pounds) ขนาดตัวตู้ 31.13" (กว้าง) 6.81" (สูง) 14.51" (ลึก)
The RP-450C center has four woofers, two cut off at 500 Hz and two play up to 1500 Hz.
RP-450C ตัวนี้รองรับและตอบสนองความถี่ที่ 58 Hz - 25 kHz (+/-3 dB). ค่าความไวหรือประสิทธิภาพของลำโพง (sensitivity) เคลมเอาไว้ที่ 97 dB/W/m ลำโพงสามารถรองรับกำลังขับต่อเนื่องเฉลี่ยได้ที่ 150 watts รองรับกำลังขับสูงสุดที่ 600 วัตต์ (600 watts peak) ที่ 8 ohms crossover frequencies ตัดที่ 500 Hz วูฟเฟอร์สองดอก และ 500-1500 Hz อีกสองดอก และสูงกว่า 1500 Hz จะทำงานที่ทวีตเตอร์ สุดท้ายตัวนี้เป็นตู้เปิด ท่อลมเบสอยู่ที่ด้านหลังลำโพงเหมือนกับคู่หน้า RP-280F
Klipsch RP-250S ลำโพงเซอราวด์แบบไบโพล่า ที่ถูกติดตั้งเป็นเซอราวด์ข้างตัวนี้จะแตกต่างจากลำโพงตัวอื่นๆในระบบทั้งหมด โดยเฉพาะในแง่ของการออกแบบ นั่นเป็นเพราะตัวนี้ออกแบบให้เป็นตู้ปิด หรือพูดง่ายๆก็คือไ่มีท่อลมเบสนั่นเอง (จริงๆเซอราวด์ไม่มีท่อลมเบสก็เข้าใจได้เพราะบรรยากาศเสียงเซอราวด์เราไม่ต้องการกำลังเบสจากลำโพงมากเหมือนคู่หน้าหรือเซ็นเตอร์ เพียงแต่สิ่งที่สำคัญของเซอราวด์นั่นคือกระจายเสียงให้บรรยากาศคลอบคลุมทั่วห้องมากกว่า)
โดย RP-250S คู่นี้ถูกติดตั้งลำโพงแยกมาเป็นสองชุด นั่นคือ 1" titanium-dome tweeters และ 5.25" aluminum-cone woofers อย่างละหนึ่งชุด แยกกันทำงานสองข้างหันหน้าทำมุม 90 องศาออกจากกัน
ดังนั้นเมื่อมีลำโพงสองชุดทำหน้าที่ยิงเสียงออกจากกันแบบนี้ผลก็คือจะช่วยกระจายเสียงได้มุมที่กว้างขึ้น คลอบคลุมขึ้นได้ถึง 180 องศาจากจุดที่ติดตั้งลำโพง ซึ่งถือเป็นข้อดีของลำโพงเซอราวด์แบบไบโพล่ามากกว่าแบบบุ๊กเชลฟ์นั่นเองครับ
The front and rear of the RP-250S.
RP-250S รองรับความถี่ที่ 58 Hz - 24 kHz (+/-3 dB). มีค่าความไวหรือประสิทธิภาพอยู่ที่ (sensitivity) 95 dB/W/m ลำโพงรองรับกำลังขับต่อเนื่องเฉลี่ยได้ที่ 100 watts และรองรับกำลังสูงสุด (peak) ที่ 400 watts ที่ 8 ohms ตัวนี้ตัด crossover frequency ที่ 1500 Hz. ความถี่ต่ำกว่า 1500 Hz จะทำงานที่ดอกวูฟเฟอร์ทั้งสองข้าง ความถี่สูงกว่านี้จะทำงานที่ทวีตเตอร์ทั้งสองข้าง
Klipsch RP-160M ลำโพงบุ๊กเชลฟ์หรือ ลำโพงมอนิเตอร์ตัวนี้ถูกนำมาติดตั้งในตำแหน่งเซอราวด์หลัง โดย RP-160M เป็นลำโพงแบบ 2 ทางตู้เปิด ท่อลมเบสอยู๋ด้านหลัง ติดตั้ง Tractrix horn-loaded 1" titanium-dome tweeter และวูฟเฟอร์ขนาด 6.5" aluminum woofer น้ำหนักตัวตู้อยู่ที่ประมาณ 10 กิโลกรัม (19.9 pounds) ขนาดตัวตู้ 8.81" (กว้าง) 16.67" (สูง) and 12.86" (ลึก)
Here's a look at the front and back of the RP-160M. You can see the Tractrix horn and the Tractrix port.
RP-160M ตอบสนองความถี่ที่ 45 Hz - 25 kHz (+/-3 dB). ค่าความไวหรือประสิทธิภาพลำโพงอยู่ที่ (Sensitivity) 96 dB/W/m รองรับกำลังขับต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 100 วัตต์ และรองรับกำลังขับสูงสุด (peak) ที่ 400 วัตต์ที่ 8 ohms ลำโพงตัดความถี่ crossover frequency ที่ 1500 Hz, คือความถี่ต่ำกว่า 1500 Hz จะทำงานที่ดอกวูฟเฟอร์ สูงกว่านี้จะทำงานที่ทวีตเตอร์
Klipsch R-115SW ซับวูฟเฟอร์รุ่นนี้ เราใช้สองตัวทำงานร่วมกันเป็น Dual Subwoofer แต่ละตัวมีน้ำหนักมากถึง 34 กิโลกรัม (75-pound) ให้พลังเบสที่มหาศาล ให้ความดังสูงสุดถึง 122 dB (ดังอย่างกับ PA เลยทีเดียว)
R-115SW ใช้ดอกวูฟเฟอร์หนึ่งดอกขนาด 15 นิ้ว เป็น Avtive subwoofer ที่บรรจุ Amp เอาไว้ในตัวตู้แล้ว โดยแอมป์ภายในให้กำลังขับแยกต่างหากถึง 400 watts (800 watts peak)
R115SW ถูกออกแบบมาให้เป็นตู้เปิด จึงไม่ต้องใช้กำลังขับ amp ในตู้สูง เพราะมีท่อลมเบสที่ออกแบบไว้ที่ด้านหน้าช่วยเสริมกำลังเบส ทำให้ตัวนี้ทั้งดัง ทั้งกระชับ ทั้งลงลึก โดยสามารถตอบสนองความถี่เสียงเบสได้ตั้งแต่ 18 Hz 125 kHz (+/-3 dB), กันเลยทีเดียว (18 Hz โดยทั่วไปหูมนุษย?จะไม่ได้ยินเสียงที่ความถี่นี้แล้ว แต่รู้สึกได้จากความรู้สึกขนลุก บรรยากาศ ข้าวของสั่น โซฟาสั่นแทน เป็นความถี่ที่เป็นบรรยากาศในการดูหนังที่จำเป้นจริงๆครับ โดยเฉพาะหนังแอคชั่นและหนังสยองขวัญ) และตัวนี้มีขนาด 19.5" (กว้าง) 21.5" (สูง) and 22.3" (ลึก)
Setup
เราเริ่มติดตั้งและรันอินโดยใช้ชุดด้านบนนี้เป็นหลักใสเกือบๆสองเดือนเพื่อให้เสียงที่ได้นิ่งและให้ดอกลำโพง ขอบยางทำงานเต็มที่สำหรับการรีวิวครั้งนี้จะได้ผลที่เที่ยงตรง ถูกต้องมากที่สุด
โดยการจัดวางลำโพงคู่หน้าทั้งสองข้างจะจัดวางห่างจากลำโพงข้างให้มีเนื้อที่ห่างประมาณ 30 นิ้ว และห่างจากผนังด้านหลังประมาณ 40 นิ้ว โดยพื้นที่ด้านข้างนั้นเราเหลือพื้นที่เอาไว้ประมาณ 30 นิ้วเพื่อวางซับวูฟเฟอร์ R115SW ทั้งสองตัวเอาไปที่มุมห้องทั้งสองข้าง
ส่วนลำโพงเซ็นเตอร์ RP-450C จัดวางเป็นพิเศษบนชั้นวางที่ทำมาสำหรับวางทีวีความสูง 14 นิ้ว แต่เรานำมันมาวางเซ็นเตอร์ตัวนี้แทน
เซอราวด์ข้าง RP-160M ถูกติดตั้งแบบแขวนเข้ากับผนังด้านข้าง โดยวัดระยะให้ทวีตเตอร์สูงขึ้นมาจากพื้นประมาณ 42 นิ้ว และห่างจากจุดที่เรานั่งฟังประมาณ 5-6 นิ้ว
ลำโพงเซอราวด์หลัง RP-250S ติดตั้งด้านหลังโซฟาและห่างจากจุดนั่งฟังประมาณ 1.5 เมตร โดยเซอราวด์หลังทั้งสองข้างตั้งบนขาตั้งความสูง 32 นิ้ว เฉลี่ยแล้วความสูงก็จะประมาณพอๆกันกับเซอราวด์ข้างพอดี เมื่อวัดระยะจาก RP-250S ก็จะมีพื้นที่ด้านหลังเหลือจากผนังประมาณ 1 เมตร
ในส่วนของ AVR นั้นจะใช้ Pioneer Elite SC-85 AVR ทำงานเป็น pre-proและนำ power amp นอกมาต่อขับเพื่อให้ได้กำลังขับลำโพงให้เต็มที่ Power amp ที่ใช้จะเป็น Crestron Procise ProAmp 7x250 7-channel amplifier และเราใช้ Minis DSP DDRC-88A Dirac Live processor ในการช่วยปรับจูนเสียงของ system และห้องนี้
ส่วนต้นทางจะใช้เครื่องเล่นบลูเรย์ Oppo BDP-103 และ Roku 3 streaming box, และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบเอง (Windows 8.1) ในการทดสอบเล่นไฟล์ในการรีวิวครั้งนี้ครับ
หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ ลำโพง แอมป์ทั้งหมดแล้ว งานที่เหลือจึงเป้นการปรับเสียงโดยใช้ miniDSP DDRC-88A DL processor here. โดยเจ้าเครื่องนี้จะช่วยในการปรับเสียงได้ละเอียดยิ่งขึ้นในทุกๆความถี โดยสามารถปรับค่า และแก้ไขปัญหาในแต่ละห้องฟัง แต่ละความถี่ที่มีปัญหาให้เข้ากับ system และได้เสียงที่ดีที่สุด ตอบสนองความถี่ได้ครบและราบเรียบสม่ำเสมอได้โดยไม่ต้องเจอปัญหาเสียงบวม เบลอ หรือเสียงบางหรือบางความถี่หายไปด้วยครับ
และสุดท้ายก็หาตำแหน่งซับวูฟเฟอร์ และเครื่องมือช่วย โดยปกติแล้วถ้าเราตัดความถี่ต่ำที่ 100 Hz หรือ 150 มักจะมีปัญหาเรื่องเบสเกิน บวมเบลอ แต่ด้วยเครื่องมือ ตำแหน่งวาง และห้องที่เราทดสอบนั้นถือว่าไม่พบปัญหาดังกล่าวและเสียงเบสไม่มีอาการบวมเบลอ แต่ตอบสนองความถี่ได้ราบเรียบและไม่มีปัญหาใดๆเลย
Performance
คำแรกที่เราจะบอกหลังจากทดสอบชุดนี้คือ โคตรเจ๋ง เป็น home-theater surround system ที่สุดยอดชุดนึงเลย ซึ่งอย่างที่เคยอ่านกันไปก่อนหน้านั้นที่เรารีวิว Klipsch RP-280F และ Klipsch R-115SW แยกต่างหากไปก่อนหน้านั้นแล้ว (รีวิวทั้งสองตัวหาอ่านได้ตามลิ้งด้านบนครับ) และเมื่อเราได้ systemมาครบทุกตัว ได้มีโอกาศรีวิวระบบแบบครบๆ 7.2 แบบนี้ การทำงาน เสียงที่ได้นั้นต้องบอกว่าสุดยอด และสามารถตอบสนองการดูหนัง รายละเอียดในหนังไม่ว่าจะเป็น Soundtrack, effect ต่างๆได้อย่างยอดเยี่ยม โดยลำโพงทุกตัวในระบบทำงานได้ราบรื่น สมูธ มีไดนามิคเมื่อถึงจุดที่ต้องรุนแรง และให้รายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้เมื่อถึงจุดที่ต้องการแบบเที่ยงตรง ชัดเจน
บุคลิกนึงที่สังเกตได้ชัดเจนของ Klipsch Reference Premier ตัวนี้ที่โดดเด่นก็คือ รายละเอียดของเสียงแหลม (treble) ที่มันดีขึ้นกว่าตัวเก่าอย่างชัดเจนมากมาย ซึ่งไม่ว่า Klipsch จะทำอะไรกับ ReferencePremire นี้ไม่ว่าจะเป็นออกแบบตู้ใหม่ ออกแบบลำโพงฮอร์นใหม่ใหม่ หรืออะไรก็ตาม แต่ผลที่ได้มันชัดเจนว่าเสียงสูงที่เรารับฟังมันสมูธ ราบลื่น ฟังสบาย แต่มีดีเทลเล็กๆน้อยระยิบระยับได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเสียงสูงที่ดีแบบนี้น่าจะเป็นผลมาจากทวีตเตอร์แบบฮอร์น (horn-loaded tweeters)
และสิ่งหนึ่งที่ Klipsch ReferencePremier ทำได้ดีก็คือ Sensitivity ที่สูง ค่าความไวที่สูงแบบนี้ทำให้เราสามารถใช้แอมป์หรือ Receiver (AVR) ทั่วๆไปมาขับมันได้สบายๆโดยไม่ต้องเร่งกำลังแอมป์มากเลย อย่างมากก็เร่งแค่ครึ่งเดียวเสียงที่ได้ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่รับชมภาพยนตร์หรือฟังเพลงได้ดีแล้ว
โดยเมื่อเทียบกับลำโพงตัวอื่น แบรนด์อื่นจะเห็นว่าเราเร่งแอมป์แค่ครึ่งเดียวก็จะได้เสียงในระดับพอๆกับที่เราต้องเร่งเมื่อใช้ลำโพงตัวอื่นเลย
นั่นแปลว่า เราสามารถใช้ AVR ขับชุดนี้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ Power, Pre-pro มาขับก็สามารถรับชมภาพยนตร์หรือฟังเพลงได้ยอดเยี่ยมในระดับที่ห้องฟังขนาดทั่วๆไป และคนทั่วๆไปใช้งานได้แล้วครับ และถ้าเป็นลำโพงไซสขนาดนี้ของแบรนด์อื่น ดอกขนาด 8 นิ้ว เซ็นเตอร์สี่ดอก เซอราวด์แบบไบโพล ถ้าจะให้เสียงในระดับเดียวกับ Klipsch คงจะต้องใช้ Power amp ขับแน่นอนครับ
โดยเฉพาะ RP-280F เรากล้าบอกเลยว่า AVR ทั่วๆไปหรือ AVR ที่เราใช้อยู่นั้น (Pioneer Elite SC-85's) กับห้องขนาด 6 x 3.5 เมตร และสูง 2.75 นั้น เกินพอครับ
นอกจาก RP-280F คู่หน้าแล้ว งานนี้เรามีพระเอกอีกคนที่เด่นไม่แพ้กัน นั่นคือ RP-450C ลำโพงเซ็นเตอร์ ซึ่งต้องบอกว่าปกติเราไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับลำโพงในแชนแนลนี้มากนัก นั่นเป็นเพราะว่าที่ผ่านมามักจะเจอลำโพงเซ็นเตอร์ที่ตัวเล็ก คุณภาพเสียงไม่ค่อยดี เสียงไม่แม๊ทกับลำโพงคู่หน้าบ้าง เสียงพูดเบาบ้าง เอฟเฟกไม่ชัดไม่หนักบ้าง เสียงพูดไม่ clear ไม่ชัดบ้าง แต่กับตัว RP-450C ตัวนี้ต้องยอมรับครับว่าเค้าออกแบบมาดี กับลำโพง 2.5 ทางตัวนี้นอกจากเสียงพูดชัดเจน หนักแน่น แล้วยังสามารถทำงานควบคุ่และดังในระดับที่กลมกลืนทำงานคู่ไปกับคู่หน้าและเสียงในแชนแนลอื่นได้เป็นอย่างดีด้วยครับ แต่กระนั้นก็ต้องแลกมากับขนาดตัวที่กินพิ้นที่ในแนวกว้างพอสมควร จนเราต้องหาขาวางทีวีมาวางโดยเฉพาะ
เราในฐานะที่ต้องมารีวิวชุด Home Theater ชุดนี้ต้องบอกว่า เรามีความชอบเสียงจากหนังโดยเฉพาะเรื่องที่มิกซ์เสียงมาดีๆ ชัดเจน มีบรรยากาศโอบล้อมดีๆ เบสหนักๆ โดยการรีวิวในการรับชมภาพยนตร์นั้นเราใช้ system นี้มากว่าสองเดือน ดูหนังหลายเรื่องโดยเฉพาะหนังแนวไซไฟที่เราชอบเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็น Jupiter Ascending, Interstellar, Gravity, Chappie, Star Wars: A New Hope, Guardians of the Galaxy
เช่นเรื่อง Gravity เราเล่นผ่านลำโพง Klipsch Reference Premier สิ่งที่เรารับรู้ได้ก็คือ บรรยากาศโอบล้อม สนามเสียงที่เหมือนเราไปอยู่ในเหตุการณ์ในอวกาศกับ Sandra Bullock แบบนั้นเลย และเสียงที่ออกมานั้นบ่งบอกขนาดของวัตถุ และตำแหน่งของมันได้ชัดเจนโดยไม่ต้องเพ่งจับผิดหรือสังเกตแต่อย่างใด ไม่ว่าเสียงจะพุ่งมาจากทิศทางใด วิ่งมาด้วยความเร็ว ขนาดใหญ่แค่ไหน พาดผ่านหน้าเราตรงไหนไปรอบตัวตรงไหนบ้างก็สามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดีเหมือนกับลำโพงรอบๆตัวเรามันหายไป แต่เหมือนเราไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศนั้นจริงๆครับ
ต้องยกความดีให้ DSP ที่เราใช้เซ็ทอัพ (Dirac Live processing) ซึ่งจริงๆแล้วลำพังลำโพง Klipsch เองก็ตอบสนองความถี่และโยนเสียงต่างๆได้ดีอยู่แล้ว แต่พอได้ปรับจูนเสียงด้วย DSP ก็ยิ่งทำให้เสียงที่ได้เหมือนลำโพงล่องหนไปเลย
system นี้นอกจากจะตอบสนองเรื่องบรรยากาศโอบล้อม การแพนเสียง เอฟเฟคต่างๆได้ดีแล้ว ยังตอบสนอง soundtrack และเพลงได้ดีด้วย โดยเราใช้ AVR Pioneer เปิดโหมด Dolby Atmos และฟังเพลงแนว Electronic music เช่น Bassnectar, The Orb, Air, Dub Syndicate, Renegade Soundwave, Waterjuice, and Boards of Canada.
นอกจากนั้นดนตรีแนวอื่นๆที่ได้รับการบันทึกมาดีๆ อย่าง acoustic, jazz, classical, or folk ก็สามารถแสดงศักยภาพของลำโพงคู่หน้า RP-280F และอคูสติกของห้องออกมาได้เต็มที่ครับ
ข้อดีที่สุดของ Klipsch Reference Premier นั่นคือคุณภาพเสียง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเสียงที่เที่ยงตรง แม่นยำ และพละกำลังที่มหาศาล และเรามั่นใจว่าลำโพงในซีรี่ย์นี้จะสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของทุกคนที่มีจิตวิญญาณความเป็น audiophile และรักเสียงดนตรีทุกคนได้แน่ๆครับ
มาถึงจุดนี้นะครับจะเห็นว่ารีวิวนี้มีแต่ข้อดีเต็มไปหมด ไม่ว่าจะดูหนังหรือฟังเพลง แน่นอนครับของทุกอย่างบนโลกใบนี้ เมื่อมีข้อดี ก็ย่อมมีข้อเสีย ทีนี้เรามาดูข้อเสียของ system นี้กันว่ามีอะไรบ้าง
อันดับแรกคือขั้วต่อลำโพง (Binding post) ค่อนข้างจะก๊อกแก๊กเพราะทำจากพลาสติก ดูราคาถูกเมื่อเทียบกับข้อต่อลำโพงของลำโพงแบรนด์อื่นๆในระดับราคาใกล้ๆนี้ที่อาจจะใช้ขั้วต่อแบบโลหะ แต่ถึงแม้ขั้วต่อแบบพลาสติกจะดูราคาถูกแต่ก็ไม่กระทบกับเสียงที่ได้นะครับ
อันดับที่สอง เริ่องงานประกอบตัวตู้ที่ผิวลำโพงเมื่อเทียบกับลำโพงแบรนด์อื่นๆในระดับราคาใกล้ๆกันมักจะได้ผิวลำโพงที่เป็นไม้จริงบ้าง Higroos บ้าง ดูแล้วราคาแพงกว่าน่าใช้กว่า ส่วน Klipsch Reference Premier จะใช้ผิวลำโพงที่ค่อนข้างดูธรรมดาไปสักนิดเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวและคุณภาพเสียงครับ
ในส่วนของ Subwoofer ซึ่งเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่สุดและเราเคยรีวิวไปแล้วในรีวิวก่อนหน้า goo.gl/5WKHOJ
R115SW เป็นซับที่ตัวใหญ่ ให้พลังเสียงทรงพลังขนาดเขย่าห้อง แน่น กระชับกว่าที่หลายๆคนคิดมากครับ
Conclusion
บอกตรงๆ ว่าเราไม่คาดคิดว่าลำโพงซีรี่ย์ใหม่ Reference Premier จะให้ประสิทธิภาพสูงในทุกๆด้านคุ้มค่าและยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถ้าเคยติดตามรีวิวของเรา เราเคยรีวิวชุดลำโพง Thiel TT1 ที่เคยลงไว้ ( Thiel TT1 review I wrote) system ชุดนั้นราคาทั้งชุดประมาณ $6000/pair และลำโพงชุดนั้นก็เป็นหนึ่งในลำโพงที่สุดยอดมากๆอีกชุดนึง แต่ถ้าให้เราเลือกว่าชอบชุดไหนมากกว่ากัน ต้องบอกตรงๆครับว่าเราชอบ Reference Premier มากกว่านิดหน่อยในเรื่องของความสด ความหนักแน่นและเวลาดูหนังได้บรรยากาศที่ตื่นเต้นกว่าครับ
ในเรื่องของพละกำลังนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าลำโพงตั้งพื้น RP-280F ให้กำลังมากพอในการดูหนัง และฟังเพลงทั่วๆไปได้ดีมากๆ ทั้งในด้านของ Dynamic, Impact มากกว่าลำโพงอื่นๆที่เราเคยลองฟังมาด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครที่มีงบประมาณจำกัด RP-160M ลำโพงบุ๊กเชลฟ์ขนาดดอก 6.5 นิ้วก็สามารถทำหน้าที่่แทนลำโพงคู่หน้าแบบตั้งพื้นได้แบบไม่ขัดเขินและไม่แย่จนเกินไป โดยเราอาจจะลดขนาด system ลงมาเล่นเป็น 5.1 ใช้ซับวูฟเฟอร์แค่ตัวเดียวแทนก็ให้เสียงดีมากๆแล้ว โดยงบประมาณที่ต้องจ่ายลดลงไปกว่าครึ่งนึงเมื่อเทียบกับ 7.2 channels แต่ถ้าเพิ่มงบประมาณได้ และต้องการลงทุนในระบบ Home Theater ให้ดีที่สุด เราแนะนำเลยว่าให้ใช้คู่หน้า RP-280F และซับวูฟเฟอร์คู่ R-115SW เท่านั้น แล้วคุณจะไม่ผิดหวังในคุณภาพเสียงและเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น
ในส่วนของการฟังเพลง 2 channel RP-280F เป็นอะไรที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดที่เราแนะนำ ยิ่งได้เล่น RP-280F ร่วมกับ Dual subwoofer R-115SW แล้วเป็นที่ต้องบอกเลยว่า อย่าประเมินค่าในเรื่องการฟังเพลงของลำโพง Klipsch ต่ำจนเกินไป นั่นอาจจะเป็น series ที่แล้วที่ฟังเพลงได้ไม่ดี แต่สำหรับซีรี่ย์ Reference Premier นี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ ทั้ง RP-280F, RP-160M ใช้ฟังเพลงได้ดีทั้งคู่ครับ
ส่วน RP-450C ลำโพงเซ็นเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้ทรงพลัง ให้เสียงกว้างใหญ่เพราะมีการจัดวางดอกลำโพงในแนวขวาง 4 ดอก รวมไปถึง RP-250S ที่ทำหน้าที่กระจายเสียงคลุมห้องได้ยอดเยี่ยม เมื่อเราตัดเซอราวด์หลัง RP-160M ออกไปให้เหลือ 5.1 channels เสียงก็ยังคงคลอบคลุมและโอบล้อมได้ดีอยู่ครับ
และลำโพงทั้งหมดที่ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม คุณภาพเสียง แนวเสียงแต่ละตัวทำงานร่วมกันได้สอดคล้องดี นี่เป็นเหตผลที่เราใช้เวลากับลำโพงชุดนี้ถึง 2 เดือนในการฟังแล้วฟังอีก ทดลองเอาตัวนู้นโยกเข้าโยกออก เล่นแผ่นต่างๆ มันสนุก ฟังเพลินไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง
หลังจากจบการรีวิว เป็น system ที่เราไม่อยากจะถอดออกจากระบบและห้องเราเลยครับ ยอมรับเลยว่ายอมจริงๆกับชุดนี้ วันนี้ Klipsch ทำลำโพงซีรี่ย์ใหม่ได้ดีขึ้นในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะในด้านการฟังเพลงหรือดูหนัง รวมถึงเสียงสูงที่เนียนละเอียด เร่งดังๆก็ไม่บาดหูเหมือนรุ่นก่อนแล้ว
Reference Premier เป็น System ที่แนะนำมากๆให้ลองฟังครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |