การเล่นเครื่องเสียง Multi channel หรือที่เราเรียกว่าง่ายๆว่า Home Theater นั้น ส่วนใหญ่บ้านเรานิยม avr (Audio Video Receiver) กันซะ 90% นั่นเป็นเพราะความง่าย ทุกอย่างจบในชิ้นเดียว
AVR คือ Power + Pre ในตัวถังเดียวกัน
AVR ก็เปรียบได้เสมือนกับกล้องมือถือแพงๆที่สามารถถ่ายรูปได้ และทำอย่างอื่นได้ด้วย
ส่วนการแยก pre-processor และ Power นั้นก็เปรียบเสมือนเราใช้กล้อง dslr ตัวใหญ่ๆถ่ายรูปนั้นแหละครับ หนัก ไม่สะดวก แต่ได้คุณภาพงานที่ดีและกล้องมือถือทำไม่ได้

หลายคนมองว่า power คือของสิ้นเปลือง และไม่จำเป็น ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากชุดคุณใช้ลำโพงที่ขับง่าย ลำโพงแซท หรือลำโพงบุ๊กเชลฟ์ตัวเล็กๆที่ไม่กินกำลังขับ
แต่เมือไร่ก็ตามที่ลำโพงของคุณเริ่มขับยาก เช่น Polk, nht, elac,B&W,etc หรือลำโพงตั้งพื้นส่วนใหญ่หลายๆ แบรนด์ เมื่อนั้น AVR จะเริ่มตอบสนองได้ไม่เต็มที่ขึ้นมาทันที
และการเติม Power amp เข้าไปในระบบโดยการต่อกับ AVR ตัวเดิม (ต่อผ่าน Preout) หรือคุณจะเปลี่ยน Pre-pro ไปด้วยเลยก็ตาม ย่อมให้แนวเสียงที่ดีขึ้นมากมายนัก
ดีขนาดไหน ดีขนาดเปลี่ยนแนวเสียงได้เลยครับ เพราะหัวใจหลักที่เป็นตัวกำหนดแนวเสียงของซิสเต็มคือ อุปกรณ์ (ลำโพง+power+pre หรือ avr) และห้อง และการเซ็ตอัพที่ถูกต้อง
เหล่านี้คือหัวใจ ถ้าเสียงไม่ดี ขับไม่ไหวแล้ว การไปเติมแต่งด้วย accessories แสนแพง ก็เหมือนการเอาฃ้างมาไล่จับตั๊กแตนนั่นแหละครับ (accessories ช่วยเติมแต่งซิสเต็มทืี่ดีและลงตัวอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก แต่ไม่ใช่ตัวช่วยเปลี่ยนแนวเสียงหรือสิ่งที่กำหนดแนวเสียงหลัก)
ทีนี้วิธีการเลือก Power amp ก็มีหลักและมีข้อคิดอยู่เหมือนกันครับ เราไปดูกัน
1. power amp ส่วนมากนั้นมีตั้งแต่ 1 แชนแนล (mono block) ไปจน 9 แชนแนล ยิ่งจำนวนแชนแนลเยอะ ก็ยิ่งสะดวกกับผู้ใช้ เพราะเครื่องเดียวสามารถต่อจำนวนแชนแนลได้เยอะ ไม่เปลืองสายไฟ (แต่สายสัญญาณ สายลำโพงก็ยังใช้เท่าเดิม)
แต่พึงระลึกไว้ว่า การเลือกใช้จำนวนแชนแนลที่เยอะๆ ใช่จะมีข้อดีเสมอไป เพราะจำนวนแชนแนลที่เยอะเท่าไร่ยิ่งแปลว่าพละกำลังขับยิ่งลดน้อยถอยลง และมีโหลดมากขึ้นเป็นเงาตามตัว Power 5 ch อาจจะให้กำลังท่ 250 วัตต์ แต่ Power 7 ch อาจจะดรอปลงมาเหลือแค่ 200 วัตต์ เห็นมั๊ยครับว่ามันโหลดและกำลังหายเยอะมาก
ข้อเสียอีกประการคือหาก power ที่กำลังขับเยอะและมีแชนแนลเยอะ มันก็จะหนักจนเป็นภาระของคุณ นั่นคือมันจะหนักมาก มากขนาดที่ว่าคนสองคนยกไม่ขึ้น หนักร่วม 100 กิโลก็มีมาแล้ว ให้คิดถึงเวลาเบื่อ เวลาขายต่อ หรือเวลา service ด้วยครับ
2. กี่แชนแนลดี เวลาเลือก Power amp ผมมักจะมีข้อคิดเสมอว่า ลำโพงที่ควรทุ่มเทใส่ใจ ให้กำลังขับที่ดีมีคุณภาพมากๆ นั่นคือลำโพงหลักที่อยู่ด้านล่าง นั่นคือ 3 ตัวหน้า (LCR) หรือบางคนจะบอกว่าขอเลือกดีๆให้ sr, srb ด้วยก็ไม่ผิดครับ เพียงแต่ sr, srb ส่วนใหญ่เราจะขับง่ายและลำโพงไม่ได้ขับยากเหมือน lcr และเสียงส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงบรรยากาศที่ไม่ได้โหมหรือพีคมากๆ เหมือน lcr นั่นเอง
ดังนั้นเวลาผมเลือก Power ผมมักจะแบ่ง power ออกมาตามที่จำเป็นเสมอเช่น ถ้าผมเล่น 7 แชนแนล
ผมมักจะเลือก 3 ตัวหน้าเป็นตัวนึงที่คุณภาพดีๆ วัตต์สูงๆไปเลย อีก 4 ตัวเลือกใช้ 5 หรือ 4 แชนแนลที่กำลังน้อยลงมาหน่อย
แทน วิธีนี้ให้คุณภาพในการขับลำโพงที่ดีที่สุด ข้อเสียคือจะมีเครื่องเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเครื่อง และใช้สายไฟเพิ่มมาอ่ีักหนึ่งเส้น
แต่ถ้าใครเล่น 11 แชนแนล ผมมักจะเลือกเป็น 5+7 ในกรณีที่ห้องมีพื้นที่จำกัด (5 ขับ lcr และ sr หรือ srb) ส่วนที่เหลือขับ atmos
แต่ถ้าห้องใหญ่ หรือมีแร๊ค ไม่มีปัญหากับการจัดวาง ผมจะเลือก 3+4+4 หรือเผื่ออนาคต (3+5+5) ไปเลยครับ เราจะได้ชุดของ Power ที่ลงตัวที่สุด นั่นคือตัวนึงดีๆขับ lcr อีกตัวขับ sr+srb อีกตัวขับ atmos (atmos อาจจะเลือก power ที่คุณภาพด้อยลงมาหน่อยได้)
3. ในกรณีที่คุณใช้ avr แต่อยากใช้ Power กรณีนี้คุณก็เลือกได้เลยว่าอยากต่อ power ที่ลำโพงตัวไหน จริงๆต่อ 3 หรือ 5 แชนแนลก็พอแล้ว ที่เหลือให้ avr ขับไปก็ใช้ได้ครับ
4. power ส่วนใหญ่ ถ้าต่อใช้ไม่ครบ กำลังและโหลดจะดีขึ้น เช่นถ้าเรามี power 5 ch แต่เราต่อใช้แค่ 2 หรือ 3 แชนแนล กำลังจะดีกว่าเราต่อใช้ครบทุกแชนแนล นั่นเป็นเพราะว่าโหลดที่มาดึงกำลังนั้นน้อยลง
5. Power มีแนวเสียง หลายคนคิดว่า Power คือ power มีตัวเลขกำลังสูง คือจบ ใช้ตัวไหนก็ได้ที่ถูกๆ แนวคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องครับ คล้ายๆหลายคนซื้อลำโพงบางตัวที่ถูกแต่ลืมคำนึงถึงแนวเสียงว่าเราชอบมั๊ย หรือขับยากมั๊ก บางตัวลำโพงถูกแต่ขับไม่ออก ต้องเสียค่า power อีก 2-3 เท่าของลำโพงก็มี
แนวเสียงของ power นั้นแตกต่างอย่างชัดเจน และฟังออกแบบชัดเจน การแมทชิ่งคือเรื่องสำคัญมากในการเล่นเครื่องเสียง ลำโพง cienma บางตัวไปจับกับ poweramp บางตัวแล้วเสียงไม่ดีก็มี
ส่วนใหญ่ถ้าเล่น cinema หรือเน้นดูหนังเป็นหลัก เราจะแนะนำให้เล่น power amp ที่แนวเสียงไปทางดูหนัง คือหนักๆ กระชับ เร็วและรายละเอียดดี เช่นพวก anthem, emotiva, ati
ส่วนยี่ห้อที่เน้นกลางๆ ดูหนังก็พอได้ และฟังเพลงดีด้วย มีความเป็นธรรมชาติสูง ก็เช่น Parasound
ส่วน power ระดับเริ่มต้นส่วนมากมักจะเริ่มกันที่ 200 วัตต์ขึ้นไป ซื้อหามาใช้ได้ราคาไม่แพง ก็เช่น Adcom
ส่วน Power ระดับราคาย่อมเยาว์นั้น เริ่มกันที่ 80 - 150 วัตต์ พวกนี้ใช้ขับลำโพงตัวเล็กๆขับง่ายๆได้ แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาเค้นหรือจริงจังกับลำโพงตัั้งพื้นตัวใหญ่

ทริ๊คง่ายๆในการหาแนวเสียงของ Power ก็คือ ส่วนใหญ่ 99% แนวเสียงของผู้ผลิตรายไหน ก็มักจะผลิต power แนวนั้นออกมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผมไม่เคยเจอผู้ผลิตรายไหนที่ทำ power ต่างแนวเสียงออกมาเลย เช่น anthem ก็ให้แนวเสียงที่มีเอกลักษณ์ คือแน่น หนัก หนาฟังไม่กัดหู แทบจะทุกซีรี่ย์ในระดับเดียวกันที่เค้าออก (MCA, A series) ยิ่งรุ่นสูงขึ้นไปก็ยิ่งให้เสียงที่ดียิ่งขึ้น
ส่วนผู้ผลิตบางรายที่เน้นทำเสียงแนวฟังสบายๆง่ายๆ นุ่มๆ ก็จะผลิตแต่แนวเสียงเช่นนี้ออกมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน จริงๆมันคือความชอบของเค้า และมันคือเสียงในอุดมคติที่เค้าชอบนั่นแหละครับ เค้าคิดว่าแบบนี้เสียงดี เค้าก็ผลิตแต่ของเสียงแนวนี้
หน้าที่เราแค่ตัดสินใจว่า เสียงที่เค้าว่าดีนะ เราชอบหรือเปล่า ใช้แนวเดียวกับที่เราคิดมั๊ย
เพราะแนวเสียงคือเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ผลิตคิดว่าเสียงแบบไหนดี เค้าก็ทำแนวนั้นออกมา ไม่ค่อยเปลียน ยกเว้นเจ้าของตายแล้วเปลียนมือ
ส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้น และส่วนใหญ่ใครที่ใช้ Power ยี่ห้อไหนแล้วดี ก็มักจะไม่เปลี่ยนยี่ห้ออีกเลย เพราะแนวเสียงแบบยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมันแทนกันไม่ได้ครับ (บางยี่ห้ออาจจะคล้าย)
Emotiva ก็เสียงแบบ Emo (ok ว่า gen3 เสียงอาจจะไปคล้าย anthem แล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับปรุงของเค้า)
Rotel ก็เสียงแบบ Rotel ไม่มีวันเปลี่ยน
Parasound ก็เสียงแบบ parasound ละเมียดๆฟังง่าย
สรุป สุดท้าย power amplifier อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวของคนเล่น home theater แต่ยืนยันว่า เมื่อไร่ก็ตามที่คุณได้ลองเล่น คุณจะสนุก และตกใจว่า ลำพังกำลังขับที่ถูกเคลมไว้ใน avr นั้น ถ้าเราเอามาต่อครบแชนแนลไม่มีวันเพียงพอและขับลำโพงได้ 100 %
power มีความสำคัญแค่ไหน ก็สำคัญเท่ากับความคาดหวังในเสียงของชุดของคุณนั่นแหละครับ ถ้าคุณฟังเล่นๆ เน้นง่ายๆ ไม่ต้องเสียงดีมาก ดูกันในครอบครัว ไม่เอาอะไรเยอะ ก็ไม่สำคัญอะไรหรอก
แต่ถ้าคุณจะเน้นจริงจัง เล่นและต้องการเสียงที่ดีจริงๆเวลาดูหนัง มักก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
เพราะความพึงพอใจคนเรามีไม่เท่ากัน บางคนยอมจ่ายเส้นสายเป็น5-6หมื่น เป็นแสน แต่ยังใช้ avr บอกว่าพอแล้ว
บางคนใช้ power ดีๆ แต่ใช้สาย canare ก็มี
ผมเชื่อว่าถ้าคนเรามีงบมากพอ ก็อยากจะเทลงไปให้ครบและดีทุกอย่างในระบบนั้นแหละครับ
แต่ในความเป็นจริง งบอาจจะไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น เราก็ต้องเลือกใช่มั๊ยครับว่าอะไรสำคัญ อะไรเปลี่ยนแล้วเห็นผลเยอะที่สุด
ผมแค่ไกด์ว่า ลำโพง power pre สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กำหนดและเปลี่ยนแล้วเห็นผลขัดเจนมากตั้งแต่ 20 - 90%
ไม่จำเป็นต้องเชื่อผม เพราะผมก็เป็นแค่คนเล่นธรรมดาๆที่ไม่ได้มีเงินมากพอจะเปลี่ยนทุกอย่างในระบบให้ hie-end
ผมแค่พอมีบ้าง เปลี่ยนสิ่งที่ดีในงบที่ไม่แพงมากแค่นั้น
ส่วนอุปกรณ์ชิ้นไหนในซิสเต็มของคุณจะสำคัญที่สุด ก็อยู่ที่ใจของคุณนั้นแหละครับ ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ร้านขายของที่เอาของมาเสนอ อย่าลืมว่าตังค์อยู่ในกระเป๋าเรา ใครก็เอาออกไปไมไ่ด้ จนกว่าเราจะไปยื่นให้เค้าเอง
อย่าซื้อที่เราไม่ได้ชอบ มาอวดคนอื่น หรือเพราะร้านฟันธงให้สอย เพราะความสุขสุดท้ายมันอยู่ที่หูและในห้องคุณเอง ไม่ใช่อยู่ในบ้านเพื่อน หรือในร้าน
ขอให้มีความสุขครับ
