Subwoofer แบบไหนดี?
ตู้เปิดกับตู้ปิดต่างกันยังไง? ดู spec ยังไง ค่าอะไรเยอะแยะไปหมด? วันนี้เรานำความรู้เล็กๆน้อยๆในการเลือก subwoofer มาฝากกันครับ
บ่อยครั้งนะครับที่เราได้ยินคำถามว่า ตัวนี้เป็นตู้เปิดหรือตู้ปิด? ทราบหรือไม่ครับว่ามันแตกต่างกันอย่างไร เราจึงอยากจะลงรายละเอียดและไขข้อสงสัยเป็นข้อๆกันเลยครับ
1. ตู้ปิด เสียงดีกว่า ตู้เปิด? ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นทั้งมวลครับ การที่ subwoofer จะเสียงดีนั้นมีปัจจัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอกที่ใช้ ตัวตู้ แอมป์ที่ใช้ขับ
ถ้าเราใช้ทุกอย่างเหมือนกันหมด ดอก แอมป์ แต่ต่างกันแค่ตู้เปิดกับตู้ปิด เสียงที่ได้จะแตกต่างกัน
- ตู้เปิดเสียงจะดัง ให้ปริมาณเบสที่เยอะ อิ่ม ใหญ่กว่าตู้ปิด เพราะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างตู้ และการไหลเวียนของอากาศภายในตู้ให้เป็นประโยชน์
- ตู้ปิดจะให้เสียงและปริมาณเบสที่น้อยกว่า แต่ได้เบสที่กระชับและสะอาดกว่า ให้เบสต้นที่ชัดและหนักแน่น
- ตู้เปิดจะไม่ต้องการกำลังขับสูงเท่าตู้ปิด
- ตู้ปิดจะต้องการกำลังขับที่สูงกว่าตู้เปิดเสมอ เพราะฉะนั้น subwoofer ในราคาและงบประมาณเท่าๆกัน ใช้วัสดุทุกอย่างเหมือนกันหมดแอมป์ตัวเดียวกัน ต่างกันแค่ตู้เปิดกับตู้ปิด ตู้ปิดมีโอกาสที่เสียงจะแย่กว่าตู้เปิดได้ หากแอมป์ที่ใช้นั้นให้กำลังไม่มากพอ
- ตู้ปิดจะให้เสียงได้ดี กระชับ สะอาด หนักแน่นนั้น ล้วนต้องการกำลังขับที่สูงกว่าปกติแทบทั้งนั้น ดังนั้นการที่จะหา subwoofer ตู้ปิดในราคาต่ำกว่า 3-4 หมื่นบาทและต้องการเสียงที่ดีกว่าตู้เปิดในราคาเดียวกัน เป็นเรื่องค่อนข้างเป็นไปได้ยากครับ และจะเห็นว่าในราคาระดับ 3-4 หมื่นบาท เราจะเห็น 95% ของ subwoofer ทั่วๆไปจะเป็นตู้เปิดแทบทั้งหมดครับ นั่นเป็นเพราะว่าต้นทุนของแอมป์ที่จะนำมาขับนั้นสูงกว่าตู้เปิดนั่นเอง
แต่ ก็จะมีบางยี่ห้อที่ทำตู้ปิดมาในราคาไม่แพงมากนัก ส่วนใหญ่พวกนี้จะใช้เทคโนโลยีเฉพาะ เน้นใช้ดอกที่ขับง่าย และการออกแบบตู้ที่ดี และใช้แอมป์ที่ราคาไม่สูงมากนัก จึงสามารถทำตู้ปิดมาในราคาที่โดนใจได้ ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของสะอาดและกระชับของเบส แต่เสียงจะดีกว่าตู้เปิดในระดับราคาเดียวกันหรือไม่นั้น ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งานเองต้องตัดสินใจครับ
- ลำโพงตู้ปิดเสียงไม่จำเป็นต้องดีกว่าตู้เปิดเสมอไปครับ ยกตัวอย่างเช่น JBL 4645 ที่ได้รับการรับรองจาก THX และนิยมนำไปใช้ในโรงหนัง และผู้ผลิตส่วนใหญ่นิยมนำไปเป็นต้นแบบในการผลิต subwoofer ระดับเทพๆหลายตัว ก็เป็นตู้เปิดครับ แถม spec ยังลงได้ลึกถึง 22 Hz (-3 db) และ 18 Hz (-10 db)
2. Active หรือ Passive subwoofer ดีกว่ากัน subwoofer ทั่วๆไปที่ขายสำหรับใช้ใน home theater นั้นส่วนใหญ่จะเป็น active ทั้งนั้นครับ ข้อดีของมันก็คือ ง่าย เพราะภายในตัวตู้จะมีแอมป์บิ้วอินมาให้เลย เราไม่จำเป็นต้องหาแอมป์มาต่อให้วุ่นวายครับ เรียกว่าซื้อตัวเดียว เสียบปลั๊ก เสียบสายสัญญาณแล้วจบ
ส่วนอีกแบบคือ passive นั้นจะมีแต่ตัวตู้ซับมาให้ ไม่มีแอมป์ ให้ลองนึกภาพลำโพงคู่หน้าก็ได้ครับ คือมีแต่ตู้ แล้วต้องหา avr หรือ power มาขับเองมันถึงจะทำงานได้ ข้อดีของแบบนี้ก็คือเราสามารถเลือกแมทชิ่งใช้แอมป์ดีๆได้ เสียงที่ได้ส่วนใหญ่ถ้าแมทชิ่งดีๆก็จะได้เสียงที่ดี กระชับ หนักแน่นกว่าแบบ active และตัวซับมักจะมีความคงทนมากกว่าเพราะไม่ค่อยมีวงจรเรื่องภาคขยายเข้ามา เกี่ยวข้อง แต่ข้อเสียก็คือยุ่งยาก ต้องต่อสายกับ power แยกออกไปถึงจะใช้งานได้ และรวมๆแล้วก็จะมีราคาแพงด้วยครับ
3. ค่า spec ของซับแต่ละตัวต่างกันอย่างไร เราจะเคยเห็นค่าพวกนี้นะครับ 27 Hz (-3 db) 22 Hz(-10db) ค่าที่ว่านี้ใช้บอกว่าซับตัวนี้ลงลึกได้แค่ไหน แต่ๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ ในวงการเครื่องเสียงก็มี trick เล็กๆน้อยๆเหมือนกัน ค่าของเสียงที่ได้จะไม่ใช่เส้นตรงอย่างที่เราคิดกันนะครับ ค่าพวกนี้จะเป็น curve ให้เสียงได้ดีที่ระดับความดังและความถี่ Hz นึงเท่านั้น แม้ว่าสเปกจะบอกว่าลงได้ถึง 22 Hz แต่ที่ระดับ 22 Hz นี้ค่ากราฟมันลาดลงและให้เสียงค่อยกว่าปกติแล้วครับ สังเกตจากเลข 22 Hz (-10db) ดังนั้นค่ามาตรฐานทั่วๆไปที่เราควรดูจะอยู่ที่ -3 Hz เช่น 27 Hz (-3 db) เป็นหลักครับ ซับบางยี่ห้อ ราคาถูกดี แถมสเปกยังลงได้ลึก แต่ดูดีๆแล้วค่าที่แจ้งนั้นเป็นค่าที่เสียงเริ่มจะ fade out ออกไปแล้วครับ คือลงได้ลึกก็จริงแต่หูเริ่มจะไม่ได้ยินเสียงแล้วนั่นเอง
4. เหตุใดต้องใช้ subwoofer ในเมื่อลำโพงคู่หน้าผมก็ลงได้ลึกตั้ง 30 Hz หรือ 27 Hz
ใช่ ครับ ลำโพงคู่หน้าบางคู่ลงได้ลึกขนาดนั้นจริง แต่ที่จริงแล้วต้องไปดูกราฟครับ ว่าที่ระดับความถี่ต่ำกว่า 30 Hz นั้นสำหรับดอกวูฟเฟอร์ 5-8 นิ้วทั่วๆไป ส่วนใหญ่ 99.99% จะให้เสียงเบสที่ fadeout ลงไปมากแล้ว เสียงที่ได้ยินนั้นจะขาดน้ำหนัก ค่อย แม้ว่าจะลงลึกได้เท่านั้นก็จริง แต่ความสนุก ความมัน ความดังแถบจะไม่เหลือแล้วครับ
ก็แหม ลำโพงคู่หน้าส่วนใหญ่รับหน้าที่ตอบสนองความถี่ตั้ง 22 kHz ไปยัน 30 Hz คงไม่มีลำโพงเทพตัวไหนที่ให้เสียงดีเสมอกันไปจนทุกย่านความถี่ แม้กระทั้งความถี่ต่ำๆแน่นอนครับ
5. เอาซับ PA มาดูหนังในบ้านแทนได้มั๊ย เสียงกระแทกดี แถมราคาไม่แพง คำตอบคือได้และไม่ได้ครับ ปกติแล้วซับ PA จะทำมาสำหรับดนตรี การแสดงสดจึงให้เสียงที่สด กระชับ โหด เบสต้นชัดกว่าซับบ้านแทบทั้งนั้น แต่ซับ PA ส่วนใหญ่จะลงได้ไม่ลึก ส่วนใหญ่จะได้ประมาณ 38Hz แค่นั้น ถ้าความถี่ที่ต่ำกว่านี้ก็จะเริ่มเฟดไปแล้ว จะมีแค่บางตัวที่ลงได้ลึกอย่างเช่น JBL 4645 ที่ลงได้ถึง 22 Hz แล้วถ้าถามว่าถ้าจะใช้ PA Subwoofer ทั่วๆไปที่ลงได้ไม่ลึกมาก เช่น Cerwin Vega CVA118 ที่ลงได้แค่ 38 Hz เอามาใช้จริงๆในบ้านจะได้มั๊ย คำตอบก็คือได้ครับ คงไม่มีใครห้ามท่านได้ แต่การใช้งานควรจะต้องมีซับบ้านอีกตัวไว้คอยเสริมความถี่ลึกๆ ใช้งานเป็นเป็นคู่ไปเลย ที่นี้ท่านจะได้ทั้งบรรยากาศระลอกคลื่นหนักๆ ความกระชับเช่นเดียวกับโรงหนัง และยังได้เบสลึกๆจากซับบ้านอีกตัวนึงด้วยครับ
6. ถามว่าดูสเปกแล้วลงได้ลึก เลือกตู้เปิดตู้ปิดที่ชอบได้แล้ว แล้วจะซื้อเลยดีมั๊ย ยังก่อนครับ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวเลขและสเปกบนกระดาษแค่นั้น ความจริงแล้วซับจะเสียงดีหรือถูกใจเรานั้นยังมีปัจจัยอื่นอีกมากครับ ทั้งตัวดอกที่ใช้ด้วย และความชอบรสนิยมส่วนตัวของเราด้วย ซับบางยี่ห้อสเปกเหมือนกับอีกยี่ห้อหนึ่งเลย แต่ให้เสียงต่างกันราวกับมาจากคนละดาวกัน เช่น Klipsch ให้เสียงเบสต้นหรือหัวเบสชัด จัด กระแทก และกระชับ ไม่แผ่ หุบตัวเร็ว ฟังเพลงเร็วๆ ดูหนังดี
แต่กับอีกยี่ห้อนึงเช่น Velodyn ให้เสียงเบสต้นที่เบา ไม่ชัดเจน แต่กลับให้เบสลึกๆที่นุ่มนวลชวนฝัน ฟังสบาย สะอาด เหมือนกระโจนลงไปบนเบาะน้ำนิ่มๆอย่างไงอย่างงั้นเลย ฟังเพลงช้าๆสุนทราภรที่ไม่ต้องการเบสเยอะๆดี ดูหนังได้บรรยากาศเล็กๆ
ดัง นั้นการที่ท่านจะเลือกซับวูฟเฟอร์ดีๆมาไว้ใช้งานสักตัวนั้น นอกจากดูสเปกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวกำหนดว่าซับตัวนั้นเหมาะกับท่านหรือไม่ คือรสนิยมของท่าน และบุคลิกของซับตัวนั้นๆเองครับ
ก่อนที่จะเลือกซื้อซับสักตัวสิ่งที่ต้องตอบให้ได้นั่นคือ ท่านชอบเสียงต่ำแบบไหน? แล้วจึงไปเลือกซับในแนวและยี่ห้อและงบที่ท่านชอบครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |