1. สาย Optical ต่อกับทีวี: ใช้สาย Optical ต่อจากช่อง Audio out / Digital out / Optical put แล้วต่อมาที่ sound bar ตรงๆ วิธีนี้ง่ายที่สุดครับ ตอนนี้ไม่ว่าเสียงอะไรก็ตามที่วิ่งมาเข้าทีวีก็จะมาออกที่ Sound bar เราทั้งหมดไม่ว่าจะดูทีวี ดูละคร เล่น ps4, ดู dvd / bluray หรือเปิดคาราโอเกะก็ตาม
2. สาย RCA ต่อกับทีวี: ใช้สาย RCA (ขาว แดง) วิธีนี้สำหรับทีวีรุ่นเก่าๆที่มีช่อง Audio out แบบ RCA สองเส้น เราก็สามารถต่อจากช่อง Audio out แล้วต่อมาที่ sound bar ตรงๆ ได้เหมือนกันครับ ผลลัพธ์เหมือนกับวิธีแรกทุกประการครับ
3. HDMI 2.0 (4K Pass Through) ต่อกับอุปกรณ์เครื่องเล่นตรงๆ เช่น DVD / Bluray / PS4 หรือกล่องจานดาวเทียม ด้วยสาย HDMI โดยเราจะเอาสาย Hdmi ต่อจากเครื่องเล่นของเราเข้ามาที่ Sound bar โดยตรงโดยไม่ผ่านทีวีเลย ข้อดีคือมีการสูญเสียน้อยที่สุด แต่ข้อเสียคือ ถ้าเรามีอุปกรณ์เครื่องเล่นๆหลายอย่าง เราอาจจะต้องคอยสลับสายกันวุ่นวายนิดหน่อยครับ
4. สตรีมมิ่งผ่าน Bluetooth กับโทรศัพท์ Iphone /Ipad / Android หรืออุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth โดยสามารถ connect เพื่อเปิดเพลงฟังโดยโดยที่ไม่ต้องต่อสายใดๆครับ
5. ต่อกับคอมพิวเตอร์ ด้วย USB ง่ายๆ ก็สามารถนำ Sound bar มาใช้กับคอมได้แล้ว
6. ต่อ Klipsch Play-Fi ด้วยแอปบนมือถือ (Klipsch Stream app) ก็สามารถเข้าถึงและเล่น content ต่างๆได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Pandora, Tidal และ Internet Radio ได้หลากหลาย
7. สามารถทำ Multi room ได้ ด้วยฟังก์ชั่น Klipsch Stream Wireless Multi-Room System สามารถนำ Sound bar หลายๆตัวมาเชื่อมกันหลายๆห้อง และเล่นพร้อมๆกันแบบ Multi room แบบไร้สาย (RSB-8)
ความสามารถหลากหลายและอัดแน่นแบบนี้ กับราคาที่แทบจะไม่แตกต่างไปจากเดิมเลย และแน่นอนว่าเสียงยังแน่น และดุดันเช่นเดิมเหมือนที่รุ่นเก่าเคยทำไว้ นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวของตลาด Sound bar ที่ต้องพิจารณาครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,238 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,075 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |