สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าสายไฟ มีผลกับเสียงมากน้อยแค่ไหนแค่ไหน?
ลูกค้าจากเชียงรายบุกมาถึงห้องฟังครับ พร้อมหนีบเอาสายไฟมาให้ลองประชันเสียงกันเล่นๆ ถึงสามเส้น ดังนั้นบทความในวันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของสายไฟครับ
ว่าด้วยสายไฟเส้นสั้นๆ ไม่กี่เมตร มันจะมีผลกับเสียงในระบบ Home Theater หรือเครื่องเสียงของเราสักแคไหนเชียว สายไฟฟ้าจากการไฟฟ้าลากมาเป็นหลายร้อยกิโล แล้วลากเข้าหม้อแปลง ผ่านเข้ามาในบ้าน ผ่านปลั๊กผนัง ผ่านปลั๊กราง ก่อนที่จะผ่านเข้ามาสู่สายไฟของเครื่องเสียงเราแค่ 1-2 เมตร เสียงเปลี่ยนจริงอะ เปลี่ยนแค่สาย 1-2 เมตรแค่นี้ เสียงรับรู้ได้เลยจริงรึเปล่า
ตอนผมเป็นนักเล่นมือใหม่ๆ ตังน้อย ผมก็มักจะคิดว่า ไร้สาระ เสียงไม่เปลี่ยนหรอก มโน แค่สายไฟเส้นนิดเดียว ขายเป็นพันเป็นหมื่น เป็นแสนยังมี
เอ๊ะ แต่ถ้ามันไม่มีผลจริง แล้วทำไมคนเล่นเค้าถึงซื้อไปใช้กันละ ทำไมๆ
ประเด็นนี้นี่ถ้าเอาไปถามในเว็บบอร์ดพันทิพนี้ รับรองได้เลยว่ามัน... เพราะห้องนู้นจะไม่สนคุณภาพอะไรทั้งสิ้น ขอเป็นเป็นสายไฟ สาย hdmi ทุกอย่างจะราคาเมตรละบาท ไปจนเมตรละแสน คุณภาพเท่ากันหมดครับ
มาถึงตอนนี้ผมต้องขออนุญาติตอบใหม่ว่า วัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างที่ใส่หรือถอดออกจากระบบล้วนมีผลต่อเสียงทั้งสิ้น มีมากมีน้อยต่างกันออกไป ลำโพงมีผลมากที่สุด เพราะเป็นอุปกรณ์หรือแหล่งกำเนิดเสียงโดยตรง ส่วนเส้นสายก็มีผลแต่งเติม และปรับปรุงให้เสียงดีขึ้นหรือแย่ลงในแนวทางของสายเส้นนั้นๆและเสียงในระบบเดิม การจะบอกว่าเสียงเปลี่ยนไปมากแค่ไหน มีปัจจัยหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นซิสเต็มเดิมที่ใช้อยู่ ถ้าซิสเติมใหญ่ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงง่ายและเยอะ ถ้าซิสเต็มแบบมินิคอมโป หรือชุดเล็กๆ ลำโพงแซทแบบนี้ต้องบอกว่า เปลี่ยนน้อย อย่าไปเปลืองเงินเล่นเลย เก็บเงินอัพลำโพงอัพระบบคุ้มกว่า อันนี้พูดจริงๆจากใจ
ห้องก็มีผล การเซ็ทอัพยิ่งมีผลใหญ่ ถ้าห้องดีๆ อคูสติกเยี่ยมๆ เซ็ทอัพมาแบบถูกต้อง แบบนี้ละใส่เส้นสาย อุปกรณ์อะไรเข้าไปรับรองเลยว่าเสียงเปลี่ยนแน่นอน
และอย่าว่าแต่อุปกรณ์เสริมพวกนี้เลย แค่เอาของ ตู้ พรม หรือเฟอร์นิเจอร์อะไรใส่หรือย้ายตำแหน่ง แค่นี้ก็เริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงได้นิดๆแล้ว
ทีนี้มาเข้าเรื่องกันครับ วันนั้นผมกับลุกค้าท่านนี้ ถือโอกาศทดสอบสายทั้งสามเส้น เทียบกับสายเดิมที่เป็นสายแถม สลับไปมา ลองฟังกันสองคน จับสังเกตความเปลี่ยนแปลงกันอยู่ครึ่งวัน โดยทั้งลำโพงและอุปกรณ์ทุกอย่าง ทั้งสาย แอมป์ ลำโพง พ้นเบิร์นหมดแล้ว
โชคดีที่ซิสเต็มผมนั้นถือได้ว่าฟังความเปลี่ยนแปลงออกค่อนข้างง่าย และชัดมากๆ
โดยการทดสอบ เพื่อป้องกันการสับสน และให้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบชัดๆ เราจะใช้สายเสียบกับตัว AVR ที่ทำหน้าที่เป็น Pre เพียงตัวเดียว จะไม่ได้ใช้ สายทั้งสามเส้นเสียบอุปกรณ์ทั้งหมด โดยเริ่มจากฟังสายเดิมที่เป็นสายแถมก่อน และเปลี่ยนสลับเอาสายทั้งสามเส้นมาเสียบแทน และฟังเทียบกันที่หนังเรื่องเดิมและฉากเดิม เวลาเดิม
อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ตามนี้ครับ
------------------------------------------
Power: Emotiva XPA3
Pre: Harmankardon 370
Front: Klipsch RP-280F
Center: Klipsch RC-64 II
Surround: Klipsch RP-250S
Subwoofer: Klipsch R115SW
------------------------------------------
สายไฟทั้งสามที่ลองประกอบด้วย
------------------------------------------
1. The Hulk ราคาประมาณ 2,500 บาท
2. Audyn CopperTran (version แรก) ราคาประมาณ 3,900 บาท
3. Audioquest NRG10 ราคาประมาณ 19,000-20,000 บาท
------------------------------------------
หนังที่ใช้ดูอ้างอิง (จริงๆใช้เพลงน่าจะฟังง่ายกว่านี้ แต่ซิสเต็มเราเน้นดูหนังเลยใช้หนังมาอ้างอิงครับ)
------------------------------------------
1. San Andres
2. Mad Max
3. Man of Steel
------------------------------------------
เริ่มแรกเราลองฟังสายเดิมสายแถมกันก่อนเพื่อซึมซับบรรยากาศและจดจำเสียงที่ได้จากหนังทั้งสามเรื่อง หลังจากนั้นก็ถอดใส่สายแต่ละอัน ผลที่ได้ก็ตามนี้ครับ
1. The Hulk:
นี่เป็นสายเส้นที่เสียงเปลี่ยนเยอะที่สุด สายมันทำมาจากตัวนำอะไรผมก็ไม่ทราบครับ เพราะตัวนี้ไม่ได้ขาย เสียงเปลี่ยนเยอะไปในทางที่ดีขึ้นแบบที่ไม่ต้องจับสังเกตกันเลย บรรยากาศในห้องตอนที่เปิด Mad Max ฉากช่วงท้ายนั้นเสียงดังอึกทึกครึกโครมมาก แต่ในห้องผมกับลูกค้านั่งดูกันเงียบกริ๊บ คือเรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน ไดนามิก เสียงเบสกระแทกกันโครมๆ อิมแพคมหาศาล เบสกระชับขึ้นนิดนึง เสียงแหลมดีขึ้น สดขึ้น เสียงสูงยันต่ำ มันเป็นระบบระเบียบขึ้น การคอนโทรลเบส เก็บตัว ความมัน ความกระแทกดีขึ้น คุณภาพเสียงดีขึ้นแบบไปเรียกแม่บ้านมาฟังก็ฟังออกไม่ได้มโนแน่นอน
สรุปคือแนวเสียง สด จัด พละกำลัง เหมาะกับดูหนัง ซิสเต็มใครเปรี้ยๆ หรือนุ่มนิ่มๆ น่าหามาใช้ หรือใครเสียงจัดอยู่แล้วอยากให้มันมันยิ่งขึ้นก็เหมาะ ที่สำคัญมันถูกมากกกกก แต่ไม่เหมาะกับฟังเพลงครับ เสียงมันจะแจ้ง ชัด จริงจัง เบสขึงตึง หนักไปสำหรับเพลงที่ต้องการความผ่อนคลาย แต่ถ้าใครชอบแนวร๊อค อิเลกโทรนิกนี่จัดไปได้เลย ที่สำคัญที่สุดคุ้มที่สุดครับเพราะราคามันถูก แถมเสียงเปลี่ยนเยอะ ให้พละกำลังเยอะแบบเห็นๆ ใครชอบแบบบ้าพลัง ตัวนี้คุ้มที่สุดแล้ว
เอาเสียบกับอะไรดี: ก็แนะนำเสียบกับ pre, avr, power จะดีครับ หรือจะเสียบกับ Subwoofer ก็น่าจะได้นะ แต่ตอนที่ลองไม่ได้ลองกับซับ
2. Audyn Coppertran:
สายไฟเส้นนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นคุณสมบัติการฟังเพลงในสาย audiophile เป็นหลัก ตัวนำทำมาจาก ทองแดง Multi stranding ความบริสุทธิ์สูง แนวเสียงทางผู้ผลิตเคลมเอาไว้ว่าให้น้ำเสียงที่ราบเรียบ เป็นกลาง โทนัลบาลานซ์ดีเยี่ยม โดดเด่นด้วยความกระชับฉับไวของเบส สามารถแยกแยะน้ำหนักและจังหวะของเบสออกจากกันได้อย่างชัดเจน
หรือพูดง่ายๆคือ มันเป็นสายที่ไม่ได้เน้นบ้าพลัง แต่ให้รายละเอียดสูง ให้เบสที่กระชับ เก็บตัวเร็ว หรือไม่ได้บ้าเบสนั่นเอง
หลังจากเทสตัวนี้ด้วยหนังเรื่องเดิมๆ ผมหันไปถามลูกค้าผมให้แน่ใจว่า "นี่เสียบสายตัวไหนอยู่" ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไรเพราะลูกค้าแจ้งไว้ว่า สายเส้นนี้ลองมาหลายซิสเต็มแล้ว ผลที่ได้คือ เสียงแหลมดีขึ้นมาก รายละเอียดพรั่งพรูระยิบระยับมาเต็มไปหมด แต่เบสเก็บตัวเร็ว ถ้าใช้กับซิสเต็มเสียงบางๆแล้ว เสียงที่ได้จะจัดและแหลมไปนิด แต่พอมาเสียบกับซิสเต็มผมที่เบสเยอะ เบสหนัก และตอนนี้มีปัญหาเรื่องเบสเก็บตัวช้าอยู่นิดหน่อยแล้ว ผลที่ออกมามันเปอร์เฟ็คเลยครับ คือเบสคุมได้ดีขึ้น เก็บตัวเร็วขึ้น ไอ้เสียงเบสที่ลากครางออกมาเก็บตัวเร็วขึ้น ดีขึ้นในระดับที่ไม่มากมายอะไร... แต่น่าพอใจ
และมันบาล้านเบสหนักๆและแหลมกุดๆของ Pre Harmankardon ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Harman ให้ออกมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจมากๆเลยครับ คือเบสกำลังดี กระชับขึ้น ลดลงนิดหน่อย แต่ไม่ได้ลดน้ำหนักหรือความกระแทก พอเบสมันคุมตัวดีขึ้น และแหลมมันดีขึ้น คราวนี้รายละเอียดก็ตามมา
สายเส้นนี้ลอง Man of Steel ฉากที่สู้กันเบสเก็บตัวดีมาก ตุ้บๆ หยุด ตุ้บๆ หยุด ไม่มีครางมากวนให้รำคาญใจ
เส้นนี้ผมติดใจครับเลยลองเปลี่ยนสายเดิมมาลองเทียบทันที ผลที่ได้คือฉากเดิม เบสที่ได้จากสายแถมมันดูฟุ้งๆ และเบสมันจัดระยะช่องไฟ ความกระชับการเก็บตัวมันไม่ดีและไม่เร็วเท่า copperTran แบบฟังออกชัดเจน โดยเฉพาะฉากที่เบสกระแทกหนักๆ พอมันเก็บตัวช้าลงมันก็จะไปกวนฉากหรือเสียงถัดไป ทำให้การเว้นระยะ ช่องไฟมันดูไม่เรียบร้อย และดูเสียงกวนๆตีกัน
คือฟังสายแถมมาโดยตลอดจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอเปลี่ยนมาเทียบฉากเดียวกัน ซิสเต็มเดียวกันแล้วจะเห็นครับ
สรุปสายเส้นนี้เหมาะกับคนที่ต้องการความกระชับ เก็บตัว ไม่บ้าเบสไม่บ้าพลัง เหมาะกับชุดที่เบสหนาๆ เบสช้าๆฟุ้งๆ ต้องการรายละเอียด หรือสำหรับใส่ชุดฟังเพลงครับ หรือซิสเต็มใครที่เบสเกิน เบสเยอะอยากลดความสด และต้องการรายละเอียด ตัวนี้ดีขึ้นแน่นอน แต่ถ้ากลับกันถ้าซิสเต็มเสียงสด แหลม เบสบางอยู่แล้ว จะยิ่งเพิ่มรายละเอียดและความกระชับให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก ก็ต้องอยู่ที่คุณแล้วว่าชอบหรือไม่
เสียบกับอะไรดี: ก็แน่นอนถ้าให้มีผลกับเสียงมากๆก็คงไม่พ้น AVR, Pre, Power ตามลำดับครับ
3. Audioquest NRG10:
และแล้วก็มาถึงสายเส้นนี้ เส้นที่ผมเกรงใจที่สุด ไม่ใช่อะไร สายเส้นนี้มีตัวแทนที่คุณก็รู้ว่าใคร และราคาค่าตัวมันก็ใช่ย่อย
NRG 10 ใช้ตัวนำเป็น Solid Perfect-Surface Copper+ (PSC+)
PSC+ จะเป็นทองแดงที่ดีที่สุดในบรรดาตัวนำที่เป็นทองแดงของ Audioquest
เสียบเส้นนี้ไปดูหนังไปสามเรื่อง แล้วสลับสายอื่นไปอีกรอบ และก็กลับมาสายแถม และค่อยกลับมาฟัง NRG10 ไม่ใช่อะไรครับ ผมจับสังเกตความต่างจากสายแถมไม่ได้เลย อ้าว แล้วตกลงมันดีหรือไม่ดีละ
สิ่งเดียวที่ผมสรุปและพูดกับลูกค้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสายก็คือ ถ้าให้เลือกฟรีหนึ่งเส้น ผมเอาเส้นนี้แหละ
หรือถ้าราคาทั้งสามเส้นมันเท่ากัน ผมจะขอเลือกเส้นนี้
เหตุผลเพราะอะไร คือสายเส้นนี้มันมีความพิเศษอย่างนึงคือ ช่วงแรกที่ผมฟัง ผมแยกความแตกต่างไม่ออกในบุคลิกและแนวเสียงของเส้นนี้ คือผมไม่แน่ใจว่าบุคลิกเสียงมันออกมาทางสด ดุดัน หรือกระชับ หรือหวาน หรือรายละเอียดกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เปิด San Andres ฉากเรือขนส่งคว่ำนั้นดูหนังแล้วมันสนุกกว่าเดิม แต่ถ้าให้บอกว่ามันสนุกตรงไหน เบสดีเหรอ ก็ไม่ใช่ เก็บตัวดีขึ้นเหรอ ก็ไม่ใช่ ผมฟังอยู่นานสรุปว่าสายเส้นนี้มันให้ความน่าฟังที่ดีขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ว่ามันดีขึ้นยังไง คือกล่าวโดยสรุปคือคุณสมบัติของเส้นนี้เป็นสายไฟที่เน้นให้ยกระดับทุกย่านเสียงให้ดีขึ้นเท่าๆกัน และพอๆกันโดนไม่มีย่านใดย่านหนึ่งล้ำและนำหน้า เหมือนอย่าง The Hulk ที่เน้นพละกำลังและเบส ส่วน CopperTran ที่เน้นความกระชับและรายละเอียด
แต่ NRG10 ให้ทุกๆย่านโดยบวกมันหมดทุกตัว
บุคลิกสายเส้นนี้จริงๆมันคือไม่มีบุคลิก เป็นกลางและนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจับสังเกตยาก นั่นเป็นเพราะเสียงและบุคลิกโดยรวมมันก็ยังเป็นบุคลิกเสียงของเดิมในซิสเต็มที่คุณมีนั่นหละครับ เพียงแต่มันยกระดับให้ดีไปทุกๆย่าน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเสียงเปลี่ยน เพราะทุกย่านมันยังสมดุลในแนวเสียงเดิม เพียงแต่ดีขึ้น ดูหนังสนุกขึ้น ฟังเพลงเพราะขึ้น ช่องไฟดีขึ้น ความสงัดดีขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะแนวเสียงมันไม่ได้เปลี่ยน พอแนวเสียงไม่เปลี่ยน เราฟังเพลงหรือดูหนังเราจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง แต่มันดูหนังสนุกขึ้น ฟังเพลงดีขึ้นแน่นอนครับ
ดังนั้นสายเส้นนี้จึงเหมาะกับคนที่ระบบโดยรวมดีอยู่แล้ว เสียงดีอยู่แล้ว หรือใช้ซิสเต็มๆใหญ่ๆ เสียงดีๆหน่อย มันจะช่วยยกระดับเสียงให้ดีขึ้นได้มากครับ
แต่กลับกันถ้าคุณมีปัญหาเบสบาง หรือเบสหนัก หรือขาดย่านใดย่านหนึ่ง สายเส้นนี้ไม่ใช่สายที่จะช่วยแมทชิ่งหรือแก้ปัญหาให้คุณได้ครับ เพราะแนวเสียงที่ออกมามันจะยังคงเป็นแนวเสียงเดิมตามที่ซิสเต็มคุณมี เพียงแต่ดีขึ้นเท่านั้นเอง เช่นซิสเต็มผมที่มีปัญหาเรื่องเบสเก็บตัวช้านิดหน่อย แนวเสียงเดิมคือชัด สด เบสหนัก ใช้สายเส้นนี้ดู San Andres, Madmax ปัญหาเบสเก็บตัวช้า มันก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้ไปโฟกัสที่ปัญหานั้นแล้วเพราะเสียงโดยรวมมันสด ชัด เบสหนักขึ้นกว่าเดิมทั้งระบบ ผลคือดูหนังมันขึ้น สนุกขึ้น เสียงจัด สด ชัดได้อารมณ์โรงหนังยิ่งขึ้นครับ
สายเส้นนี้ราคาสูง ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่ใช้ซิสเต็มที่ดีๆหน่อย และลงตัวแล้ว แนวเสียงของมันคือเป็นกลางและไม่มีแนวเสียง ขึ้นอยู่กับซิสเต็มคุณ ถ้าของเดิมซิสเต็มคุณหวาน เพิ่มสายเส้นนี้ไปก็จะยิ่งหวาน ถ้าของเดิมสด เพิ่มสาย NRG10 เข้าไปก็จะยิ่งสด ชัดดูหนังสนุกขึ้นไปอีกครับ
และนี้คือคุณสมบัติของสายที่ดีอีกหนึ่งตัว คือเป็นกลางและรักษาบุคลิกแนวเสียงของซิสเต็มของเดิมคุณไว้ได้เป็นอย่างดี
เสียบกับอะไรดี: ก็แน่นอนถ้าให้มีผลกับเสียงมากๆก็คงไม่พ้น AVR, Pre, Power ตามลำดับครับ
สรุป การจะเล่นสายไฟ สิ่งแรกที่ต้องดูคือซิสเต็มเดิมแนวเสียงเป็นยังไง และต้องการอะไรเพิ่ม การแมทชิ่งสำคัญที่สุดครับ บางทีของเดิมเกินหรือขาด เราใช้สายมาแก้อาการนั้นอาจจะยิ่งผิดทางไปกันใหญ่ หนทางเดินที่ปลอดภัยและประหยัดที่สุดคือ ทำซิสเต็มหลักของคุณให้ดีเสียก่อน ทั้งลำโพง แอมป์ เซ็ทอัพ อคูสติกห้อง ถ้าของเดิมดีแล้ว ทีนี้จะใช้สายตัวไหนมาเพิ่มหรือลด หรือยกระดับเสียงทั้งระบบ ก็ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเอาสายมาแก้อาการทั้งซิสเต็มแน่นอนครับ (เหมือนรถเครื่องไม่แรง เกียร์ไม่ดี แต่เอาเงินมาทำท่อเพื่อหวังผลให้รถมันแรงขึ้นก็เปลืองเงินไปเปล่าๆปรี้ๆ)
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |