นานมาแล้ว ผมเคยสนทนากับชายคนนึงเรื่อง "เครื่องเสียง"
หัวข้อสนทนาก็คือ ทำไมคนเราถึงต้องซื้อเครื่องเสียงแพงๆๆ ดีๆ ราคาทั้งชุดเป็นแสน-สองแสน
ได้แชร์มุมมองกันว่า เอาเงินสองแสนนี้ไปดูหนังในโรงดีกว่า สมมติดูครั้งนึงสองคนใช้เงิน 300 บวกป๊อปคอร์น น้ำอัดลม ค่ารถ ค่าเดินทางตีซะ 500
เราสามารถเอาเงิน 500 บาทนี้ไปดูหนังได้ตั้ง 400 ครั้ง
สมมติดูอาทิตย์ละครั้ง ก็จะดูได้ตั้ง 8 ปีแนะ
ทำไมต้องมาจ่ายซื้อเครื่องเสียงแพงๆละ
นั่นสิ!!!!........ เพื่อนผมคนนี้ให้แง่คิดในมุมมองเศรษฐศาสตร์ที่ผมและคนเล่นเครื่องเสียงหลายๆคนไม่เคยคิดถึงเลย
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปหรอกครับ
แต่หลังจากนั้นผมก็กลับมานั่งคิดว่า สิ่งที่ชายคนนี้บอกมามันอาจจะเป็นความจริง
แต่มันคือความจริงในแง่ของตัวเลข ในมุมมองของปริมาณ ที่ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก แบนราบ แต่ยังขาดการเปรียบเทียบในเชิงคุณภาพ และความรู้สึก เช่น
- โรงหนัง คุณอยากดูวันไหน ตอนไหนคุณดูได้ทุกเวลาหรือเปล่า
- โรงหนัง คุณจะเดินมา ตอนตี 2 ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ถือไวน์ ถือขนมในตู้เย็น เอามือถือ เอางานเข้าไปดูเหมือนในบ้านได้หรือเปล่า
- โรงหนัง คุณเดินเข้าห้องแล้วดูได้เลย หรือต้องขับรถ ไปแย่งที่จอดรถ ต้องไปเข้าคิวรอซื้อตั๋วกันแน่
- โรงหนัง คุณอยากดูคนเดียว อยากดูกับภรรยา ไม่อยากให้ใครมาเบียด อยากดูมันคนเดียวทั้งโรงได้หรือเปล่า (อาจจะได้ ถ้าเหมาโรง)
- โรงหนัง คุณอยากจะกดหยุด แล้วไปรับโทรศัพท์ ไปหยิบขนม ไปเข้าห้องน้ำ หรือออกไปรับแขกหน้าบ้าน ได้มั๊ย
- โรงหนัง คุณเลือกหนังที่คุณชอบ หนังเก่า เอามาดูซ้ำได้หรือเปล่า
- โรงหนัง คุณสะสมหนัง แผ่นหรือไฟล์เรื่องที่คุณชอบเอาเก็บมาไว้ดูซ้ำๆได้มั๊ย
แล้วสุดท้ายถามว่า ผ่านไป 8 ปี ระหว่างคนที่เอาเงินไปดูหนังในโรง กับคนที่ซื้อเครื่องเสียงไว้ที่บ้าน ใครได้อะไรมากกว่ากัน คนเล่นเครื่องเสียงได้ชุดเครื่องเสียงไว้กับบ้าน ดูได้ต่อ คนดูหนังโรงก็ได้ประสบการณ์แต่ไม่ได้ของ
คำถามนี้มันก็เหมือนกับถามว่า ในเมื่อรถคันละ 5 แสนมันพาคุณไปถึงจุดหมายได้ แล้วทำไมคนเค้าซื้อรถคันละหลายล้านละ ในเมื่อฟังก์ชั่นมันพาไปสู่จุดหมายได้เหมือนกัน......
คำตอบถ้าตอบในแง่เศรษฐศาสตร์คือ แค่จุด a ไปจุด b ไม่เห็นจะต้องจ่ายแพง
แต่คนที่เล่นรถก็จะตอบว่า คุณภาพตรงที่คุณเดินทางจากจุด a ไปจุด b นะมันต่างนะครับ อัตราเร่ง ฟีลลิ่ง เวลาเหยียบคันเร่งเอยอะไรเอย ช่วงล่างเอย.....
คนที่ไม่ได้เล่นรถก็จะตอบว่า โอ้ย ถนนกทม ติดจะตายจะเอาเร็ว เร่งอะไรนักหนา
สุดท้าย การเปรียบเทียบมากมายก็ไม่มีผลอะไรเพียงเพราะแค่คำว่า "ปัจเจก" ครับ คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน
เราไปคุยกับคนที่ชอบอะไรมากๆ เค้าก็พร้อมจะจ่ายเพื่อสิ่งนั้น
แต่สิ่งที่เราชอบเค้าอาจจะมองว่าฟุ่มเฟือยก็ได้ ดังนั้นอย่าดูถูกความชอบของใครครับ เพราะไม่แน่เรื่องที่เรามองว่าไร้สาระ แต่มันอาจเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ เติมเต็มชีวิตเค้าก็ได้นะ
ผมเคยเห็นผู้ชายที่สะสมของเล่นเก่า ตุ๊กตาตุ๊กตุ่นสะสมเยอะจนเริ่มนานวันก็เปิดเป็นพิพิธพัณย์ย่อมๆได้ก็มี ผมมองว่าใครชอบอะไร คลั่งไคล้อะไร แล้วทุ่มเท ให้เวลาจริงจังกับมัน มีความสุขไปกับมันนั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมทั้งสิ้นครับ
เพราะคนเราเกิดมามีเวลาแค่สามวัน เมื่อวานใช้ไปแล้ว วันนี้ และวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะหมดลงวันไหน จากเวลาเฉลี่ย 21,900 วันที่มี วันนี้ผมและหลายๆคนอาจจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร และเจียดเวลา เงิน สิ่งที่มีมาใช้มัน หาความสุขให้ชีวิต ผมว่ามันคุ้มทั้งนั้นตราบใดที่เราไม่ทำร้ายใคร ไม่ดูถูกใคร และไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน
ผมรักเครื่องเสียง ชอบดูหนัง ฟังเพลง ชอบงานศิลปะ งานออกแบบ
แต่ไม่ว่าคุณจะรักเครื่องเสียง รักรถยนต์ มอเตอร์ไซต์ ถ่ายรูป ท่องเที่ยว แก๊กเจ็ท ของสะสม ของเก่า กีฬา ศิลปะ ดนตรี อะไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าคุณทำอะไร หรือชอบอะไร แต่สำคัญที่ว่าคุณทำมันแล้ว มันมีความสุขหรือเปล่า? ไม่มีใครผิดหรือถูกทั้งนั้นครับ......
แล้วความสุข, งานอดิเรกของคุณละครับ คืออะไร เหมือนของผมหรือเปล่า