ซับวูฟเฟอร์ "สองตัว" ค่านิยมของความฟุ่มเฟือยในวงการเครื่องเสียงจริงหรือ?
เป็นที่ยอมรับกันนะครับว่าในต่างประเทศนั้น การใช้ Subwoofer สองตัวเป็นที่นิยมกันพอสมควร แต่สำหรับในบ้านเรานั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่ดูแปลก และนิยมกันในวงแคบ บางคนก็คิดว่ามันเกินความจำเป็น
มันเป็นค่านิยมหรือเปล่า ทำไมต้องใช้สองตัว เป็นเรื่องการตลาดจะขายของให้ได้เยอะๆใช่มั๊ย หรือบางคนมีประสบการณ์ไม่ดีในการใช้ซับสองตัวก็จะมองว่า มีตัวเดียวก็พอแล้ว มีสองตัวเดี๋ยวก็อื้ออึง เสียงจะแย่ไปกันใหญ่
ใช้สองตัว เปลืองไปมั๊ย และที่สำคัญจะขอภรรยายังไงให้อนุมัติงบซื้อซับตัวที่สองโดยไม่ให้โดนด่า
---------------------------------------------------------------------------------------
ความรู้อ้างอิงจากบทความจาก
1. Velodyn: http://velodyne.com/tech/the-benefits-of-using-multiple-subs/ - by Gene DellaSala
2. Audioholics: http://www.audioholics.com/subwoofer-setup/multiple-subwoofer-setup-calibration-1/multiple-subwoofer-setup-listening-and-adjusting
Credit รูปบางส่วนจากห้อง: คุณหมี, คุณช้าง, อ.พิภพ, คุณอุเทน
---------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้ถ้าศึกษาดีๆมันมีคำตอบของมันครับ และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่มในหมู่นักเล่นพอสมควร เรื่องคือเราเอาซับสองตัวมาหลายคนมักคิดว่ามันต้องดังเพิ่มขึ้น หรือดังสองเท่า เหมือนเอาน้ำสองขวดมาเทรวมในขวดหรือกะละมังเดียวกัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ครับ คำตอบก็คือคลื่นความถี่ต่ำนั้นจะมีลักษณะที่ยาวกว่าคลื่นเสียงในย่านอื่นๆ (Deep Bass มีความยาวคลื่นมากกว่า 10 เมตร) การทำงานของเบสจะทำงานร่วมกับห้องเสมอ
คุณภาพเบสจะดีหรือไม่มีปัจจัยสองอย่างคือ ตัวซับวูฟเฟอร์ และห้อง (สภาพห้อง อคูสติก จุดวางซับและจุดนั่งฟัง) คลื่นความถี่ต่ำจะสะท้อนและและตกกระทบไปตามจุดต่างๆทั่วห้องทั้งผนัง พิ้นห้อง เพดาน ฝ้า ข้าวของที่วางในห้องและสะท้อนไปมา
รวมถึงจุดที่เรานั่งฟังก็จะได้รับคลื่นความถี่ต่ำที่สะท้อนมาจากห้องด้วยคลื่นความถี่ต่างๆที่ไม่เท่ากันครับ ซึ่งโอกาสที่จุดนั่งฟังจะเกิดการบวม เบลอ หรือคลื่นความถี่ต่ำหักล้างกัน (cancellation points)
หรือ "nulls" หรืออาการเบสหาย ไม่ได้รู้สึกได้ยินเสียงเบส แรงกระแทก ก็เกิดขึ้นได้เนื่องจากการใช้ซับตัวเดียวจะมีมุม มีจุดที่เกิดความถี่ต่ำที่เป็นหลุ่ม ไม่สมบูรณ์ในจุดนั่งฟัง หรือในห้องได้มากกว่าการใช้ซับสองตัว
เช่น คลื่นความถี่ในช่วง 20-30 Hz เราอาจจะได้รับในจุดที่นั่งฟังไปเต็มๆ แต่ช่วงความถี่ตั้งแต่ 30-60 Hz อาจจะหายไปแต่ไปตกที่จุดอื่นของห้องที่ไม่ใช่จุดนั่งฟังแทน
ตัวอย่างกราฟความถี่ต่ำที่มีปัญหาเป็นหลุม ไม่สม่ำเสมอ (ย่าน 30-40 Hz)
ซึ่งคลื่นความถี่แบบนี้จะสามารถวัดออกมาโดยใช้ไมค์และ Software ออกมาเป็นกราฟที่แสดงเป็นคลื่นความถี่ต่ำ ถ้าราบเรียบในทุกๆย่านความถี่ ก็อนุมานได้ว่าห้องนั้น เบสและจุดนั่งฟังเบสดีแน่นอน แต่ถ้าเบสช่วงกลางๆหายไป ได้แต่ช่วงต่ำๆ
ก็มักจะมีปัญหาบ่นกันว่าซับไม่หนักแน่นเลย เสียงไม่กระแทก เบสไม่ค่อยรู้สึก หรือบางห้องที่กราฟโด่งในช่วงกลางๆตั้งแต่ 40-60 Hz แต่ช่วงอื่นเป็นหลุม ก็จะเสพย์ติดว่าห้องตัวเองนั้นเบสดีแล้ว หนัก กระแทกตั๊บๆๆ
แต่แท้จริงแล้วเบสที่ได้รับนั้นแท้จริงไม่ครบถ้วนและขาดหายไปในช่วงความถี่ต่ำๆ ทำให้ขาดรายละเอียดของเสียงเบสที่ควรจะรับรู้และบันทึกมาจากในหนังนั้นไม่สามารถแสดงออกมาในชุดของเรานั่นเอง
ซึ่งการใช้ซับเพียงตัวเดียวนั้นวิธีแก้ก็คือต้องเลื่อนหาตำแหน่งเบสและจุดวางให้คลื่นความถี่ต่ำในจุดที่นั่งฟังดีที่สุด ซึ่งระยะพิสัยทำการของซับเอง สเปกของตัวซับ ข้อจำกัดของห้อง ตำแหน่งที่วางต่างๆ อคูสติกของห้อง ล้วนมีผลต่อเสียงเบสทั้งสิ้น
ดังนั้นซับตัวเดียวโอกาสที่จะเซ็ทอัพและหาตำแหน่งที่ดีที่สุดที่กราฟความถี่ต่ำจะราบเรียบนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ซึ่งการเซ็ทอัพเสียงความถี่ต่ำโดยใช้หูฟังอย่างเดียวนั้นโอกาศที่จะเกิดความผิดเพี้ยนนั้นเป็นไปได้สูงมาก จึงต้องใช้ผู้ชำนาญการและเครื่องมือไมค์ ซอฟแวร์ที่ถูกต้อง
ดังนั้นเลยจึงเกิดคำแนะนำที่ว่าแล้วถ้าใช้ซับสองตัวละจะช่วยเรื่องอะไร คำตอบก็คือ ซับสองตัวจะเพิ่มพิสัยการทำการของซับวูฟเฟอร์ให้กว้างไกล และลดจุดอับของกราฟความถี่ต่ำในห้อง จุดที่กราฟเป็นหลุม เพิ่มจุดนั่งฟังที่สมบูรณ์ กราฟราบเรียบให้เพิ่มตำแหน่งมากขึ้น เซ็ทง่ายขึ้น
มีโอกาศที่จะได้เสียงเบสที่ครบทุกย่าน เรียบ ไม่ตกหล่น ได้รายละเอียดดีกว่าการใช้ซับเพียงตัวเดียวครับ
และเมื่อเราเซ็ทจนได้เสียงเบส ได้กราฟความถี่ต่ำที่จุดนั่งฟังที่ดี เรียบแล้ว ก็ย่อมการันตีว่าเสียงเบสในห้องนั้นดีแน่นอน เพราะในจุดฟังจะได้รับเสียงความถี่ต่ำมาครบทุกย่านอย่างที่มันควรจะเป็น
ส่วนการเร่ง volume ของตัวซับวูฟเฟอร์เวลาใช้สองตัวก็มักจะลดลงกว่าการใช้ตัวเดียวด้วย เพราะเราไม่ได้เน้นเอาดังไปกว่าการใช้ตัวเดียว แต่เราเน้นให้ความถี่ต่ำครอบคลุมห้อง ดังนั้นซับวูฟเฟอร์สองตัวก็มักจะทำงานน้อยกว่า ร้อนน้อยกว่า
และมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวกว่าในทางปฏิบัติด้วยเช่นกันครับ
ตัวอย่างกราฟความถี่ต่ำที่มีราบเรียบและมีคุณภาพดี
และด้วยข้อดีเช่นนี้ก็เป็นเหตุผลที่อธิบายว่าการใช้ซับสองตัวไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็น เพราะเราไม่ได้เอาความดังของซับ เราไม่ได้เอาจำนวน ไม่ได้ต้องการเสียงความถี่ต่ำปริมาณมากๆมาเพื่อกลบรายละเอียดย่านอื่นๆ
แต่กลับกันเราต้องการเพิ่มคุณภาพของความถี่ต่ำที่ดีให้มันส่งผ่านลำโพงซับวูฟเฟอร์ให้มาถึงจุดนั่งฟัง หรือหูเราได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพครับ
ข้อดีของการใช้ Multiple sub (ซับหลายตัว) หรือ Dual Subwoofer (ซับสองตัว) นั้นมีดังนี้
1. ลดความเพี้ยน (Distortion) และเพิ่ม Headroom ของความถี่ต่ำในห้อง (เพิ่มขีดจำกัดของเสียงเบสให้สามารถเร่งได้ดังมากขึ้นก่อนจะเกิดการเพี้ยนหรือ clip ของเสียง) เพราะสามารถลด volume ลงเพื่อให้ได้เสียงดังเท่าเดิมจากที่ใช้ซับตัวเดียว ความเพี้ยนต่างๆลดลง สามารถให้เสียงเบสคลุมห้องได้ดีกว่าเดิม ให้บรรยากาศในการดูภาพยนตร์ดีกว่า โดยเร่งหรือเค้นซับน้อยลง
2. เพิ่ม Sweet spot หรือตำแหน่งนั่งฟังที่ดีที่สุดให้กว้างมากขึ้น สามารถมีจุดที่นั่งฟังแล้วได้เสียงเบสที่ราบเรียบดีขึ้น มากขึ้น กว้างขึ้น และกลับกันสามารถลดบริเวณหรือจุดที่เสียงเบสแย่ เบสหาย หรือเบสบวมให้น้อยลง
3. ช่วยยืดอายุการใช้งานซับวูฟเฟอร์ได้อีกนิด เพราะการใช้ซับวูฟเฟอร์ตัวเดียวแล้วต้องเร่ง เค้นเสียงเพื่อให้ได้เสียงที่ครอบคลุมทั่วห้องนั้นย่อมส่งผลให้ซับทำงานหนักขึ้น ร้อนขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่ออายุการใข้งานในระยะยาวมากกว่าใช้สองตัวแต่เร่งในระดับที่พอดีและได้เสียงที่ครอบคลุมทั่งห้อง
สรุปคือ การติดตั้งซับวูฟเฟอร์หลายตัว (Multiple Subwoofer) ให้ประสิทธิภาพดีกว่าตัวเดียว (รุ่นและ model ที่ประสิทธภาพพอๆกัน) ในห้องดูหนังจะช่วยทำให้เสียงเบสมีคุณภาพที่ดีขึ้น เบสแน่นขึ้น
และกระจายบริเวณครอบคลุมห้องได้ดีขึ้น ลดบริเวณที่จุดบอดของเสียงเบสให้น้อยลง (filling in the null spots where bass cancellations occur)
ในงานวิจัยต่างๆของบริษัทผู้ผลิตเครื่องเสียง หรือองค์กรณ์ต่างๆแนะนำว่าจำนวนที่ดีที่สุดในการใช้ซับวูฟเฟอร์คือ 4 ตัว (ให้ประสิทธิภาพดีกว่าใช้ตัวเดียวเยอะมาก)
แต่ในแง่ของความเป็นจริง ทั้งในเรื่องสถานที่และงบประมาณ การใช้ซับถึง 4 ตัวดูจะไกลและเป็นไปได้ยากสำหรับใครที่ห้องไม่ได้
มีพื้นที่ใหญ่พอจะหาที่วางซับได้ถึงขนาดนั้น ซึ่งในกรณีของบ้านทั่วๆไปนั้นการใช้ซับสองตัวดูจะเป็นไปได้ในชีวิตจริงมากกว่าทั้งเรื่องเงินและพื้นที่จัดวางครับ
แต่ทีนี้ในโลกความจริงนั้นมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น เรามักจะมีคำถามว่า แล้วถ้าจะเลือกระหว่าง ซับวูฟเฟอร์ตัวใหญ่ดีๆไปเลยตัวเดียว กับซับวูฟเฟอร์ตัวเล็กลงหน่อย คุณภาพลดลงนิดนึงแต่ใช้สองตัว แบบไหนจะดีกว่ากันละ สองตัวจะยังดีกว่าอยู่รึเปล่า
ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามภรรยาที่บ้าน ก็มักจะได้คำตอบมาค่อนข้างจะเป็นเสียงเดียวกันเกือบจะทุกบ้านว่า "ใช้ตัวเดียว" แต่ถ้ามามองกันจริงๆนั้นต้องตอบว่า จะตัวเดียวหรือสองตัว มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าแบบไหนดีกว่า
เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างที่มากำหนดเช่น ประสิทธิภาพของซับวูฟเฟอร์แต่ละตัว (บางทีเราเอาเงินเป็นตัวตั้ง บางทีเงินก้อนนึงอาจจะซื้อซับดีๆได้ตัวเดียว แต่ซื้อซับคุณภาพกลางๆได้หลายตัว) รวมไปถึงความเข้ากัน ลักษณะห้อง พื้นที่ใช้สอย ความสะดวกสบาย ความชอบ และการใช้งานของสมาชิกในบ้าน
คำตอบแบบสั้นๆ ง่ายๆคือ ใช่ครับ ซับสองตัวดีกว่าตัวเดียวในเกือบทุกกรณี ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่า ซับทั้งหมดต้องคุณภาพพอๆกัน ยี่ห้อหรือรุ่นเดียวกัน ไม่ใช้ซับสองตัวคุณภาพด้อยกว่าซับตัวเดียวเยอะ แบบนี้ก็มีโอกาศที่ซับสองตัวแพ้ตัวเดียวได้เหมือนกัน
ซึ่งถ้าจับซับต่างราคาต่างคุณภาพ ต่างจำนวนมาเปรียบเทียบกันนั้น โอกาศที่จะเกิดความเข้าใจผิด ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้สูง คงยากที่จะตอบได้ว่าตัวเดียวดีๆ หรือสองตัวคุณภาพด้อยกว่านั้นแบบไหนดีกว่า คำตอบที่แน่นอนคือต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของซับที่ใช้ ห้อง และปัจจัยอีกหลายๆอย่าง และการจะตอบได้แน่นอนถูกต้อง 100% นั้นก็ต้องลองดูครับ แต่ถ้ากลับกันซับรุ่นเดียวกัน ขนาดเท่ากัน ใช้สองตัวย่อมดีกว่าตัวเดียวแน่นอน 100% ครับ
การจะตัดสินใจว่าเราจะเลือกใช้ซับวูฟเฟอร์กี่ตัวดี นอกจากเรื่องประสิทธิภาพแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ การใช้งาน เนื้อที่ใช้สอยอีกด้วย
อย่างตัวอย่างที่เราเลือกมานั้นห้องเป็นห้องใช้งานส่วนกลางร่วมกันในครอบครัว เนื้อที่ใช้สอยก็ขนาดกลางๆเหมือนบ้านทั่วๆไปที่พบเห็นได้เป็นส่วนใหญ่ เพดานสูง 3 เมตร และเป็นห้องที่มีส่วนเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนอื่นแบบเปิดโล่งเหมือนห้องนั่งเล่นธรรมดาๆ
ซึ่งห้องแบบนี้ ส่วนใหญ่เสียงเบสจะมีปัญหาและไม่ดีเท่ากับห้องที่มีพื้นที่ปิด ตรงนี้เป็นเรื่องท้าทายพอสมควร แต่ก็เป็นการจำลองสภาพของห้องฟังและชีวิตของบ้านคนส่วนใหญ่ทั่วๆไปจริงๆ
เราเลยยกบทความงานทดลองของฝรั่งมาให้อ่านกันครับ
โดยเราจะทดลองใช้ซับวูฟเฟอร์ตัวเดียวที่เป็นรุ่นสูงกว่าดีกว่า เทียบกับซับวูฟเฟอร์สองตัวในรุ่นต่ำกว่า โดยสเปกของซับวูฟเฟอร์ที่ใช้นั้นมีสเปกและรายละเอียดดังนี้ครับ
Axiom EP500 x 1 (ดอก 12 นิ้ว) ตัว vs Axiom EP400s x 2 ตัว (ดอก 8 นิ้ว)
Spec Axiom EP400:
Retail Price: $1100
Enclosure: Acoustic Suspension
Max Amp Power: 500 Watts
Cross-over Adjust 40 - 150 Hz
Phase 0 & 180
Woofer Size 8"
Anechoic Resp. +/- 1.5dB
Room Resp. + 3dB/- 9dB 17 - 150 Hz
Max SPL Anechoic 106 dB
Max SPL In Room 116 dB
Dimensions HWD inches: 13.75" x 10.5" x 16.8"
Weight lbs each: 48.55 lbs
Specs Axiom EP500
Retail Price: $1230
Enclosure: Ported
Max Amp Power: 500 Watts
Cross-over Adjust 40 - 150
Phase 0 & 180
Woofer Size 12"
Anechoic Resp. +/- 1.5dB 18 - 100 Hz
Room Resp. + 3dB/- 9dB 17 - 100 Hz
Max SPL Anechoic 109 dB
Max SPL In Room 120 dB
Dimensions HWD inches: 19.5" x 15" x 19.5"
Weight lbs each: 72.6 lbs
โดยใช้ซับ Axiom EP500 วางด้านซ้ายมือด้านหน้าห้อง โดยวางไว้ข้างล่างเก้าอี้ยาว และจุดนี้คือจุดที่ดีที่สุดในการใช้ซับแบบตัวเดียวทั้งประสิทธิภาพของเสียงเบส
อีกทั้งยังดูดี สะอาดตาเพราะซับถูกซ่อนอยู่ข้างใต้เก้าอี้นอน ทำให้ดูสวยและไม่เกะกะ และด้วยจุดวางที่เหมาะสมทำให้ผลลัพธ์ที่ดีน่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของความถี่ต่ำที่มาปกคลุมห้อง และแรงปะทะที่สัมผัสมาถึงจุดนั่งฟังได้ดี
แต่ถ้าเราลองขยับไปนั่งด้านซ้ายข้างเก้าอี้ ก็จะพบว่าณ ตำแหน่งนี้ให้แรงปะทะ และให้เสียงเบสได้ราบลื่นดีกว่า แต่จุดนี้เรานั่งไม่ได้
EP400S ให้ความดังสูงสุด 116 dB ใช้สองตัวความดังเพิ่มเป็น 119 dB ซึ่งใกล้เคียงกับความดังสูงสุด (Msx SPL) ของ EP500 ที่เคลมไว้ที่ 120 dB ซึ่งผู้ผลิตไม่ได้ระบุ bandwidth vx msx spl ไว้
ซึ่งตัวเลข max spl หรือความดังสูงสุดก็ไม่ได้บอกอะไร เอาจริงๆต้องดูกันที่คุณภาพของเบสมากกว่าความดัง
หลังจากนั้นก็ทำการ setup ระบบและจุดวางซับวูฟเฟอร์ โดยใช้เครื่องมือ LMS หรือ Sencore SP495C Audio Analyzer เพื่อวัดและหาจุดวางซับ หาค่า crossover, phase และ distance
จนกระทั่งวัดได้ค่ากราฟที่ราบเรียบดีที่สุด (the most linear response) เมื่อวัดที่จุดนั่งฟังสองจุดในห้อง (เผื่อคนนั่งฟังหรือมีแขกมาดูด้วย) ส่วนตำแหน่งอื่นๆในห้องก็จะมีจุดด้อยลดหลั่นกันไปครับ
หลังจากเซ็ทอัพและเซ็ทค่าความดังเทียบกันทั้ง EP500 และ EP400 สองตัวได้พอๆกันแล้ว ก็เริ่มทำการทดลองและวัดค่าที่ได้ในห้อง
ซึ่งการทดลองทั้งสองจุดนั่งฟังต้องการเปรียบเทียบคลื่นของความถี่ต่ำแบบตรงๆจึงไม่ได้ทำการปรับหรือจูน EQ ของซับวูฟเฟอร์ทั้งคู่เลย
จุดนั่งฟังแรก
ซึ่งค่าที่ได้นั้น EP400 สองตัวได้ค่าความถี่ต่ำที่เรียบและสมูธกว่าในภาพรวม
จุดนั่งฟังที่สอง
ค่ากราฟที่ได้ตัว EP500 ตัวเดียวมีค่าบางความดี่โด่งขึ้นมา ซึ่งทำให้จุดนี้ตัว EP500 มีปัญหาเบสบวม ซึ่งทางแก้คือเอา EP400 อีกหนึ่งตัวเพิ่มเข้าไปและเซ็ทอัพใหม่ กราฟที่ได้จึงจะออกมาราบเรียบขึ้น
เปรียบเทียบการฟังเพลงจาก EP500 ตัวเดียว vs. EP400s สองตัว
ลองเปิดเพลงฟังโดยใช้ลำโพงคู่หน้าและซับวูฟเฟอร์ซึ่งใช้เพลงแนวปาร์ตี้ (Electronic) ลองด้วย EP500 ตัวเดียวได้ผลคือได้เสียงเบสที่กำลังดี กลางๆ และรู้สึกถึงเสียงเบสที่ระบุจุดและที่ตั้งของซับวูฟเฟอร์ได้ง่าย (บริเวณลำโพงคู่หน้า)
ส่วนเมื่อเทียบกับ EP400 สองตัว ความแตกต่างคือรู้สึกว่าเสียงเบสไม่ได้ออกมาจากลำโพง แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเบสนั้นคลุมไปทั่งห้อง และระบุจุดวางซับวูฟเฟอร์ไม่ได้ และนอกนั้นทำให้เสียงเบสที่ได้แน่นขึ้นกว่า EP500 ตัวเดียว
เบสต้นมีแรงกระแทกมากกว่าเดิมนิดหน่อย (Punch) ซึ่งในจุดนี้การใช้ Dual Subwoofer ทำได้ดีกว่าชัดเจน
เปรียบเทียบการดูหนังจาก EP500 ตัวเดียว vs. EP400s สองตัว
เราลองเปิด Star Wars Episode III "Revenge of the Sith" ซึ่งผลการทดลองฟังก็ออกมาในทางเดียวกับการฟังเพลงนั่นคือ ซับสองตัวให้ผลที่ดีกว่านิดหน่อย
เช่นฉากยานระเบิดนั้น EP400 สองตัวตอบสนองได้ดีกว่า แน่นกว่า ส่วน EP500 นั้นรู้สึกได้ถึงแรงตกกระทบของเสียงเบสที่แรงและดังในจุดอื่นนอกเหนือจากจุดนั่งฟังด้วย
ซึ่ง EP500 ไม่ได้ฟังแย่กว่าเท่าไร่ ในด้านกำลัง ความหนัก EP500 ยังทำได้ดี แต่ในบางความถี่ต่ำ รายละเอียดของ EP400 สองตัวจะตอบสนองได้ดีกว่า รู้สึกกระแทกและมีรายละเอียดมากกว่า
ใน๘ณะที่ EP500 ตัวเดียวได้รับรู้ถึงความหนัก แรงสั่นสะเทือน แต่ขาดรายละเอียดในบางความถี่ในจุดนั่งฟังครับ
และอีกจุดนึงที่ EP400 สองตัวได้เปรียบคือ เมื่อเรานั่งดูและเร่งเสียงที่ความดังมากๆนั้น EP400 สองตัวสามารถตอบสนองเสียงเบสได้ดี แน่น และมีความเพี้ยน พล่าเบลอ รวมถึงทำงานหนักน้อยกว่า EP500 ตัวเดียว