Klipsch OJAS kO-R1
1 เดือนที่ผ่านมา
Klipsch / OJAS kO-R1
ในบรรดาลำโพงที่ถูกผลิตออกมาเพื่อไว้ฟังเพลงของค่าย klipsch นั้น นอกเหนือไปจาก heritage seires ก็ยังมีอีกหนึ่งตัวที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็น limited edition ที่เคยถูกนำไปออกงานเมื่อต้นปีมาครั้งนึง แต่ผมไม่มีโอกาสได้ไปฟัง นั่นคือ Klipsch / OJAS kO-R1 รุ่นที่ผลิตและออกแบบร่วมกันกับสตูดิโอนักออกแบบลำโพง DIY ชื่อดังอย่าง OJAS
เมื่อวานเพิ่งได้มีโอกาสได้ฟังตัวเป็นๆ ส่วนตัวมีความอยากได้ใคร่รู้มากๆๆว่า ราคาขนาดนี้ 399,900 บาท มันจะเสียงได้ระดับไหนเมื่อเทียบกับ heritage series
เพราะมีเสียงลือ เสียงเล่ามาว่า ตัวตู้เล็กๆแค่นี้ มันให้เสียงดีกว่า la scala เชียวนะ และที่สำคัญตัวนี้มัน limited edition ที่หายากมาก ทั่วโลกมีเจ้าของเพียงร้อยคู่ และมาอยู่ที่บ้านเราเพียงแค่ 2 คู่ และถูกขายไปแล้วคู่นึง จนตอนนี้เท่ากับว่า เหลือตัวเดียวในบ้านเรา และได้ข่าวว่า distributor จากญี่ปุ่นที่ซื้อตัวนี้ไม่ทัน ถึงกับแจ้งมาว่าขอซื้อต่อกันเลยทีเดียว
เมื่อรู้เสียงร่ำลือและความหายากของมันแบบนี้แล้ว ผมเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้สัมผัสตัวเป็นๆ และได้ทดลองฟัง
------------------------
งานประกอบ
ส่วนตัวต้องบอกงานประกอบนั้น ดิบจัดๆๆๆ ตัวตู้เป็นสี grey ออกโทนน้ำเงิน ผิวตู้มีการทำสีที่ทำให้ดูคล้ายกับผิวโลหะ พวกตู้หรือผิวของเฟอร์นิเจอร์ในแนว industry หรือแนวอุตสาหกรรม คล้ายตู้โรงพยาบาล หรือผิวตู้ของหน่วยงานทหาร
ตัวตู้ไม่ใหญ่อะไรมาก แต่มีการออกแบบให้ลำโพงมีสองโมดูลหลักคือ
1- โมดูลฮอร์นกลางแหลม ด้านบน เป็นฮอร์นที่มีขนานใหญ่พอประมาณ และนำมาติดตั้งวางบนตัวตู้ คล้ายๆกับ module กลางแหลมของตัว la scala หรือ klipschorn ถ้าใครเคยประกอบจะแนวๆนั้น นำมาวางเชื่อมต่อกันด้วยสายลำโพงที่จัดเตรียมไว้แล้ว
สิ่งที่น่าตกใจคือ ผมสังเกตเห็นปุ่มปรับระดับ spl ของเจ้าตัวโมดูฮอร์นตัวนี้ด้วย
ซึ่งก็แปลว่า เจ้าฮอร์นตัวนี้มันถูกออกแบบให้สามารถ custom ปรับกลางแหลมได้ ซึ่งตอนไปฟังมันตั้งไว้ที่ 0 แต่จริงๆมันสามารถปรับจูนเพิ่มหรือลดได้ ในกรณีที่เสียงมันจัดไป หรืออยากได้เสียงแหลมที่คมชัด ยิ่งกว่าเดิม
2- โมดูลเบส ก็คือตัวตู้ด้านล่างนั้นละครับ ออกแบบมาเป็นเบสแบบ front firing ยิงหน้า คล้ายๆๆกับ klipch heresy iv , forte iv ตัวดอกใช้ดอกขนาด 12" ขอบผ้าชุบน้ำยา
งานประกอบดิบมาก เรียกว่า ถ้าชอบก็ชอบไปเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย แต่ที่แน่ๆ งานประกอบมันไม่ได้มาทางหรูหรา หรือแนวเรียบหรู Hi-End นะครับ แต่มันจะไปทาง loft , industrial design ดิบๆ เหมาะกับบ้านที่โชว์ความเท่ ความเป็นสัจจะวัสดุ แนวๆปูนเปลือย เน้นเท่ๆมากกว่าครับ
----------------------------------------
แนวเสียง
ผมลองเปิดจาก tidal จากเครื่องผมเอง โดยไม่ผ่านแอปของตัว streaming ที่ติดตั้งอยู่ ซึ่งตอนนั้นเใช้ wiim amp pro เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด ซึ่งมีหลายกระแสว่าการใช้แอป streaming ของผู้ผลิตจะดีที่สุด แต่ส่วนตัวที่ทดลองมา ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ แอปที่เล่น streaming ได้ดีที่สุดก็คือ แอปของ native ผู้ให้บริการ คือ tidal , qobuz , spotify ของมันเอง ไม่ใช่แอปของผู้ผลิตเครื่องเสียง (ไม่งั้นผมมี streamer 10 เครื่อง ผมต้องเปิดสลับทีละ 10 app เหรอ ???)
ผมทดสอบไป สองสามเพลง ด้วยเพลงที่มีจังหวะ เพื่อดูการตอบสนองของลำโพง ว่ามีไดนามิค รองรับกับเบสเร็วๆได้ดีแค่ไหน ซึ่งลำโพงที่ดี (สำหรับผม) ควรจะต้องฟังเพลงเร็วที่มีจังหวะแล้วสนุก จังหวะคม ชัด เป๋ะ แม่นยำ ถูกต้อง เบสไม่ย้วย บ่อยครั้งที่ไปฟังในงานแล้วเจ้าของห้องเปิดเพลง audiophile ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ลำโพงตัวนี้ดีแค่ไหน เพราะจังหวะเสียงแต่ละชิ้นมันเกิดห่างกัน บางทีเคาะป๊อกๆ แล้วเว้นไป 3 วิ แล้วมีเสียงเคาะอีกป๊อกนึง มันเทสไม่ได้ว่า ถ้าเพลงที่มีบีทเร็ว เสียงมันจะย้วยไหม เบสมันมากวนกลางแหลมไหม
ตบท้ายด้วยหนึ่งเพลงที่ผมใช้เป็นเพลงประจำตัวที่ใช้ทดสอบลำโพงทุกตัวเสมอ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเคยฟังมาไม่รู้กี่ร้อย กีพันรอบ และใช้ทดสอบในทกลำโพงที่เคยฟัง แต่มีลำโพงนึงที่ฟังเพลงนี้แล้วผมชอบมากๆๆ นั่นคือฟังกับ cornwall iv มันเพราะจนน้ำตาไหล และเชื่อว่า ลำโพงที่ดีกว่านั้นมันจะต้องให้เสียงที่ดีและให้อะไรที่มากกว่า ถ้าเพลงนี้ฟังไม่ดี ก็คือจบ (สำหรับผมนะ คนอื่นอาจจะมีเพลงประจำตัวที่ใช้เทสต่างกัน)
เพลงที่ว่าคือ "ในคืนที่เราเจอะเจอกันครั้งแรก feat.Win Sirivongse ชื่อ Eng ว่า The Lost Hour" เพลงของคุณ บอย โกเรานี่แหละครับ เนื้อหาประมาณว่า หนุ่มสาวคู่นึง ในฉากหลังมหานครนิวยอร์ค ที่พบเจอกันในวันนึงในช่วงสิ้นปี ที่ตามธรรมเนียมในแต่ละปีจะมี วันนึงที่มีการปรับเวลาลง 1 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาถูกต้อง และหนุ่มสาวก็พบเจอ และจากลากันในช่วงเวลานั้น จึงเท่ากับว่าเวลาที่พวกเขาได้เจอ ชอบกัน และจากกันในวันนั้น จึงไม่มีอยู่จริง (the lost hour)
แนวเสียง ต้องบอกว่า ดำเนินมาในแนวทางเดียวกับ klispch heritage ทุกอย่าง คือ ชัด แม่น เป๋ะ แม่นยำ เที่ยงตรง เป็นลำโพงที่ให้ฝรั่งบอกว่า เสียงโคตร live
แต่ว่ามันก็จะไม่เหมือนกับ heritage เสียทีเดียว ตรงที่แนวเสียงพวกกลางแหลม นั้นมีความชัด คม live และดิบขึ้นไปอีกขั้นนึง จนฟังดูเหมือนเจ้าพวก cornwall, forte, heresy ที่ผมเคยฟังมา กลายเป็นลำโพงที่เสียงประนีประนอม ขึ้นมาซะยังงั้น
ส่วนตัวคิดว่า สาเหตุที่เจ้า OJAS มันทำปุ่มปรับ spl กลางแหลมของฮอร์นมาไว้ ก็เพื่อจูนให้เสียงเข้ากับแนวการฟังของแต่ละคนและแต่ละเพลง
ซึ่งผมคิดว่า ความชัด สด ของ OJAS ที่ได้ฟังนั้น มันค่อนข้างชัดมาก จนแม้แต่ผมที่ชื่นชอบเสียงสดๆ ชัดๆ แนว live บางครั้งยังมีความรู้สึกว่า เครียดและฟังไม่สบายในบางช่วง เพราะมันชัดไป
ผมคิดว่าในห้องที่ไม่ได้มีการซับเสียงเลย และเป็นกระจกแบบในห้องที่ผมฟังนั้น ควรจะต้องปรับลด spl horn กลางแหลมลงเพื่อให้สมดุล เพราะมันไม่มีวัสดุซับเสียงแหลมมาช่วย ทำให้แหลมมันยิ่งชัดกันเข้าไปใหญ๋ครับ
แต่ถ้าในมันไปอยู่ในห้องผมที่มีการซับเสียงแหลมมากๆๆๆ หรืออยู่ในห้องใหญ่ๆ ก็อาจจะให้เสียงที่พอดี
ในส่วนของกลางต่ำนั้น ตอนแรกผมคิดว่า เบสมันจะอลังการเหมือน cornwall iv แต่พอฟังจริงๆ ตัวเบสนั้นอยู่ราวๆ forte iv หรือมากกว่า heresy iv ระดับนึง คือไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ได้น้อย เบสก็เป็นเบสแบบที่รุ่นพี่ทำคือ เก็บตัวดี ฟังเพลงเร็วดี ตามดนตรีทัน ชัด เก็บจังหวะเป๋ะ ไม่มีย้วย
ตัววูฟเฟอร์เป็นแบบ 12 นิ้วที่ดูคล้ายกับวูฟเฟอร์ที่ใช้ใน heresy , forte (แต่ว่าในสเปกผู้ผลิตไม่ยอมบอกว่าใช้ woofer ตัวไหน)
แต่เอาเป็นว่า เบสไม่ได้อลังการ live และให้แรงปะทะเท่า cornwall แต่อยู่ในระดับกลางๆ
-----------------------------------------
สรุป
แนวเสียงโดยรวมในห้องที่ไม่ได้มีการ treat อคูสติกเลย แนวเสียงจึงออกมาในแนวที่ live และชัดตามสไตล์ฮอร์นที่ออกแบบโดย OJAS ซึ่งแม้ว่าส่วนตัวผมจะชอบสไตล์นี้ แต่เสียงจากลำโพงคู่นี้อาจจะไม่ใช่จริตผมมากนัก (ใช้คำว่าไม่โดนเส้นละกัน แต่จริงๆเสียงมันก็ดีแหละ แต่แค่ไม่มีตังซื้อ ฮาาาา) เพราะด้วยราคาค่าตัวของมันที่พุ่งสูงไปถึง 4 แสนบาท และงานประกอบของมันที่ดิบ ดุดัน
ในขณะที่กลางแหลม นั้นผมคิดว่า ในตัว la scala al5, klipschorn ak6 นั้นทำได้ดีกว่ามาก ในแง่ของรายละเอียด และความพริ้ว (ก็แน่ละ ดูขนาดฮอร์นและแยกฮอร์นออกเป็นสองชุด ทั้งเสียงกลาง และแหลมก็น่าจะเทียบกันไม่ได้) เสียงแหลมของ OJAS จะติดไปทางชัด เที่ยงตรงมากกว่า ในขณะที่ detail รายละเอียดนั้น ผมว่าทำได้พอๆกับล forte, cornwall เท่านั้นครับ
และในขณะที่เบสของมันนั้น cornwall iv ก็ทำได้ดีกว่ามากเช่นกัน
มันจึงเป็นลำโพงที่เหมาะกับคนที่ชอบเก็บงานสะสม collector ที่หายาก จากนักออกแบบระดับโลกที่หาซื้อไม่ได้แล้ว
และให้เสียงที่ดีกว่า forte, heresy ในตู้ขนาดพอๆกันหรีอเล็กกว่า แต่ไม่เกี่ยงเรื่องราคา
แน่นอนครับ ไม่เถียงว่า เสียงมันดีกว่า forte , heresy แต่ราคามันก็สูงกว่าเกือบสองเท่า เพื่อแลกมากับงานสะสมหายาก และสิ่งที่ผมโคตรชอบก็คือ horn มัน adjust spl ได้ เท่กาับว่า ถ้าเรารู้สึกว่าเสียงมันจัดจ้าน คมชัดไป แต่เราต้องการเอาไปฟังเพลงเก่าๆ เพลงร้องสไตล์วินเทจ เราอยากให้เสียงมันตุ่นๆ ทึบๆตามสไตล์ลำโพงเก่าแนวนี้ทั่วๆไป ให้เบสมันมากวนกลางแหลมหน่อย เราสามารถจัดการปรับที่ตัวตู้เพื่อลด spl มันลงได้ตามใจชอบ
และวันดีคืนดี เราอยากจะพาเพื่อมาปาร์ตี้ในบ้าน อยากจะ rock สุดเหวี่ยง และเปิดดัง แข่งกับเสียงพูดคุย และบรรยากาษมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอร์ ผมคิดว่ามันน่าจะต้องปรับ spl ฮอร์นขึ้นไปให้สุด เพื่อให้ได้บรรยากาศความสนุกนั้น
และสุดท้าย ผมมีความเชื่อว่า ลำโพงตัวนี้อาจจะไม่เหมาะกับไปตั้งอยู่ในบ้านผมหรือหลายๆท่านๆเท่าไร แต่มันน่าจะเหมาะสำหรับ เอาไปตั้งในห้องที่เป็นห้องที่สร้างไว้สำหรับปาร์ตี้ ห้องนั่งเล่นดิบๆ ของนักสะสมกระเป๋าหนักสักคนที่ชื่นชอบแนว industrial loft หรือนำไปตั้งในบาร์ส่วนตัวเล็กๆของใครสักคน ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาแล้วไม่มีใครสนใจและอาจจะคิดว่ามันก็แค่ลำโพง diy ดิบๆสักตัว แต่หากมีใครสักคนที่คร่ำหวอดในวงการ และสังเกตมัน จะรู้ว่า นี่มันคือ OJAS ลำโพงที่มีเพียงคู่เดียวในไทย และทั่วโลกไม่มีขายอีกแล้ว มาตั้งอยู่ในห้องที่ผมว่าคนที่มีครอบครอง น่าจะมีอะไรพิเศษ และน่าสนใจในกระบวนการคิดและชีวิตเขาต้องมีอะไรน่าสนใจแน่ๆครับ
ส่วนเรื่องเสียงนั้น ต้องแล้วแต่จริตและความชอบของแต่ละคน ถ้าให้เทียบกับฮอรน์ด้วยกันแล้ว ผมว่า ถ้า jbl เป็นตัวแทนฮอร์นที่ให้เสียงอบอุ่น วอร์ม ฟังง่าย
OJAS ตัวนี้ก็เป็นตัวแทนที่ตรงกันข้าม คือชัด เป๋ะ แม่นยำ เที่ยงตรง ไลฟ์
ราคา 399,900 บาท
ในบรรดาลำโพงที่ถูกผลิตออกมาเพื่อไว้ฟังเพลงของค่าย klipsch นั้น นอกเหนือไปจาก heritage seires ก็ยังมีอีกหนึ่งตัวที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็น limited edition ที่เคยถูกนำไปออกงานเมื่อต้นปีมาครั้งนึง แต่ผมไม่มีโอกาสได้ไปฟัง นั่นคือ Klipsch / OJAS kO-R1 รุ่นที่ผลิตและออกแบบร่วมกันกับสตูดิโอนักออกแบบลำโพง DIY ชื่อดังอย่าง OJAS
เมื่อวานเพิ่งได้มีโอกาสได้ฟังตัวเป็นๆ ส่วนตัวมีความอยากได้ใคร่รู้มากๆๆว่า ราคาขนาดนี้ 399,900 บาท มันจะเสียงได้ระดับไหนเมื่อเทียบกับ heritage series
เพราะมีเสียงลือ เสียงเล่ามาว่า ตัวตู้เล็กๆแค่นี้ มันให้เสียงดีกว่า la scala เชียวนะ และที่สำคัญตัวนี้มัน limited edition ที่หายากมาก ทั่วโลกมีเจ้าของเพียงร้อยคู่ และมาอยู่ที่บ้านเราเพียงแค่ 2 คู่ และถูกขายไปแล้วคู่นึง จนตอนนี้เท่ากับว่า เหลือตัวเดียวในบ้านเรา และได้ข่าวว่า distributor จากญี่ปุ่นที่ซื้อตัวนี้ไม่ทัน ถึงกับแจ้งมาว่าขอซื้อต่อกันเลยทีเดียว
เมื่อรู้เสียงร่ำลือและความหายากของมันแบบนี้แล้ว ผมเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้สัมผัสตัวเป็นๆ และได้ทดลองฟัง
------------------------
งานประกอบ
ส่วนตัวต้องบอกงานประกอบนั้น ดิบจัดๆๆๆ ตัวตู้เป็นสี grey ออกโทนน้ำเงิน ผิวตู้มีการทำสีที่ทำให้ดูคล้ายกับผิวโลหะ พวกตู้หรือผิวของเฟอร์นิเจอร์ในแนว industry หรือแนวอุตสาหกรรม คล้ายตู้โรงพยาบาล หรือผิวตู้ของหน่วยงานทหาร
ตัวตู้ไม่ใหญ่อะไรมาก แต่มีการออกแบบให้ลำโพงมีสองโมดูลหลักคือ
1- โมดูลฮอร์นกลางแหลม ด้านบน เป็นฮอร์นที่มีขนานใหญ่พอประมาณ และนำมาติดตั้งวางบนตัวตู้ คล้ายๆกับ module กลางแหลมของตัว la scala หรือ klipschorn ถ้าใครเคยประกอบจะแนวๆนั้น นำมาวางเชื่อมต่อกันด้วยสายลำโพงที่จัดเตรียมไว้แล้ว
สิ่งที่น่าตกใจคือ ผมสังเกตเห็นปุ่มปรับระดับ spl ของเจ้าตัวโมดูฮอร์นตัวนี้ด้วย
ซึ่งก็แปลว่า เจ้าฮอร์นตัวนี้มันถูกออกแบบให้สามารถ custom ปรับกลางแหลมได้ ซึ่งตอนไปฟังมันตั้งไว้ที่ 0 แต่จริงๆมันสามารถปรับจูนเพิ่มหรือลดได้ ในกรณีที่เสียงมันจัดไป หรืออยากได้เสียงแหลมที่คมชัด ยิ่งกว่าเดิม
2- โมดูลเบส ก็คือตัวตู้ด้านล่างนั้นละครับ ออกแบบมาเป็นเบสแบบ front firing ยิงหน้า คล้ายๆๆกับ klipch heresy iv , forte iv ตัวดอกใช้ดอกขนาด 12" ขอบผ้าชุบน้ำยา
งานประกอบดิบมาก เรียกว่า ถ้าชอบก็ชอบไปเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย แต่ที่แน่ๆ งานประกอบมันไม่ได้มาทางหรูหรา หรือแนวเรียบหรู Hi-End นะครับ แต่มันจะไปทาง loft , industrial design ดิบๆ เหมาะกับบ้านที่โชว์ความเท่ ความเป็นสัจจะวัสดุ แนวๆปูนเปลือย เน้นเท่ๆมากกว่าครับ
----------------------------------------
แนวเสียง
ผมลองเปิดจาก tidal จากเครื่องผมเอง โดยไม่ผ่านแอปของตัว streaming ที่ติดตั้งอยู่ ซึ่งตอนนั้นเใช้ wiim amp pro เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด ซึ่งมีหลายกระแสว่าการใช้แอป streaming ของผู้ผลิตจะดีที่สุด แต่ส่วนตัวที่ทดลองมา ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ แอปที่เล่น streaming ได้ดีที่สุดก็คือ แอปของ native ผู้ให้บริการ คือ tidal , qobuz , spotify ของมันเอง ไม่ใช่แอปของผู้ผลิตเครื่องเสียง (ไม่งั้นผมมี streamer 10 เครื่อง ผมต้องเปิดสลับทีละ 10 app เหรอ ???)
ผมทดสอบไป สองสามเพลง ด้วยเพลงที่มีจังหวะ เพื่อดูการตอบสนองของลำโพง ว่ามีไดนามิค รองรับกับเบสเร็วๆได้ดีแค่ไหน ซึ่งลำโพงที่ดี (สำหรับผม) ควรจะต้องฟังเพลงเร็วที่มีจังหวะแล้วสนุก จังหวะคม ชัด เป๋ะ แม่นยำ ถูกต้อง เบสไม่ย้วย บ่อยครั้งที่ไปฟังในงานแล้วเจ้าของห้องเปิดเพลง audiophile ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ลำโพงตัวนี้ดีแค่ไหน เพราะจังหวะเสียงแต่ละชิ้นมันเกิดห่างกัน บางทีเคาะป๊อกๆ แล้วเว้นไป 3 วิ แล้วมีเสียงเคาะอีกป๊อกนึง มันเทสไม่ได้ว่า ถ้าเพลงที่มีบีทเร็ว เสียงมันจะย้วยไหม เบสมันมากวนกลางแหลมไหม
ตบท้ายด้วยหนึ่งเพลงที่ผมใช้เป็นเพลงประจำตัวที่ใช้ทดสอบลำโพงทุกตัวเสมอ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเคยฟังมาไม่รู้กี่ร้อย กีพันรอบ และใช้ทดสอบในทกลำโพงที่เคยฟัง แต่มีลำโพงนึงที่ฟังเพลงนี้แล้วผมชอบมากๆๆ นั่นคือฟังกับ cornwall iv มันเพราะจนน้ำตาไหล และเชื่อว่า ลำโพงที่ดีกว่านั้นมันจะต้องให้เสียงที่ดีและให้อะไรที่มากกว่า ถ้าเพลงนี้ฟังไม่ดี ก็คือจบ (สำหรับผมนะ คนอื่นอาจจะมีเพลงประจำตัวที่ใช้เทสต่างกัน)
เพลงที่ว่าคือ "ในคืนที่เราเจอะเจอกันครั้งแรก feat.Win Sirivongse ชื่อ Eng ว่า The Lost Hour" เพลงของคุณ บอย โกเรานี่แหละครับ เนื้อหาประมาณว่า หนุ่มสาวคู่นึง ในฉากหลังมหานครนิวยอร์ค ที่พบเจอกันในวันนึงในช่วงสิ้นปี ที่ตามธรรมเนียมในแต่ละปีจะมี วันนึงที่มีการปรับเวลาลง 1 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาถูกต้อง และหนุ่มสาวก็พบเจอ และจากลากันในช่วงเวลานั้น จึงเท่ากับว่าเวลาที่พวกเขาได้เจอ ชอบกัน และจากกันในวันนั้น จึงไม่มีอยู่จริง (the lost hour)
แนวเสียง ต้องบอกว่า ดำเนินมาในแนวทางเดียวกับ klispch heritage ทุกอย่าง คือ ชัด แม่น เป๋ะ แม่นยำ เที่ยงตรง เป็นลำโพงที่ให้ฝรั่งบอกว่า เสียงโคตร live
แต่ว่ามันก็จะไม่เหมือนกับ heritage เสียทีเดียว ตรงที่แนวเสียงพวกกลางแหลม นั้นมีความชัด คม live และดิบขึ้นไปอีกขั้นนึง จนฟังดูเหมือนเจ้าพวก cornwall, forte, heresy ที่ผมเคยฟังมา กลายเป็นลำโพงที่เสียงประนีประนอม ขึ้นมาซะยังงั้น
ส่วนตัวคิดว่า สาเหตุที่เจ้า OJAS มันทำปุ่มปรับ spl กลางแหลมของฮอร์นมาไว้ ก็เพื่อจูนให้เสียงเข้ากับแนวการฟังของแต่ละคนและแต่ละเพลง
ซึ่งผมคิดว่า ความชัด สด ของ OJAS ที่ได้ฟังนั้น มันค่อนข้างชัดมาก จนแม้แต่ผมที่ชื่นชอบเสียงสดๆ ชัดๆ แนว live บางครั้งยังมีความรู้สึกว่า เครียดและฟังไม่สบายในบางช่วง เพราะมันชัดไป
ผมคิดว่าในห้องที่ไม่ได้มีการซับเสียงเลย และเป็นกระจกแบบในห้องที่ผมฟังนั้น ควรจะต้องปรับลด spl horn กลางแหลมลงเพื่อให้สมดุล เพราะมันไม่มีวัสดุซับเสียงแหลมมาช่วย ทำให้แหลมมันยิ่งชัดกันเข้าไปใหญ๋ครับ
แต่ถ้าในมันไปอยู่ในห้องผมที่มีการซับเสียงแหลมมากๆๆๆ หรืออยู่ในห้องใหญ่ๆ ก็อาจจะให้เสียงที่พอดี
ในส่วนของกลางต่ำนั้น ตอนแรกผมคิดว่า เบสมันจะอลังการเหมือน cornwall iv แต่พอฟังจริงๆ ตัวเบสนั้นอยู่ราวๆ forte iv หรือมากกว่า heresy iv ระดับนึง คือไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ได้น้อย เบสก็เป็นเบสแบบที่รุ่นพี่ทำคือ เก็บตัวดี ฟังเพลงเร็วดี ตามดนตรีทัน ชัด เก็บจังหวะเป๋ะ ไม่มีย้วย
ตัววูฟเฟอร์เป็นแบบ 12 นิ้วที่ดูคล้ายกับวูฟเฟอร์ที่ใช้ใน heresy , forte (แต่ว่าในสเปกผู้ผลิตไม่ยอมบอกว่าใช้ woofer ตัวไหน)
แต่เอาเป็นว่า เบสไม่ได้อลังการ live และให้แรงปะทะเท่า cornwall แต่อยู่ในระดับกลางๆ
-----------------------------------------
สรุป
แนวเสียงโดยรวมในห้องที่ไม่ได้มีการ treat อคูสติกเลย แนวเสียงจึงออกมาในแนวที่ live และชัดตามสไตล์ฮอร์นที่ออกแบบโดย OJAS ซึ่งแม้ว่าส่วนตัวผมจะชอบสไตล์นี้ แต่เสียงจากลำโพงคู่นี้อาจจะไม่ใช่จริตผมมากนัก (ใช้คำว่าไม่โดนเส้นละกัน แต่จริงๆเสียงมันก็ดีแหละ แต่แค่ไม่มีตังซื้อ ฮาาาา) เพราะด้วยราคาค่าตัวของมันที่พุ่งสูงไปถึง 4 แสนบาท และงานประกอบของมันที่ดิบ ดุดัน
ในขณะที่กลางแหลม นั้นผมคิดว่า ในตัว la scala al5, klipschorn ak6 นั้นทำได้ดีกว่ามาก ในแง่ของรายละเอียด และความพริ้ว (ก็แน่ละ ดูขนาดฮอร์นและแยกฮอร์นออกเป็นสองชุด ทั้งเสียงกลาง และแหลมก็น่าจะเทียบกันไม่ได้) เสียงแหลมของ OJAS จะติดไปทางชัด เที่ยงตรงมากกว่า ในขณะที่ detail รายละเอียดนั้น ผมว่าทำได้พอๆกับล forte, cornwall เท่านั้นครับ
และในขณะที่เบสของมันนั้น cornwall iv ก็ทำได้ดีกว่ามากเช่นกัน
มันจึงเป็นลำโพงที่เหมาะกับคนที่ชอบเก็บงานสะสม collector ที่หายาก จากนักออกแบบระดับโลกที่หาซื้อไม่ได้แล้ว
และให้เสียงที่ดีกว่า forte, heresy ในตู้ขนาดพอๆกันหรีอเล็กกว่า แต่ไม่เกี่ยงเรื่องราคา
แน่นอนครับ ไม่เถียงว่า เสียงมันดีกว่า forte , heresy แต่ราคามันก็สูงกว่าเกือบสองเท่า เพื่อแลกมากับงานสะสมหายาก และสิ่งที่ผมโคตรชอบก็คือ horn มัน adjust spl ได้ เท่กาับว่า ถ้าเรารู้สึกว่าเสียงมันจัดจ้าน คมชัดไป แต่เราต้องการเอาไปฟังเพลงเก่าๆ เพลงร้องสไตล์วินเทจ เราอยากให้เสียงมันตุ่นๆ ทึบๆตามสไตล์ลำโพงเก่าแนวนี้ทั่วๆไป ให้เบสมันมากวนกลางแหลมหน่อย เราสามารถจัดการปรับที่ตัวตู้เพื่อลด spl มันลงได้ตามใจชอบ
และวันดีคืนดี เราอยากจะพาเพื่อมาปาร์ตี้ในบ้าน อยากจะ rock สุดเหวี่ยง และเปิดดัง แข่งกับเสียงพูดคุย และบรรยากาษมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอร์ ผมคิดว่ามันน่าจะต้องปรับ spl ฮอร์นขึ้นไปให้สุด เพื่อให้ได้บรรยากาศความสนุกนั้น
และสุดท้าย ผมมีความเชื่อว่า ลำโพงตัวนี้อาจจะไม่เหมาะกับไปตั้งอยู่ในบ้านผมหรือหลายๆท่านๆเท่าไร แต่มันน่าจะเหมาะสำหรับ เอาไปตั้งในห้องที่เป็นห้องที่สร้างไว้สำหรับปาร์ตี้ ห้องนั่งเล่นดิบๆ ของนักสะสมกระเป๋าหนักสักคนที่ชื่นชอบแนว industrial loft หรือนำไปตั้งในบาร์ส่วนตัวเล็กๆของใครสักคน ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาแล้วไม่มีใครสนใจและอาจจะคิดว่ามันก็แค่ลำโพง diy ดิบๆสักตัว แต่หากมีใครสักคนที่คร่ำหวอดในวงการ และสังเกตมัน จะรู้ว่า นี่มันคือ OJAS ลำโพงที่มีเพียงคู่เดียวในไทย และทั่วโลกไม่มีขายอีกแล้ว มาตั้งอยู่ในห้องที่ผมว่าคนที่มีครอบครอง น่าจะมีอะไรพิเศษ และน่าสนใจในกระบวนการคิดและชีวิตเขาต้องมีอะไรน่าสนใจแน่ๆครับ
ส่วนเรื่องเสียงนั้น ต้องแล้วแต่จริตและความชอบของแต่ละคน ถ้าให้เทียบกับฮอรน์ด้วยกันแล้ว ผมว่า ถ้า jbl เป็นตัวแทนฮอร์นที่ให้เสียงอบอุ่น วอร์ม ฟังง่าย
OJAS ตัวนี้ก็เป็นตัวแทนที่ตรงกันข้าม คือชัด เป๋ะ แม่นยำ เที่ยงตรง ไลฟ์
ราคา 399,900 บาท
สินค้าในตะกร้า ({{total_num}} รายการ)
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง
➜ เลือกซื้อสินค้าเพิ่ม