Audyn Virtus S250 MKII - Monaural Power Amplifer, 250 Watt rms Current Feedback
คุณคิดว่าเพาเว่อร์แอมป์โมโนบล๊อกหน้าตาเรียบง่าย แต่แลดูจริงจังขึงขังสักคู่หนึ่งควรตั้งราคาเอาไว้เท่าไร่ดี? ถ้าหากว่ามันมาพร้อมกับตัวเลขกำลังขับ 250 วัตต์อาร์เอ็มเอส (โหลด 8 โอห์ม), ความเพี้ยน THD 0.01%, Damping factor 400, S/N ratio 103 dB, Bandwidth มากกว่า 200kHz สำหรับคนที่มีประสบการณ์กับเครื่องเสียงไฮฟิเดลิตี้มาพอสมควร อาจจะพอนึกประเมินราคาในใจได้คร่าวๆ แต่ถ้าจะให้ตอบได้อย่างมั่นใจเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคงบอกว่าต้องขอฟังเสียงดูก่อน เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องเสียงแล้วปัจจัยสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของ "คุณภาพเสียง"
แอมป์ไทยกับแนวคิดเยี่ยงอย่างสินค้าไฮเอนด์
ข้างต้นเป็นข้อมูลทางเทคนิคของ Virtus S250 MK II เพาเวอร์แอมป์โมโนบล๊อกรุ่นใหม่ล่าสุดของยี่ห้อ 'ออกิน' (Audyn) ยี่ห้อเครื่องเสียงของคนไทยแท้ๆ ที่ออกแบบและผลิตในประเทศไทย สำหรับท่านที่เพิ่งได้ยินชื่อของเขาผมใคร่จะแนะนำให้รู้จักกันพอสังเขป
ยี่ห้อ Audyn เป็นแบรนด์เล็กๆ ที่สร้างขึ้นโดย พวัสพงศ์ เกษตรภิบาล วิศวกรหนุ่มใหญ่ไฟแรงที่ค่อยๆไต่เต้าสร้างชื่อแบบปากต่อปากในกลุ่มนักเล่นที่นิยมอุปกรณ์เสริมต่างๆ สำหรับระบบไฟจนกระทั่งได้แตกไลน์สินค้าออกมาในกลุ่มแอมปลิฟายเออร์
ส่วนตัวผมเคยได้รีวิวสินค้าของ Audyn ไปแล้ว 2 ชิ้นได้แก่ AC Power Conditioner รุ่น Libero PW (GM2000 ฉบับเดือนพฤษภาคม 2013) และเพาเวอร์แอมป์รุ่น Virtus D300 (GM2000 ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2014) ยังไม่นับรวมในบางช่วงเวลาที่มีโอกาสได้ลองสินค้ารุ่นอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งของ Audyn ในวาระต่างๆ
ความชัดเจนสำหรับสินค้ายี่ห้อนี้นอกจากเรื่องของการใช้สีดำเป็นสีหลักก็คือ การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่พยายามจะสร้างมาตรฐานให้ทัดเทียมกับสินค้าระดับไฮเอนด์ของต่างประเทศ ไม่ใช่แค่หลุดพ้นจากคำว่าลดต้นทุนนะครับ แต่เป็นลักษณะของแนวคิดที่ว่าในเมื่อสินค้าไฮเอนด์ของนอกเขาทำได้แล้วทำไมของเราจะทำบ้างไม่ได้ ในราคาแบบไทยๆเรานี่แหละ ตรงนี้ผมคิดว่าใครที่เคยใช้สินค้าของยี่ห้อนี้มาบ้างก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างกันนัก
สำหรับ Virtus S250 MK II ก็เช่นกัน เพาเวอร์แอมป์โมโนบล๊อคหน้าตาเรียบๆ คู่นี้ ถ้าหากพิจารณากันให้ถ้วนถี่แล้วจะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่ ด้วยความลุ่มหลง ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เห็นแผงหน้าปัดที่ทำด้วยแผ่นอะลูมิเนียมหนา 1 นิ้ว ตัวถังที่หนักอึ้ง (20.3 กิโลกรัม) ขั้วต่ออินพุตและขั้วต่อสายลำโพงที่มีโหงวเฮ้งดูดีกว่าแอมป์ในระดับราคาเทียบเท่ากัน
คุณสมบัติพื้นฐานและการออกแบบ
คุณสมบัติพื้นฐานของ virtus S250 MK II นอกจากตัวเลขสเปคที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อตอนต้นแล้ว ข้อมูลส่วนหนึ่งนั้นอยู่ในเว็บไซต์และในคู่มือใช้งานที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง อีกส่วนหนึ่งผมได้มาจากการสอบถามกับทางผู้ผลิตโดยตรง
นอกจากรูปทรงที่ดูแปลกตาเพราะมาในดีไซน์หน้าแคบ-ท้ายลึกแล้ว เมื่อพิจารณาจากภายนอก Virtus S250 MK II ก็ดูไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าเพาเว่อร์แอมป์ทั่วไป หน้าเครื่องมีเพียงปุ่มกดสีเงินทำหน้าที่เป็นปุ่มเปิด-ปิดการทำงานของตัวเครื่องพร้อมไฟแสดงสถานะเป็น LED สีแดงจุดเล็กๆ ไฟดวงนี้จะติดสว่างในระดับหนึ่งเมื่อมีการเปิดสวิตซ์ Mains ที่ด้านหลังเครื่องเพื่อเข้าสู่โหมดสแตนบาย และจะติดสว่างเต็มที่เมื่อมีการกดปุ่มเปิดเครื่องโดยใช้ปุ่มกดสีเงินหน้าเครื่องหรือสั่งจากสวิตซ์ Trigger 12V ซึ่งมีขั้วต่ออยู่ที่ด้านหลังเครื่อง นอกจากนั้นแล้วที่ด้านหลังเครื่องยังเป็นที่อยู่ของขั้วต่อสายไฟเอซีเข้าเครื่องแบบ IEC 3 ขา, ขั้วฟิวส์แบบกระปุก, สวิตซ์ไฟ Mains, ขั้วต่อสายลำโพง และขั้วต่อสายสัญญาณอินพุตซึ่งมีมาให้ทั้งแบบอันบาลานซ์ (RCA) และบาลานซ์ (XLR) พร้อมทั้งสวิตซ์โยกสำหรับเลือกใช้งานอินพุตทั้งสอง
จากการลองใช้งานเบื้องต้น Virtus S250 MK II สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นนุ่มนวลตั้งแต่เรื่องง่ายๆ อย่างการเปิด-ปิดเครื่องซึ่งจะมีวงจรหน่วงเวลาและสวิตซ์อิเล็กทรอนิกส์คอยตรวจสอบรวมถึงการตัดต่อสัญญาณออกลำโพงให้เหมาะสมกับสถานะของเครื่องในเวลานั้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีเสียงแปลกประหลาดใดๆ เล็ดลอดออกไปที่ลำโพง
การแยกตัวถังออกเป็น 2 เครื่องแบบโมโนบล๊อกมีข้อดีหลายประการตั้งแต่เรื่องของการลดการรบกวนระหว่างวงจรขยานทั้ง 2 แชนแนล ทำให้ค่า channel separetion ดีขึ้น หรือการเพิ่มจำนวนแชนแนลสำหรับในระบบเสียงโฮมเธียเตอร์ทำได้คล่องตัวมากขึ้น และที่ผมชอบใจมากคือมันทำให้การยกย้ายเครื่องทำได้ง่ายขึ้นครับ แบบที่รวมกันมาในจัวเดียวแล้วหนักชนิดเลือดตาแทบกระเด็นอย่างรุ่น Virtus D300 นั้นได้ยกแค่ครั้งเดียวก็เข็ดขยาดไปนาน!
*** รายละเอียดด้านหลังเครื่อง งานผลิตมาตรฐานสากล ระบุชัดเจนว่าออกแบบและผลิตที่จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย
การออกแบบและงานวิศวกรรมในเชิงลึก
สำหรับในส่วนของการออกแบบในเชิงลึกของแอมป์ Virtus S250 MK II คู่นี้เท่าที่ผมได้ยินข้อมูลจากทางผู้ผลิตโดยตรงทำให้ทราบว่ามันแตกต่างจากแอมป์รุ่น Virtus S250 รุ่นแรกมากเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นแอมป์รุ่นใหม่ ไม่ใช่รุ่นไมเนอเช้นจ์อย่างที่เข้าใจตอนได้เห็นชื่อรุ่น อย่างเช่นในรุ่น Virtus S250 เดิมนั้นไม่มีขั้วต่ออินพุตแบบบาล้านซ์, รุ่นเดิมเป็นวงจรแอมป์คลาสเอบีชุดเดียวเหมือนวงจรขยายปกติทั่วไป, รุ่นเดิมใช้หม้อแปลงขนาด 450VA แต่รุ่นใหม่ใช้หม้อแปลงใหญ่ขึ้นเป็น 550VA เนื่องจากต้องจ่ายกระแสไฟให้ภาคขยายคลาสเออีกส่วนที่เพิ่มเข้ามา หม้อแปลงขนาดใหญ่กว่าที่ว่านี้ทำงานร่วมกับตัวเก็บประจุฟิลเตอร์หรือ Reservoit capacitor ขนาด 40,000 ไมโครฟาลัคเพื่อหวังผลในด้านการจ่ายกำลังสำรองอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของวงจรขยายสัญญาณทางผู้ผลิตเขาเคลมว่ามันไม่เหมือนกับเพาเวอร์แอมป์ทั่วไปแต่ใช้เทคนิคการออกแบบเหมือนในรุ่น D300 ทว่าแตกต่างกันในรายละเอียดของการปรับแต่งเล็กๆน้อยๆ ในเพาเวอร์แอมป์ Virtus S250 MK II 1 เครื่องจะประกอบไปด้วยวงจรขยายที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเสมือนกับว่ามีแอมป์ 2 แชนแนลในเครื่องเดียว แต่ละส่วนนั้นมีอัตราขยายเป็นอิสระของตัวเอง โดยภาคขยายส่วนหน้านั้นมีกำลังขับต่ำำมากคือราวๆ 1 วัตต์และเป็นวงจรแบบซิงเกิลแอนด์คลาสเอแท้ๆ เพื่อคงความบริสุทธิ์และรักษาคุณภาพของตัวสัญญาณเอาไว้ สำหรับวงจรอีกส่วนจะเป็นภาคขยายคลาสเอบีแบบพุชพูล (ใช้เพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ชนิดไบโพลาร์) ซึ่งมีความสามารถในการจ่ายกระแสขับลำโพงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยมีอัตราขยายอยู่ที่ 29 dB เป็นไปตามมาตรฐาน THX (ข้อมูลจากผู้ผลิต) ข้อดีของวงจรในลักษณะนี้ตามที่ผู้ผลิตเขาได้เปิดเผยเอาไว้ก็คือ
"กล่าวได้ว่า Virtus S250 MK II คือเพาเวอร์แอมป์ Class AB กำลังขับสูงที่มีบุคลิกเช่นเดียวกับเพาเวอร์แอมป์ Class A นั่นเอง"
อีกส่วนที่น่าสนใจคือการใช้วงจรป้อนกลับแบบป้อนกลับกระแสหรือ Current Feedback ซึ่งได้รับการกล่าวอ้างจากทางผู้ผลิตว่า "มีส่วนช่วยให้วงจรขยายเสียงสามารถตอบสนองทรานเชี้ยนต์หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสัญญาณได้อย่างยอดเยี่ยม ให้ซาวนด์สเตจที่กว้างเป็นพิเศษ ทั้งยังมีความโดดเด่นเป็นพิเศษในการแยกแยะตำแหน่งรายละเอียดของเครื่องดนตรี เงียบสนิทและมี noise floor จัดอยู่ในระดับต่ำมาก ด้วยค่า signal to noise ratio ต่ำกว่า -103 dB เปิดเผยรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย"
ความประทับใจแรก
เบื้องต้นสำหรับการใช้งานทั่วไปกับแอมป์คู่นี้ต้องบอกว่า Virtus S250 MK II เป็นแอมป์กำลังขับสูงที่ผมสามารถใช้งานได้อย่างสบายใจตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเครื่องตัวอย่างมาจนตลอดช่วงเวลาของการรีวิว การเปิด-ปิดเครื่องในทุกๆกรณีราบรื่นไม่มีอะไรชวนให้หวาดระแวง เรียกว่าอยู่ในมาตรฐานเดียวกับเครื่องเสียงแบรนด์เนมที่สร้างชื่อกันในระดับสากล
ทั้งหมดนี้หมายความว่า Virtus S250 MK II นั้นเป็นแอมป์สัญชาติไทยที่ปราศจากปัญหาใดๆเกี่ยวกับทางเทคนิค ใครที่กลัวว่าเครื่องเสียง Made in Thailand จะไว้ใจได้หรือเปล่า ใช้แล้วเผาลำโพงสุดที่รักหรือไม่ สำหรับแอมป์รุ่นนี้ผมถือว่าไว้ใจได้ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทั้งหมดนี้ก็สอดคล้างกับข้อมูลทางเทคนิคจากผู้ผลิตที่พูดถึงเรื่องของวงจรควบคุมและวงจรป้องกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงจร DC Blocking ทำหน้าที่คอยจัดการกับมลภาวะทางไฟฟ้า, DC fault protection ทำหน้าที่ตรวจจับและป้องกันอันตรายจากไฟกระแสตรงที่อาจจะเล็ดลอดออกไปได้ถ้าหากแอมป์เกิดความผิดปกติขึ้น, Thermal protection ทำหน้าที่ตัดการทำงานของเครื่อง ในกรณีที่อุณหภูมิของเครื่องสูงกว่า 80 องศาเซลเซียส, Current limiter ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายของตัวเครื่องเมื่อโหลดมีค่าอิมพีแดนซ์ลดลงต่ำกว่า 1 โอห์ม (เช่นในกรณีเกิดการลัดวงจร)
สำหรับความเห็นในแง่มุมที่เกี่ยวกับคุณภาพเสียงของ Virtus S250 MK II เท่าที่ได้ลองใช้ขับลำโพงอยู่จำนวนหนึ่งรวมถึงลำโพงตั้งพื้นอย่าง Tannoy Revolution XT 6F ซึ่งมีโอกาสได้ใช้งานเป็นส่วนใหญ่ในระหว่างการรีวิวนี้ ผมว่าเสียงของแอมป์โมโนบล๊อคคู่นี้ออกมาในแนวทางเดียวกับรุ่น Virtus D300 ที่ผมเคยฟัง คือมันเป็นเสียงของแอมป์ใหญ่ที่ไม่ได้เน้นแต่เนื้อหรือน้ำหนักเสียงเพียง อย่างเดียว หากแต่มันยังให้ความสำคัญกับเรื่องฮาร์มอนิกและสปีดของเสียงอีกด้วย จุดนี้สำคัญมากเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งทีเ่กี่ยวข้องกับความเป็นดนตรีทั้งโดย ทางตรงและทางอ้อม
เสียงแพลงและดนตรี
นอก จากคุณสมบัติและเสียงที่ได้ยินในเบื้องต้นแล้ว ผมว่าการถ่ายทอดเสียงออกมาในลักษณะที่ไม่เจือปนความหยาบกระด้างแข็งเกร็งแต่ อย่างใดออกมาก เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจสำหรับสินค้าของคนไทยเราที่ยังอยู่ในระดับทำขายใน ประเทศ แต่สุ้มเสียงนั้นผมว่าของเขาก้าวไปอยู่ในระดับอินเตอร์แล้วละครับ
เบื่องต้นในซิสเต็มเดิมที่ใช้ฟังลำโพง Tannoy Revolution XT 6F ผมใช้อินทิเกรตแอมป์ Arcam FMJ A39 ซึ่งใช้งานร่วมกันได้เข้าขากันดี ทางด้าน source มาใช้เครื่องเล่น SACD/CD/USB DAC รุ่น SA-14S1 ของ Marantz เป็นตัวหลัก สลับกับ Moon 380 DSD ในกรณีที่ไม่ได้เล่นเพลงจากแผ่นดิสก์
เพื่อที่จะฟังเปรียบเทียบระหว่างภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว A39 กับ Virtus S250 MK II ผมต่อปรีเอาต์จาก A39 ไปเข้าที่อินพุต RCA ของ virtus S250 MK II เสียงที่ได้จากแอมป์ของ Audyn ดูเหมือนจะให้เสียงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ยกเว้นแค่เพียงการกำหนดขอบเขตพื้นที่ในเวทีเสียงด้านลึกที่ไม่ได้เหนือกว่า หรืออาจจะเป็นรองอยู่บ้าง แต่ด้านอื่นๆ ทั้งเรื่องของมิติเสียงด้านกว้าง ความโอ่โถงของเวทีเสียงและบรรยากาศ ถือว่าแอมป์ของ Audyn ทำหน้าที่ได้น่าประทับใจมาก มันให้เสียงที่สุภาพนุ่มนวล เสียงร้องที่มีลักษณะเน้นย้ำจีบปากจีบคอขณะที่ยังมีสปีดของเสียงฉับไวและ แม่นยำ ไม่ได้เฉื่อยช้าอุ้ยอ้ายลงไปแต่ประการใด เสียงสแนร์ที่มีน้ำหนักและเนื้อเสียงอวบอื่มกำลังดี ยังคงกระชับหนักแน่น ให้โฟกัสหัวเสียงที่คมชัด ย่านความถี่ต่ำที่ดูเหมือนจะมีเนื้อหนุนให้ฟังดูอิ่มใหญ่กว่าแอมป์ในตัว Arcam ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นแอมป์ที่เสียงใหญ่แต่ตอบสนองช้าเลยแม้แต่น้อย
ภาพรวมที่ได้จากแอมป์คู่นี้คือเสียงที่มีรายละเอียดแฝงไว้ด้วยความผ่อนคลาย ใหญ่แต่พริ้ว เข้มหนาแต่ไม่ตื้อ ปลายหางเสียงที่ฟังนุ่มละเมียดมีรายละเอียดความก้องกังวานและประกานหาง เสียงออกมาให้สัมผัสรับรู้ได้
จากอัลบั้มเพลงที่คุ้นเคยอย่าง Jazz At The Pawnshop และ Carmen-Fantasie ซึ่งเป็นไฟล์ PCM 24/88.2 จาก HDtracks ทั้งคู่ แอมป์คู่นี้ถ่ายทอดรายละเอียดหยุมหยิมในช่วงเสียงเบาๆ ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆในซิสเต็มออกมาได้อย่างกระจ่างชัดเจน ไม่รู้สึกว่ามีอะไรขาด-เกิน เสียงไวโอลินที่ปกติจะมีรายละเอียดแอบซ่อนอยู่มากมายอีกทั้งยังอ่อนไหวต่อ การถูกบิดเบือน ก็ได้รับการแจกแจงออกมาอย่างประณีตบรรจง ทุกๆสำเนียง ทุกๆตัวโน๊ตเป็นเสียงที่ฟังสบายหูแต่มีพลังแฝง ไม่ใช่ความเบาสบายอย่างอ่อนระทวย
เสียงโซโล่กีตาร์ในอัลบั้ม Meet Me in //london (PCM 24/192, Naim Records) เป็นเสียงกีตาร์ที่ฟังเหมือนกีตาร์จริงๆ มากที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยได้ฟังมา มันมีความคมชัด ความพริ้วกังวาน โปร่งเบาแต่ไม่เบาบาง พลิ้วลอยแต่ไม่กลวง ผมว่า Virtus S250 MK II เป็นแอมป์ที่สามารถพิสูจน์ตัวเลขสเปคสวยๆ ของมันได้ไม่ยากเเลย แค่นั่งลงแล้วเปิดเพลงฟังเท่านั้นเองครับ เช่นเดียวกับเพลง 'Spanish Mary' จากอัลบั้ม Lost On The River (Deluxe) โดยวง The New Basement Tapes (PCM 24/96, HDtracks) ที่บันทึกเสียงได้เป็นธรรมชาติ น่าฟัง มีช่วงแบนด์วิธและไดนามิกเรนจ์กว้างขวาง เสียงจากซิสเต็มที่สนับสนุนผลักดันโดยแอมป์โมโนบล๊อคคู่นี้ก็ถ่ายทอดสิ่ง เหล่านั้นออกมาได้อย่างน่าชมเชย
ช่วงหนึ่งในระหว่างที่แอมป์โมโนบล๊อคคู่นี้ยังอยู่ในซิสเต็ม และผมใช้ Moon 380 DSD ซึ่งเป็น digital source ที่ให้เสียงสะอาดสะอ้านมาก โดยเล่นเพลงจากคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรม Roon แล้วต่อใช้งานอินพุต USB ของ 380 DSD เสียงที่ได้จากการฟังอัลบั้ม Daylight Again (PCM 24/96, HDtracks) ของ Crosby, Stills & Nash มันยิ่งตอกย้ำให้ผมเชื่อมั่นว่าแอมป์หน้าตาดำทะมึนดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไร คู่นี้นอกจากจะไม่ใช่จุดอ่อนในซิสเต็มระดับนี้แล้ว ยังน่าจะมีส่วนสำคัญในการเกื้อหนุนให้รายละเอียดเสียงเป็นดังที่ปรากฏออกมา กล่าวคือไม่เพียงแค่ฟังออกว่าใครร้องท่อนไหนเท่านั้น ทว่ามันยังผนวกความลื่นไหล ความกลมกล่อมละมุนละไมโดยมิได้สูญเสียความพลิ้วหวานไปเลยแม้แต่น้อย แอมป์ใหญ่ที่มีกำลังขับเยอะๆ แต่แจกแจงรายละเอียดได้ดีเช่นนี้ ใช่ว่าจะหากันง่ายๆโดยเฉพาะในระดับราคาเพียงเท่านี้ แต่ Audyn ทำได้และได้ทำมันออกมาแล้ว
Simply The Best
ใน รีวิว Exogal Comet (GM2000 ฉบับที่ 220 เดือนกรกฎาคม 2558) ผมยังติดค้างเรื่องของการใช้งาน DAC/Preamp ตัวนี้ในลักษณะต่อตรงกับเพาเวอร์แอมป์แล้วใช้วงจรควบคุมความดังของเสียงที่ อยู่ในตัว Comet ซึ่งทางผู้ผลิตเองบอกว่ามันเป็นวิธีที่น่าสนใจมาก เพราะว่าเขามีความตั้งใจจะออกแบบให้มันถูกใช้งานเช่นนั้น แต่บังเอิญว่าในขณะนั้นผมใช้งานอยู่แต่อินทิเกรตแอมป์ก็เลยไม่ได้ลองในส่วน นี้อย่างเป็นกิจลักษณะ พอดีว่า Virtus S250 MK II ถูกส่งมาถึงผมหลังจากรีวิว comet ออกไป จึงขอถือโอกาสรบวบยอดส่วนนั้นมาพูดถึงในภาพรวมทั้งตัว Comet เองและตัว Virtus S250 MK II ในวาระเดียวกันเสียเลยครับ
การต่อใข้งานจากเอาต์พุตของ comet โดยตรงทางช่องบาลานซ์เอาต์พุตบาลานซ์ของ Virtus S250 MK II ไม่มีปัญหาเรื่องของการขาดแคลนเกนขยาย เกนขยายที่ 29 dB ของแอมป์นี้สามาารถใช้งานกับภาคปรีแอมป์ในตัว Comet ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าไม่มีปัญหาทางด้านเทคนิค ในส่วนของเสียงที่ได้ต้องบอกว่ามันไม่เกินคาดสักเท่าไรนัก การต่อตรงกับภาคขยายเสียงที่มีความเป็นธรรมชาติในน้ำเสียงสูงๆ อย่างนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ Comet ได้เผยศักยภาพในตัวมันออกมามากขึ้นได้อีก
กับเพลงอัลบั้ม Blue (PCM 24.192, HDTrancks) ของ Joni Mitchell ซึ่งบันทึกเสียงมาแบบค่อนข้างดิบ ทั้งเสียงร้อง กีตาร์และเปียโน รับรู้ได้ว่ามีการปรุงแต่งทางเสียงมาน้อยถึงน้อยมาก ในบางซิสเต็มฟังแล้วผมว่ามันค่อนข้างแห้ง แข๊งและมีลักษณะเสียดแทงอารมณ์มากไปหน่อย ฟังไม่ค่อยเพลินหูสักเท่าไร่ แต่กับซิสเต็มนี้มันตีความแจกแจงความดิบนั้นออกมาในลักษณะที่ฟังดูสะอาดสะอ้านและมีความเป็นธรรมชาติ บางช่วงเสียงกีตาร์หรือเปียโนที่ผมฟังในขณะเปิดไฟสลัวมันชวนให้เผลอเคลิ้มไปได้เหมือนกันว่ากำลังเสพดนตรีสด เสียงต่างๆที่ถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนทำให้ตัวผมกับเสียงดนตรีเหมือนได้อยู่ใกล้ชิดกันมาก แต่มิได้ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ผมจึงสามารถปล่อยอารมณ์ให้คล้อยตามไปกับบทเพลงได้อย่างกลมกลืน
เปิดเครื่องแล้วเปิดใจ
ด้วยความที่ Virtus S250 MK II เป็นแอมป์มีกำลังขับมาก แถมยังแยกเป็นโมโนบล๊อคแยกอิสระจากกัน ไม่ต้องห่วงว่าวงจรแต่ละข้างจะดึงกำลังกันเอง ทำให้ตัวเลือกในการเล่นลำโพงสำหรับแอมป์คู่นี้นั้นเปิดกว้างมาก ใครที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้แอมป์วัตต์สูงๆ หรืออยากลองว่าเพิ่มกำลังขับแล้วจะได้อะไรเพิ่มมาบ้าง ยกหูโทรหาแล้วจองคิวให้เขายกไปให้ลองฟังถึงบ้านได้เลยครับ ที่เหลือก็ใช้วิจารณญาณตัดสินกันไปตามเนื้อผ้า ขอเพียงอย่าเพิ่งมองข้ามหรือดูแคลนแอมป์ไทยคู่นี้ไปเสียก่อน
โดยส่วนตัวผมคิดว่าการทำความรู้จักเครื่องเสียงย่อห้อนี้ นอกจากต้อง 'เปิดเครื่อง' เพื่อฟังเสียงของมันแล้ว ยังอาจจะต้องอาศัยการ 'เปิดใจ' ร่วมด้วยล่ะครับ เผลอๆ เรื่องหลังนี้อาจจะสำคัญกว่าเสียด้วยซ้ำ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |