Klipschorn AK6

นักเล่นท่านนึงกล่าวไว้ว่า
"Own the 70th Anniversaries and they are amazing. Went from floorstanding B&W's to the big corner horns, best decision I have ever made. Love them everyday. Not a huge fan of the grille and logo on the bass bin on these 75's but whoever buys these will be rewarded with decades of music or home theater enjoyment."
ซึ่งเป็นประโยคสั้นๆ แต่อธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับลำโพงตัวนี้ครบถ้วนแล้ว จริงๆผมจะจบแค่นี้ก็ได้ เพราะการได้อ่าน Quote นี้ก็เพียงพอสำหรับลำโพงคู่นี้ แต่เพื่อให้นักเล่นในบ้านเราได้รู้จีกตัวตนของลำโพงตัวนี้ ที่ถือเป็นลำโพงตัวสุดท้ายในซีรี่ย์นี้ที่ผมได้มาครอบครอง หลังจากได้ Heresy, Forte, Cornwall, La Scala มาแล้ว นี่จึงเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ผมรอคอยมานานและไม่ผิดหวังแม้แต่นิดเดียว

ประวัติความเป็นมา
ลำโพงในตระกูล Heritage จาก Klipsch ที่เริ่มเดินสายการผลิตครั้งแรกในปี 1946 ที่ Arkansas USA นับจากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 76 ปี ที่สายการผลิตและชื่อของ Klipschorn ไม่เคยห่างหายไปจากผู้คนที่หลงรักในเสียงดนตรีเลย ซึ่งนับจาก Klipschorn ตัวแรกออกมาอวดโฉมสู่สายตาชาวโลก ปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนรุ่นและ Re-Design ไปแล้วทั้งหมด 6 รุ่น โดยรหัสต่อท้ายจะตามด้วยเลขรุ่นนั่นเอง เท่ากับว่าอายุแต่ละรุ่นนั้นจะอยู่ราวๆ 12-13 ปี หรือทุกๆ 1 ทศวรรษ จะปรับปรุงใหม่สักทีครับ

Specification
ตัวลำโพงออกแบบเป็นลำโพง 3 ทาง ความไวสูง 105 dB น้ำหนักต่อข้าง 100 กิโลกรัม ตามสเปกลำโพงลงได้ลึก 33Hz – 20kHz และให้ความดังได้ต่อเนื่อง 121 dB ลำโพงมี Impedance ที่ 8 โอมห์ ดังนั้นนี่จึงเป็นลำโพงที่ขับง่ายมาก เราจึงเห็นชาวต่างชาติหลายคนนำไปประดับและเปิดเพลงในคลับหรือบาร์ขนาดเล็กๆจนถึงขนาดย่อมๆ เพื่อแสดงออกถึงรสนิยมและให้ลูกค้าได้เสพย์ดนตรีที่มีคุณภาพสูงที่สุดเท่าที่จะสัมผัสได้ครับ

Design
ตัวลำโพงมีสีให้เลือกทั้งหมดสามสี Black, Cherry และ Walnut
ลำโพงแต่ละข้างจะแบ่งโมดูลออกเป็น 2 ส่วนนั่นคือ
- ส่วนบน ที่ประกอบด้วย Tweeter และ MidRange เสียงกลางที่ยาวตั้งแต่หน้าตู้ไปจนสุดด้านลึกที่สุดของตู้และทำมุมแหลมเพื่อจิ้มเข้ากับมุมห้อง
- ส่วนล่าง ที่ทำหน้าที่เป็นโมดูลเบส ขับความถี่ต่ำ ติดตั้งวูฟเฟอร์ขนาด 15 นิ้ว หันหน้ายิงเข้าทางด้านหน้าตู้ แต่หน้าตู้จะออกแบบให้ปิดตาย มองไม่เห็นดอกวูฟเฟอร์เหมือนลำโพงทั่วไป เพื่อให้ความถี่ต่ำวิ่งไหลไปตามทางที่ออกแบบไว้จากหน้าไปหลังตู้ ให้เสียงกำทอนผ่านออกมาเป็นเสียงความถี่ต่ำที่บริสุทธิ์และกระชับฉับไวออกทางด้านข้างของตู้ และไหลออกไปตามห้อง เราจึงเห็นโมดูลนี้เป็นไม้ที่ตกแต่งด้วยลายไม้เต็มแผ่นที่ดูจากภายนอกจะมองไม่เห็นดอกลำโพงเหมือนลำโพงทั่วไป
*ในส่วนของโมดูลด้านบนและล่างนั้นจะมี Serial no. ที่เข้าคู่ตรงกัน อย่าวางสลับกัน
และลำโพงทั้งคู่จะมี Serial ที่รันต่อเนื่องกันระบุไว้ที่ข้างกล่องว่าคู่ที่เราได้รับมี Serial อะไรบ้าง

Un-Pack
เมื่อเราแกะลำโพงและประกอบเข้าด้วยกัน เราจะเห็นแผงหน้าที่เป็นแผงไม้ที่ประดับด้วยลายไม้เต็มแผงหน้า และเป็นลายเดียวกันเข้าคู่กัน แต่ในแต่ละคู่จะ random ลาย และลำโพงแต่ละคู่จะได้ลายที่มีสีความอ่อน แก่ไม่เท่ากัน ลายไม้สวยแตกต่างกันนิดหน่อย เนื่องจากลำโพง Klipschorn AK6 ทุกคู่จะถูกรับออเดอร์และผลิตแบบ Hand Made ด้วยมือล้วนๆที่โรงงานในอเมริกา ดังนั้นงานประกอบ รวมถึงลายไม้ สีความเข้มจึงไม่เป๋ะเหมือน Clone ออกจากโรงงานทั่วไป รวมถึงตำหนิอะไรเล็กๆน้อย ลายไม้ที่ไม่สม่ำเสมอ ที่เป็นอัตลักษณ์ของลำโพงแต่ละตัวที่จะได้ติดมาและทำให้จดจำและแยกแยะความแตกต่างของ Klipschorn แต่ละตัวด้วยครับ

Install / Setup
การติดตั้งลำโพงตัวนี้ควรใช้คนอย่างน้อย 2 คน ประกอบโมดูลทั้งสองเข้าด้วยกัน
การ wire สายนั้นจะทำได้ต่อเมื่อแกะแผง Grill ด้านข้างลำโพงออก เราจะเห็นแผง Binding Post เรียงกันอยู่ ซึ่งจะแตกต่างจากลำโพงปกติเล็กน้อย ตรงที่เราจะเสียบสายลำโพงจาก Amplifier เข้าไปที่ขั้วต่อ Bass และจะมีสายที่เตรียมไว้ให้เชื่อมจาก Tweeter และ Mid Range ของ Module ส่วนบนให้มาต่อกับขั้วต่อของ Module ล่างอีกสองชุด ดังนั้นเมื่อเสียบสายจากแอมป์แล้ว เราจะต้องต่อสายจาก Tweeter, Midrange มาเข้ากับ Module ส่วนล่างด้วย ตามรูป
และสิ่งที่ผมชอบในความใส่ใจของงานออกแบบของลำโพงตัวนี้ที่สุดก็คือ เขาออกแบบตัวประคองและเก็บสายมาให้กับลำโพงทั้งสองข้าง เมื่อเราติดตั้งและเสียบสายลำโพงแล้ว เราจะเห็นมุมล่างของลำโพงจะมีที่สอดเก็บสายให้เรียบร้อย ทำให้สายมองไม่เห็น และเห็นเพียงสายวิ่งเข้าใต้ตู้ลำโพงแล้วถูกปิดด้วยกริลลำโพง และตัวเก็บสายตรงนี้ยังช่วยยึดและประคองสาย ในกรณีที่สายมีขนาดใหญ่และหนัก ไม่ให้ห้อยรั้งจนทำลายขั้วต่อ binding post ลำโพง เหมือนที่เวลาเราไปซื้อลำโพงมือสองต่อจากนักเล่นที่ชอบเล่นสาย Audiophile ราคาแพงๆและเปลี่ยนสายบ่อยๆ เราจะพบว่าบางครั้งขั้วต่อลำโพง Binding Post หลวมจนเรารับรู้ได้ บางครั้งขั้วต่อที่ให้อุปกรณ์คุณภาพไม่ดีมาก็ถูกรั้งจนร้าวได้ เป็นอีกนึวภัยเงียบที่ไม่มีคนสนใจ แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆนะครับเกี่ยวกับการจัดการสาย โดยเฉพาะพวกสายหนักๆ ใหญ่ๆนี่คือทำอันตรายต่อเครื่องได้มาก


เมื่อ Wire สายเรียบร้อยแล้ว การจัดวางลำโพง Klipschorn นั้นถือเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทายมาที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในบรรดาลำโพงที่ผมเคยครอบครอง เพราะมันไวต่อตำแหน่งการวางมาก ถึงมากที่สุด เนื่องจากมันเป็น Folded Horn ที่อาศัยการไหลของเบสจากภายในตู้สู่นอกตู้ มันจึงทำให้ทุกตำแหน่งของลำโพงนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงของเสียงได้ตั้งแต่ ไม่มีเบสเลย ไปจนเบสท่วมท้น กระชับ หนักแน่น ทิ้งตัวฟังอิ่มกันเลยทีเดียว
Klipschorn รุ่นใหม่นี้ติดตั้ง False Corner มาให้ที่ตัวตู้ ทำให้สามารถวางลอยและไม่จำเป็นต้องวางมุมห้องแล้ว แต่ในคำแนะนำก็ยังแนะนำว่าถ้าอยาก Maximize ความถี่ต่ำให้สูงสุด การวางมุมห้องจะยังได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการวางลอยออกจากมุมห้อง ซึ่งจะแตกต่างจาก Klipschorn รุ่นก่อนๆที่จำเป็นจะต้องวางมุมห้องเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเบสจะน้อยมาก
ซึ่งการทดลอง เราทดสอบวางที่ตำแหน่งต่างๆนั้น คุณภาพเสียงของความถี่ต่ำนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละจุด ตั้งแต่จุดที่เบสเยอะที่สุดอย่างมุมห้อง ไปจนค่อยๆถอยออกมา เราจะได้อารมณ์ และความถี่ต่ำที่ไม่เหมือนกัน เราจึงสามารถจูนเสียงเบสได้ตามใจและจูนให้เหมาะกับห้องฟังและแนวเพลงเราได้
แต่ตำแหน่งที่ดีที่สุดที่เขาแนะนำก็คือมุมห้อง แต่มีข้อแม้ว่ามุมห้องนั้นเมื่อวางไปแล้วลำโพงหน้าจะเฉียงและหันหน้า คล้ายกับโทอิน (Toe-In) มาทำมุมประมาณ 45 องศา ทำให้ห้องฟังที่มีลักษณะลึก และเก้าอี้นั่งฟังลึกลงไปจะทำให้จุดตัดของการโทอินของตัวลำโพง มันตัดไปไม่ถึงตำแหน่งนั่งฟัง นั่นคือเหมือนเรานั่งลึกถอยลงไปจากเวทีนั่นเอง ซึ่งห้องผมเป็นลักษณะนี้ จึงทำให้ไม่สามารถเข้ามุมห้องเป๋ะๆได้ จึงต้องดึงลำโพงลอยขึ้นมานิดหน่อยแล้วจึงเริ่มจูนเบสโดยดึงออกหรือถอยเข้าทีละนิดครับ

ระยะเวลาในการ Break-in ลำโพงตัวนี้ ต้องเรียนว่ามีผลมาก และต้องใช้เวลาฟังอย่างใจเย็น ในช่วงแรกนั้นลำโพงอาจมีอาการเบสน้อย หรือเบสอั้นๆบ้าง เนื่องจากดอกวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งแบบ Folded Horn ขนาด 15 นิ้ว ยังใหม่มาก แต่เมื่อมันทำงานไปสักพักจนได้ที่ เราจึงเริ่มฟังแบบจริงจังกับมันได้ ในระหว่างนี้ก็หาตำแหน่งคร่าวๆและนั่งฟังใจเย็นๆไปก่อน แต่ระหว่างที่มันยังไม่พ้น Break-In นี้ ก็มีวี่แววที่ดีกว่าลำโพงตัวอื่นที่ผมเคยใช้ หรือพูดง่ายๆว่ามันฟังดีตั้งแต่แกะมาเลย เพียงแต่เรารู้ว่ามันยังไม่พ้นระยะเบิร์นเนื่องจากเบสที่ยังไม่นิ่งและสังเกตได้จากปริมาณเบสที่มีการค่อยๆพัฒนาเพิ่มขึ้นไปทีละนิดๆจากการฟังเพลงเดิมและตำแหน่งเดิม
* ช่วงที่ผมใช้ Klipsch La Scala นั้นในช่วงที่แกะมาฟังใหม่ๆนั้นแย่กว่านี้มาก และใช้เวลาเป็นปีกว่าจะหาตำแหน่งและจุดที่เหมาะสมและกว่าจะอยู่ตัว แต่ Klipschorn นี้ แม้แกะมาใหม่ๆก็เริ่มฟังดีกว่า La Scala ที่เข้าที่เข้าทางแล้วด้วยซ้ำ

--------------------------------
Moon Neo350P (Preamp + Dac)
Primare Pre35 (Streaming)
Furutech DPS4.1Power cable
Tchernov Reference Speaker / Power cable
--------------------------------
Listening
หลังจากจบการติดตั้งและ Setup ที่แสนเหนื่อยยากแล้ว (เนื่องจากลำโพงหนัก 100 กิโลกรัม) ก็มานั่งลองฟังกันดู ซึ่งจริงๆแล้วผมเชื่อว่า ในระหว่างนี้ฟังไปเราก็ต้องมีการขยับลำโพงอีกเรื่อยๆจนกว่าจะพ้นระยะเบรดอิน และเข้าที่และเจอตำแหน่งที่ดีที่สุด ซึ่งในบางห้องมันอาจจะไม่ใช่ที่มุมห้องเสมอไปก็ได้
แนวเสียงของ Klipschorn นั้นพูดง่ายๆก็คือ Live แต่สิ่งที่ชัดเจนหลังจากเปิดฟังเพียงแค่ไม่กี่นาทีและจับต้องได้มากที่สุดก็คือ ความชัดและบรรยากาศ เวลาเราเอามันมาเปิดเพลงเก่าที่เราชอบ แล้วมาฟังอีกครั้งกับ Klipschorn ต้องบอกว่ามันเพราะน้ำตาไหลจริงๆครับ บรรยากาศ เสียงที่ไม่เคยได้ยิน อารมณ์มันดึงมาหมดทุกหยดทั้งเสียงลีดกีตาร์ เสียงไลน์เบส และเสียงร้อง
เนื่องจากความชัดของ klipschorn ต้องบอกว่ามันชัดมาก ชัดจนได้ยิน noise ที่เกิดจากการบันทึกเสียงของเพลงที่่บันทึกมาไม่ค่อยดีเช่นเพลงไทยสมัยก่อน ได้ยินเสียงต่างๆที่เราไม่เคยได้ยินในลำโพงอื่นๆ
และรวมถึงบรรยากาศกลางแหลมของมันนั้นที่ทั้งละเมียดละไม ลื่นหู และให้ความชัดเจนไปพร้อมๆกัน แผ่ปกคลุมล่องลอยเต็มห้อง มิติโฟกัส และเวทีกว้างขวาง และจับต้องได้ เรารู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ประหนึ่งว่ามีนักร้องเดินร้องและเราเหมือนเอามือไปสัมผัสกับนักดนตรีหรือหยิบโน๊ตที่ลอยอยู่ในอากาศมาใส่กระเป๋าเก็บเกี่ยวบรรยากาศเหล่านี้เอาไว้ได้เลย มันให้เวทีและเนื้อเสียงของกลางแหลมโอ้โถง ใหญ่โต ชัด แต่ไม่บาดหู เป็นลำโพงที่พ่นบรรยากาศให้คลุมไปทั้งห้องได้ดี และไม่เกี่ยงกับประเภทแนวเพลง เพราะไม่ว่าจะเพลงแนวไหนก็ดูเหมือนว่ามันจะทำได้ดีใกล้ๆกัน ยกเว้นบางแนวที่เป็นทางที่เขาถนัดเช่นแนว Jazz, Vocal หรือพวกแซกโซโฟนที่ให้อารมณ์และบรรยากาศที่เหนือกว่าลำโพงแนวอื่นๆมากนัก
สิ่งที่ผมพบเจอมาในลำโพงในระดับราคานี้ส่วนใหญ่ก็คือ ลำโพงบางคู่เวลาฟังเบาๆแล้วดี มักจะเปิดดังๆแล้วไม่ดี คือดังแล้วเสียงไม่นิ่ง พร่า อื้ออึงและฟังออกว่ามันแสบหูและไม่ไหว ไม่เหมาะจะเปิดในความดังแบบนี้ และลำโพงบางตัวแม้แต่ใน Series Heritage เองก็ตามบางตัวที่ฟังดังๆแล้วดีมาก แต่พอฟังค่อยๆแล้วอาจจะไม่ได้รายละเอียดครบเหมือนลำโพงยังทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ จนต้องเร่งดังถึงจุดนึงถึงจะได้ครบ
แต่ Klipschorn ตัวนี้เป็นลำโพงตัวแรกที่ผมยอมรับว่ามันฟังได้ดีทั้งเบาและดัง และเป็นลำโพงที่ยิ่งเร่งดัง มันยิ่งนิ่ง ไม่มีอาการวูบวาบ ไม่ไหว หรือทีท่าว่าจะถอยหรือรำคาญหูแม้แต่นิด เหมือนยิ้งเชิญชวนว่า เร่งอีกสิ เร่งอีก ฉันยังไปได้อีกเยอะนะ

ในส่วนของความถี่ต่ำนั้นขึ้นอยู่กับห้องแต่ละห้องและตำแหน่งวาง แต่ส่วนตัวลำโพงใน Series Heritage นั้น ตัวที่คุณภาพความถี่่ต่ำลงลึกและให้เบสที่หนักและเยอะที่สุดโดยไม่ต้องพิถีพิถันกับจุดวางมากก็ยังคงเป็น Cornwall IV และรองลงมาก็เป็น Klipschorn และรองลงมาก็คือ Forte และ La Scala และ Heresy ตามลำดับ (ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ครอบครองและฟังครบทุกตัวแล้ว Klipschorn นี่เป็นตัวสุดท้ายที่มีเติมเต็มให้ครบ)
ความถี่ต่ำของ Klipschorn นั้นหากเซ็ทอัพได้ลงตัว ต้องบอกว่าแทบจะไม่เป็นรองเบสจากลำโพงตัวใดเลย เพราะมันทั้งสะอาด กระชับ และไม่หยานครางจนรบกวนรายละเอียดเลย แม้ปริมาณเบสจะไม่ได้เยอะสะใจพวก Bass Mania หรือ Basshead แต่เป็นเบสที่มีคุณภาพสูง แน่น และฟังได้กับเพลงหลากหลายแนว
เนื่องจากที่ได้ลองมากับลำโพงหลายๆตัว เราพบว่าหากผู้ฟังเป็นนักฟังที่ฟังเพลงหลากหลายประเภทมาก ซึ่งส่วนใหญ่มีน้อย แม้ส่วนใหญ่จะบอกว่าตัวเองฟังได้ทุกแนว แต่จริงๆส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัวว่าตัวจริงๆแล้วตัวเองฟังแค่แนวเดียวนั้น เรามักจะพบว่าลำโพงแทบทุกตัวในโลกหลังจากเซ็ทอัพแล้ว มันจะมีแนวเพลงที่ทำได้ดีมาก และทำได้ไม่ดีเท่าเสมอ เช่นหากเราฟัง Vocal หรือเพลงช้ามากๆ แนวเพลงที่เราใช้เซ็ทอัพหรือฟังบ่อยๆ เราก็จะจูนมันออกมาให้ฟังกับเพลงแนวนี้แล้วฟังดี ซึ่งส่วนใหญ่พอไปฟังเพลงวัยรุ่น R&B ที่มีเบสอีกรูปแบบนึง มันก็มันจะเกินบ้าง หรือล้นไปบ้าง หรือฟังเพลงช้าดี แต่เพลงเร็วที่วัยรุ่นฟังก็มักฟังไม่ค่อยดีเท่าไร หรือฟังฮิปฮอปไม่ได้ แต่ฟังเพลงเก่าๆดี อะไรทำนองนี้ แม้แต่ลำโพงที่ผมชอบอย่าง La Scala ที่มันฟังเพลงหลายๆแนวดีๆ แต่กับ hiphop นั้นมันทำได้ไม่ดีเสียเลย
แต่กับ Klipschorn AK6 ตัวนี้น่าประหลาดตรงที่ว่า ผมปล่อยมันเบิร์น โดยเปิดเพลงไหลไปเรื่อยๆ เพลงมันก็เปิดเพลงหลากหลายแนวทั้ง classic, jazz, rock, hiphop, pop ผมพบว่ามันฟังได้ดีเกือบทุกแนวทีเดียว

ข้อดี
1. ให้บรรยากาศที่เป็นสุดยอดลำโพงตัวนึงเท่าที่เคยสัมผัส
2. เป็นลำโพงที่มีความไวสูง สามารถเอาแอมป์กำลังขับต่ำมาขับได้ และแม้จะใช้แอมป์ราคาไม่แพง ไปจนถึงแอมป์ดูหนังที่เสียงหยาบกร้านและคมชัด พุ่งสดมาขับ ก็ดูเหมือนว่าจะทำลายคุณภาพเสียงมันไม่ได้ แนวเสียงที่ได้ยังไม่กัดหู และได้บรรยากาศที่ดีอยู่ และด้วยความที่มันขับง่ายนี่เอง จึงมีข้อดีของมันก็คือเราสามารถจูนเสียงให้นุ่มนวล หวานละมุนเพื่อเน้นนำฟังเพลง Vocal หรือเพลงแนว Vintage เก่าๆได้จากแอมป์ที่นำมาขับได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอมป์หลอดหวานๆอย่าง 300B หรือแอมป์ Solid ที่คมชัด ความเพี้ยนต่ำ เพื่อเพิ่มความไลฟ์เอาไว้ฟังดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น ก็สามารถเลือกได้ตามจริตของผู้ฟังและผู้ครอบครอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้แอมป์แพงระยับระดับ 2-3 เท่าของราคาลำโพงมาขับแต่อย่างใด
3. รุ่น AK6 สามารถวางในตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่มุมห้องได้แล้ว และสามารถจูนความถี่ต่ำได้ตามตำแหน่งที่วาง หากอยากได้เบสเต็มที่ ที่ทางผู้ผลิตออกแบบไว้ ก็สามารถวางในจุดที่มุมห้องได้ แต่หากอยากจูนหรือลดปริมาณลงก็สามารถถอยมันห่างออกมาจากมุมและหาตำแหน่งที่เราชอบได้เอง
4. หน้าตาและรูปลักษณ์ที่แม้จะเป็นเรื่องปัจเจกและคนเราชอบแตกต่างกัน แต่ต้องยอมรับว่า หน้าตาและลายไม้ของ Klipschorn AK6 นั้นสะดุดตา และให้ความคลาสสิค และสวยงามประดุจเครื่องตกแต่งชั้นดีที่เหมาะจะไปตั้งอยู่ในห้องฟังขนาดใหญ่ และให้แขกไปใครมาหันมามองอย่างสนใจว่า นี่เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ไว้ทำอะไร เพราะมันดูไม่เหมือนลำโพง (เนื่องจากมันมองไม่เห็นดอกลำโพงเลย)
5. บ้านเราราคาลำโพงนั้นถือว่าเทียบเท่ากับเมืองนอก เนื่องจากเมืองนอกนั้นราคาจำหน่ายอยู่ที่ $16,498.00 หรือราวๆ 630,000 บาท แต่บ้านเราขายถูกกว่านิดหน่อย และไม่สั่งและเสียค่าขนส่งที่ตกร่วม 200 กิโลกรัม ที่ไม่ว่าจะขนมาด้วยวิธีไหนก็นึกไม่ออกว่าค่าส่งจะไม่ทะลุหลายหมื่นได้อย่างไร (และยังไม่รวมภาษี) นี่จึงนับว่าเป็นลำโพง Hi-End อีกตัวที่คุ้ม และบ้านเราทำราคาได้ดี เพราะปกติสินค้าที่ไม่ Mass และขายจำนวนเยอะๆ เช่น AVR หรือเครื่องเล่นบลูเรย์ทั่วๆไปนั้น การจะทำราคาได้เท่าเมืองนอกนั้นยากจริงๆ

ข้อเสีย
1. ลำโพงมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมาก การติดตั้งและการเคลื่อนย้ายเวลาเซ็ทอัพนั้นทำได้ยากและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง และอาจจะไม่เหมาะกับห้องขนาดเล็กๆเท่าไร่
2. ลำโพง Klipschorn ทุกคู่นั้นผลิตมือ ดังนั้นลำโพงทุกคู่ที่แกะออกมมาจะมีอัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน สีสัน ลายไม้ รวมไปถึง mark หรือรอยตำหนิต่างๆที่มันอาจจะไม่เนี๊ยบและต้องทำใจไว้ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะการแกะแล้วได้ลำโพงที่เนี๊ยบ แป๋ะทุกจุดกับลำโพงซีรี่ย์นี้นั้นต้องบอกยากมากๆ ซึ่งที่เราพูดแบบนี้ก็เพราะจากการที่แกะลำโพงหลายๆคู่นั้นมักจะมีอัตลักษณ์เล็กๆน้อยๆ รวมถึงตำหนิเล็กๆน้อยๆที่เกิดได้
3. ลำโพง Klipschorn นั้น ให้ความชัด และเปิดเผยทุกอณูของเพลงที่เราเล่น ดังนั้นหากเราเอาเพลงที่บันทึกมาไม่ละเอียดมากนัก เช่นเพลงไทยวัยรุ่นสมัยเมื่อ 5-10 ปีที่แล้วมาเล่น อาจจะรู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกว่า noise มันเยอะแยะเต็มไปหมด รวมถึงได้ยินเสียงอะไรต่อมิอะไรไม่รู้ ที่มันเกิดจากกระบวนการบันทึกมาได้เป็นเรื่องปกติครับ แต่กลับกันหากป้อน source ที่ดีมีคุณภาพสูงเข้าไป ก็จะพบความสะอาดและยอดเยี่ยมของมันเช่นกัน
