Onkyo RZ50
หลังจากที่บริษัทแม่ของ Onkyo ซึ่งก็คือ Onkyo Corporation ได้ส่งต่อผลิตภัณฑ์ Onkyo ให้กับ VOXX
สินค้า Line up ใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวออกสู่สายตาชาวโลกในช่วงปลายปีที่แล้วนั่นก็คือ Onkyo RZ50 ซึ่งถือเป็นเรือธง รุ่นสูงสุดที่มีในตลาด ณ ปัจจุบันซึ่งยังไม่มีสินค้าในหมวด Pre-Processor ออกมาจำหน่าย โดยเสียงตอบรับจากชาวโลกที่มีต่อ RZ50 นั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีและสเปกและฟังชั่นที่ได้นั่นก็ค่อนข้างน่าสนใจ ซึ่งเราขอยกผลเทสของทาง audiosciencereview มาให้ชมกัน จะพบว่าผลการเทสนั้นค่อนข้างเกาะอยู่กลุ่มอันดับต้นๆ https://www.audiosciencereview.com/forum/index.php?threads/onkyo-tx-rz50-review-home-theater-avr.30842/
สเปกของ RZ50 นั้นใช้ DAC TI PCM1690 และ PCM 5101aในส่วนของ DAC TI PCM1690 เป็น Dac 24-Bit, 192-kHz รองรับ S/N Ratio ที่ 113dB ตัวเครื่องรองรับ 9.2 ch และรองรับการ Process ได้ 11.2 channel (สามารถต่อ external power amp เล่นได้สูงสุด 7.2.4)HDMIให้ HDMI Input แบบ 2.1 มา 6 ช่องและ HDMI Output (Main / Sub) แบบ 2.1 มาทั้ง 2 ช่อง โดยช่อง HDMI Main Out จะรองรับ eARCHDMI Output ทั้งสองช่องทำงานเป็น Mirror ก็คือช่อง HDMI Output1 ออกอะไร ช่อง HDMI Output2 ก็จะออกแบบนั้นด้วยเช่นกันกำลังขับ (วัดที่การต่อแบบ 2 channels)ให้กำลังขับวัดที่ 2 channel ที่ 8 ohms = 120 W/Ch (8 ohms, 20 Hz–20 kHz, 0.08% THD, 2 channels driven, FTC) เทียบกับ AVR ใน Range ราคาและสเปกเดียวกันอย่าง Marantz SR705 จะอยู่ที่ = 125 W (8 Ω/ohms, 20 Hz – 20 kHz with 0.05 % T.H.D.) S/N Ratio ของ RZ50 จะอยู่ที่ = 106 dB (Line, IHF-A) เทียบกับ AVR ใน Range ราคาและสเปกเดียวกันอย่าง Marantz SR705 จะอยู่ที่ = 100 dB (IHF–A)
Room Correction ทาง Onkyo ให้ Dirac Live แบบ Full Version มา (20Hz to 20kHz) สามารถเชื่อมต่อ Dirac Live ผ่าน Laptop, Tablet ได้ทันทีไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใดๆ ในกล่องแถมไมค์มาให้ด้วยสำหรับใช้งานง่ายๆ แต่ให้เราแนะนำหากต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำ เที่ยงตรงและ มีคุณภาพ ควรใช้ไมค์อื่นที่มีคุณภาพสูงกว่านี้ หลังจากทดสอบใช้งาน ให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือและใช้งานได้ดีกว่า Auto Room Correction ตัวอื่นใน AV Receiver ในระดับราคานี้ทั้งหมดแทบทุกตัวครับ (ขึ้นอยู่กับคุณภาพไมค์ และความถูกต้องในการวัดของผู้ใช้งานรวมถึงสภาพแวดล้อมและเสียงรบกวนต่างๆ)MultiZoneฟังชั่น MultiZone ของ RZ50 นั้นเคลมเอาไว้ว่าสามารถทำงานแยกกันได้ 3 Zones โดยใช้ Main Zone เป็น 5.2 และ Zone 2, 3 เป็น 2.0 โดยในส่วนของ Zone 2, 3 นั้นไม่เพียงแต่ส่งสัญญาณออกไปเท่านั้นยังสามารถส่งกำลังขับไปต่อลำโพงได้เลยโดยไม่ต้องใช้ External Amp มาขับลำโพง (ลำโพงอาจจะต้องตัวเล็กหน่อยและไม่กินกำลังขับมาก) ซึ่งในส่วนนี้เราไม่ได้ทดสอบ ใครที่ลองใช้งานแล้วก็สามารถมาเล่าให้ฟังได้ครับว่ามันทำงานได้จริงไหมStreaming RZ50 ให้ฟังชั่นในการ Streaming มาในระดับที่เกือบครบ เช่น Spotify Connect (สามารถเปิด App Spotify แล้วเลือก Output Onkyo RZ50 ได้เลย) และตัวอื่นๆ Sonos, Chromecast , AirPlay 2, DTS Play-Fi จะขาดก็แค่ Tidal connect, Roon ready, Qobuz Connect และรวมไปถึงฟังชั่นล้ำๆอย่าง Hey Google และ Alexa ที่หากต้องการใช้งานจะขายแยกต่างหากให้อัพเดทเพิ่ม (หากต้องการจะใช้) Gaming Supportตัว RZ50 นั้นให้ฟังชั่นที่รองรับและช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการเล่นเกมให้ดีที่สุดมาครบครัน ไม่ว่าจะเป็น - VRR เป็นเทคโนโลยีในการซิงโครไนซ์อัตราเฟรม (FPS) ของเกมกับอัตราการ Refresh Rate ของจอภาพ (Hz) ให้เท่ากัน ซึ่งจะให้การแสดงผลที่ดี และลดการเกิด Screen Tearing ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี VSYNC - ALLM Auto Low Latency Mode (ALLM จะตรวจพบเมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเกม โดยจะลด input lag หรือความล่าช้าระหว่างอินพุตเมื่อกดปุ่มจากคอนโทรลเลอร์และการตอบสนองผ่านไปแสดงผลบนทีวี) - QFT (Quick Frame Transport) - DSC (Display Stream Compression) - QMS (Quick Media Switching)

การเชื่อมต่อ / ใช้งานเนื่องจาก RZ50 นั้นเป็น AV Receiver (AVR) ที่มีฟังชั่นในการทำงานเป็น Pre-Processor และ Amplifier ในตัวเดียวกัน ตัวมันจึงสามารถต่อสายลำโพงออกไปที่ลำโพงได้เลยโดยไม่ต้องใช้ Power Amp แต่อย่างใด และในขณะเดียวกัน ตัวมันก็สามารถทำงานเป็น Pre-Processor เพียงอย่างเดียว โดยให้มัน Process เสียงและส่งสัญญาณออกผ่านทางช่องที่เรียกว่า Pre-Out ที่เตรียมไว้ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ว่าจะให้แชนแนลไหนส่งออกไปให้ Power Amp ภายนอกทำงาน โดย Pre-Out ของ RZ50 จะรองรับแค่ RCA Output (Un-Balance) แต่ไม่รองรับ XLR (Balance) เราอาจจะเลือกต่อ Pre-Out แค่บางแชนแนลเช่น L / C / R โดยให้ RZ50 ทำงานเป็นภาค Pre เพียงอย่างเดียวแค่สามแชนแนลนี้ และให้แชนแนลที่เหลือเช่น Surround, Surround Back, Top Ceiling ยังให้ RZ50 ทั้งทำหน้าที่เป็น Pre และจ่ายไฟให้ลำโพงไปพร้อมๆกันก็ได้หรือจะเลือกให้ RZ50 ทำงานแค่ภาค Pre เพียงอย่างเดียว แต่ไม่จ่ายไฟให้ลำโพงเลย โดยต่อลำโพงทุกแชนแนลออกไปให้ Power Amp ทำงานทั้งหมดก็ได้เช่นกันครับและในการทดสอบเพื่อให้ผลลัพธ์คุณภาพเสียงออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เราขออนุญาติเลือกใช้การต่อ Pre-Out ออกไป External Power Amp ให้ขับลำโพงที่เราใช้ทดสอบ (Klipsch RF-7 III, Klipsch RP-500M ii, Kef R600C, Velodyn Impact 10 , Power Amp Emotiva XPA5 Gen3)
User Interface / การใช้งาน / Remote controlการใช้งานของ RZ50 นั้นต้องบอกว่าด้วยธรรมชาติของ AV Receiver สัญญาติญี่ปุ่น เราจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความยากและความซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นเมนูที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว และการบู๊ทเครื่องที่แทบจะไม่ต้องรอ กดแล้วติดเลยเหมือนเครื่อง AV Receiver ค่ายญี่ปุ่นอื่นๆทั่วไป การสลับและจับ HDMI ก็ทำได้รวดเร็วและแม่นยำตามปกติ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเครื่องที่ใช้งานง่ายและ User Friendly มาก ใช้ง่ายและเหมาะกับ User ที่ใช้งานมากกว่าคนเล่น Home Theater ที่แสวงหาความเป็นที่สุด ความละเอียด ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะเมื่อมันง่ายมันก็ต้องแลกมากับความละเอียดและคุณภาพในบางอย่างที่ต้องลดทอนลงไป เช่นการปรับค่าต่างๆในตัว RZ50 นั้นก็จะทำได้ระดับนึง ไม่ละเอียดเหมือนใน Pre-Processor รุ่นแพงๆของฝรั่ง ยกตัวอย่างเช่นการปรับ Cross Over ก็จะทำได้ในระดับหลักสิบ เช่น เราสามารถปรับ Corss จาก 30 เป็น 40, 50 , 60 แต่ไม่สามารถปรับ 31,32,33 ได้แบบ Pre-Processor แพงๆ ซึ่งรวมไปถึง Distance ด้วยครับและตัวเครื่องจะไม่มี WEB UI ให้ใช้งาน ต้องสั่งการผ่าน Remote หรือ Application ของ Onkyo เองในส่วนของ Remote นั้นออกแบบมาได้ดูเรียบง่าย ใช้งานง่าย เราสามารถเรียนรู้และกดปุ่มหลักที่ใช้งานบ่อยๆเช่น Volume, Menu, Return, ทิศทางได้ง่ายโดยแทบไม่ต้องก้มดูได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียก็คือ Remote นั้นดูไม่ค่อยมีราคา และดูคล้าย Remote พวกกล่องดาวเทียมไปหน่อย (และไม่มีไฟ Blacklit ด้วย)
Sound (แนวเสียง)หลังจากที่เราต่อสายต่างๆเรียบร้อย โดยใช้สายสัญญาณ RCA ต่อออกไป External Power Amp และต่อสายสัญญาณ Subwoofer ออกไปที่ Subwoofer (รองรับเฉพาะ RCA และรองรับการต่อได้ 2 Subwoofer)ตัวเครื่องหลังจากเปิดใช้งาน จะขึ้นหน้า Initial Setup ให้เรา Set ค่าง่ายๆก่อนเริ่มใช้งานเช่น เลือก Speaker Layout ว่าเราจะเล่นเท่าไร ลำโพงกี่ตัว และหลังจากทำเสร็จ เราสามารถเลือกเทส Tone ว่าเสียงออกครบตามจำนวนลำโพงและตรงกับแชนแนลที่เราตั้งไว้ไหม (ในขั้นตอนนี้ผมสังเกตว่าตอนกด Test Tone ตัวโปรแกรมเร่งเสียงขึ้นไปเกือบสุด 80-90 ผมจึงไม่มั่นใจว่าเป็นบั๊กหรือไม่ แต่ที่แน่ๆผมจึงยังไม่เปิด Power Amp เพราะกลัวลำโพงเสียหาย ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังในการต่ออุปกรณ์จำพวก Pre และ Power Amp เข้าด้วยกันที่สุดอย่างนึงก็คือ Volume ที่มันอาจจะค้างที่ตำแหน่งสูงๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวครับ) และผมจึงกด Skip ออกมาและไปรัน Test Tone ภายหลังที่เมนูของตัวเครื่องเอง ก็พบว่าสามารถปรับลด Volume ที่ต้องการได้ ไม่มีการเร่งไปเองที่ 80-90 เหมือนตอน Initial Setup แล้วแนวเสียงที่ได้ต้องเรียนว่า ในช่วงระกับราคาเดียวกันนี้เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่สเปกและราคาเดียวกันเช่น Marantz SR7015 แล้ว ตัว RZ50 นั้นจะให้แนวเสียงที่แตกต่างออกไป แต่ยังคงให้แนวเสียงที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ Onkyo ที่เราคุ้นเคยโดยเฉพาะในเรื่องของย่านเสียงต่ำ และพละกำลังและแรงปะทะของเสียงเบส ในขณะที่ในย่านกลางแหลมนั้น Improve จาก Onkyo เดิมๆที่เราเคยคุ้นชินว่าเสียงมันจะติดแนว Dark หรือทึบไปนิดนึง ซึ่งสำหรับ RZ50 ที่เราได้ฟังนี้นั้น คุณภาพเสียงแหลมนั้นทำได้ดีกว่าเดิมไปได้มากและไกลขึ้นเยอะ มีรายละเอียด ทอดยาว เป็นประกายและพุ่งสดดี แม้ความสะอาดนั้นเมื่อเทียบกับ Pre ราคาแพงๆจะยังไม่กระจ่างและใสกิ๊ก แต่ยังมีเมฆหมอกมัวๆมาปกคลุมอยู่บ้าง ตามราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ แต่แค่นี้ก็ถือว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันนั้น ก็ดีกว่ามากแล้วเช่นกันจุดเด่นของ RZ50 ก็คือเบสที่ให้กำลังและความถี่ต่ำค่อนข้างดี หนักแน่น ลูกไม่ใหญ่แต่ควบแน่นและอัดแน่นกำลังดี ไม่ใหญ่แต่ภายในโปร่ง ความถี่ต่ำมีดีเทลในระดับราคานี้เท่าที่ที่จะให้ได้ เมื่อเทียบกับบุคลิคของคู่แข่ง นั้นจะให้แนวเสียงที่ต่างออกไป นั่นคือเบสของฝั่งค่ายคู่แข่ง จะฟังผ่อนคลายกว่า ลูกใหญ่ แผ่และไม่ควบแน่นเท่านี้ ทำให้การฟังนั้นดูผ่อนคลายฟังสบายและไม่รุกเร้าและไม่ดุดันเท่ากับของ Onkyo ที่พลังเบสนั้นดูจะถึงเนื้อถึงตัว มีพละกำลัง มีแรงปะทะ มีเนื้อมีหนัง และให้กำลังและควบแน่นกว่าครับ การต่อกับลำโพงดูหนังอย่าง klipsch RF-7 III นั้นยิ่งทำให้พลังเบสมากและกระแทกเสริมอรรถรสในการดูหนังได้ดี และการเก็บตัวของความถี่ต่ำก็ทำได้ดีในระดับราคานี้เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ไม่แผ่ออกมาจนทำให้การดูหนังรู้สึกนุ่มนิ่มและกวนกลางแหลม
ผมลองทดสอบด้วยหนังที่ดูประจำและเพลงที่เปิดบ่อยๆ คุณภาพของกลางแหลมนั้นถือว่าดีกว่าที่ผมคิดไว้มาก โดยเฉพาะในเรื่องความคมชัด ที่แต่เดิมนั้นเป็นจุดอ่อนของ Onkyo ที่ค่อนข้างจะ Muddy หน่อยๆ แต่ RZ50 นั้นให้กลางแหลมที่เปิดกว่าเดิม ชัดเจน เปิดเผย สดนิดๆ เป็นแหลมที่เหมาะกับการดูหนัง เน้นชัดเจน คม ดูหนังสนุก จะแจ้ง คมชัด แต่สำหรับในการฟังเพลงอาจจะคมและแข๊งและขาดความนุ่มนวลไปสักนิดสำหรับบางท่านได้ ซึ่งตัวนี้แหลมจะชัดและให้รายละเอียดดีกว่า Onkyo รุ่นเก่าๆที่ผ่านมา แต่ส่วนตัวในระดับราคานี้ผมว่า Onkyo ให้มาเท่าที่มันให้ได้แล้ว ถ้าให้กลางแหลมที่ทั้งชัดและสะอาด กว่านี้ผมว่าเราไม่สามารถหาได้ใน AV Receiver ระดับราคานี้ และอาจต้องกระเถิบขึ้นไป Pre-Pro ในระดับราคามากกว่านี้อีก 2-3 เท่าแล้วครับในส่วนของกลางแหลม น่าจะถูกใจสำหรับคนที่ชอบแหลมสไตล์สดๆ บู๊ๆ ดุดันสไตล์นี้และชอบดูหนังแอคชั่นหรือฟังเพลงทั่วๆไป จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าคนที่เน้นสไตล์แหลมเบาๆเบสบางๆ ฟังพริ้วๆครับ ส่วนตัวผมชอบแหลมของฝั่ง RZ50 ตัวใหม่นี้พอสมควรครับ ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นเรือธงอย่าง RZ5100 ที่เป็น PrePro แล้ว แหลมจะชัดเจนและให้รายละเอียดได้ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ความสะอาดและเมฆหมอก รวมไปถึงการแยกแยะรายละเอียดแต่ละแชนแนลนั้นก็จะทำได้เท่าที่ AV Receiveer ดีๆสักเครื่องจะทำได้เต็มที่ แต่ก็อาจจะแยกแยะได้ไม่จะแจ้งเท่ากับ PrePro แยกชิ้นครับ แต่อย่างไรก็ตามช่องว่างตรงนี้มันก็ไม่ได้ห่างกันมากเหมือนสมัยก่อนแล้ว โดยรวมแล้วตัว RZ50 ก็เป็น AV Receiver ที่แหลมเด่น จัดจ้าน เบสดี เสียงไปได้ไกลถ้าได้ Power Amp มาช่วย และสะใจเมื่อเปิดดังๆ แต่ทั้งนี้หากลำโพงเราขับยากมาก หรือปรับไม่ดีพอ ก็อาจจะได้แหลมที่เสียดหูบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ถือว่ารับได้และดีสำหรับ AV Receiver ในระดับราคานี้มากแล้วครับ
โดยรวมแล้ว ถ้ามองด้วยคุณภาพเสียง นี่อาจไม่ใช่ AV Receiver ที่เด่นไปทุกด้าน แหลมอาจจะสดไปบ้างสำหรับบางคน เบสอาจจะไม่นุ่มหู ลูกใหญ่ ย้วยแต่ข้างในโปร่งเหมือนลูกบอลลุนเป่าลมหลวมๆ แต่ฟังสบายเหมือนค่ายอื่นที่เราคุ้นเคย และแม้เมื่อเปิดดังๆ ไดนามิคสูงๆ และมีความซับซ้อนของเสียงเยอะๆ อาจจะแยกแยะความสะอาดและความกระจ่างของเสียงได้ไม่ดีเท่า PrePro ราคาเรือนแสน อาจจะยังมีเมฆหมอกดูคลุมๆเครือๆอยู่บ้าง แต่เมื่อมามองสนนราคา 62,900 บาทแล้ว ผมก็ว่า ด้วยราคานี้จะหา AV Receiver ที่ให้คุณภาพเสียง และ Feature ครบแบบนี้ในค่ายคู่แข่งมันก็อาจจะไม่มีแล้ว ดังนั้นถ้าถามว่าในงบ 6-7 หมื่นบาทตัวนี้ดีที่สุดไหม ผมอาจตอบไมได้ แต่ถ้าถามใหม่ว่าถ้าผมต้องซื้อเล่นเอง ผมจะเลือกตัวไหน ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวเลือกอื่นเลยนอกจาก RZ50 ที่โดดเด่นและ Improve ทั้งในด้านเสียง และที่สำคัญที่สุดที่ผมเลือกก็คือ Dirac Live เพราะตัวนี้ช่วยให้การปรับแต่งเสียงให้เป็นตามแนวที่เราชอบทำได้ง่ายขึ้นมาก (หากคุณรู้ว่าคุณชอบแบบไหน และจะปรับ Target Curve ให้เป็นแนวเสียงที่คุณชอบได้อย่างไร่) เพราะตัว Software นั้นยืดหยุ่นมาก หากคุณใช้มันได้คล่อง และทุกวันนี้ผมก็ยังใช้ Dirac ในการแก้ปัญหา 2 ch ในบางเรื่องสำหรับห้องที่มีปัญหาอคูสติกมากๆ และไม่ว่าจะขยับลำโพงไปทางไหนก็แก้ไม่ได้ด้วยเช่นกันครับ อย่าลืมว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการแก้ที่ Physical นั่นคือปรับแก้อคูสติกห้อง การขยับลำโพงนั่นคือการหาตำแหน่งที่ดีที่สุดในห้อง แต่ไม่ใช่การปรับแก้ แค่หาตำแหน่งที่แย่น้อยที่สุดหรือ ดีที่สุด แต่การปรับอคูสิกนั้นคือการแก้ที่ต้นเหตุและขยายข้อจำกัดการฟังออกไป ในขณะที่เส้นสายและ Accessories ก็คือการ EQ แบบ Random เพื่อหาของที่แมทชิ่ง เสริมสิ่งที่คุณชอบ และแก้สิ่งที่เป็นจุดอ่อน อย่าลืมว่าเส้นสายเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าเอาตัวไหนเข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร นอกจากทดลองฟัง เราจึงบอกว่ามันคือการ Random EQ เพื่อหาของที่แมทชิ่งกัน (นั่นคือเสริมส่วนที่ดีและกลบจุดด้อย)ในขณะที่ Room Correction นั้นช่วยคุณทำตรงนี้ได้ หากคุณเข้าใจในหลักการว่าลำโพงคุณไปได้แค่ไหน คุณชอบแบบไหน ต้องต้องปรับอย่างไร
HDMI 2.1การใช้งาน HDMI 2.1 นั้นใช้ประโยชน์ในด้านของ Gaming โดยเราทดสอบกับ Xbox Series X หลังจากที่เปิดเครื่องขึ้นมาระบบมองเห็น AV Receiver เป็น HDMI 2.0B ปกติรองรับ 4k 60Hz ซึ่งเราต้องเข้าไปปรับที่เมนู Input และเลือกหัวข้อ HDMI และเลือกปรับให้เป็น 8K Standard (ของเดิมจะปรับมาเป็น 4K Enhanced) และในเมนูนี้จะสามารถเลือกปรับการ Upscale ได้ด้วย (จะมีให้เลือกหลายระดับ) ซึ่งเท่าที่ทดสอบดูการ Upscale ของเครื่องทำได้อยู่ในระดับพอใช้ ไม่ได้ดีมากนัก หากจะปรับในส่วนนี้ขอแนะนำให้ปิดฟังชั่น Upscale ไปจะดีกว่าครับ (ความเห็นส่วนตัว)หลังจากปรับ HDMI เป็น 8K Standard แล้ว (เลือกปรับเฉพาะ HDMI ที่ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องปรับเป็น 8K ทั้งหมดทุกช่อง) ตัว XBox Series X จะมองเห็นเป็น 4K 120Hz ได้แล้ว เราทดสอบโดยการปรับที่ตัว Xbox ให้ส่งภาพเป็น 4k 120Hz เข้าไป ตัว Receiver Onkyo จะ Pass ส่งไปออกที่ทีวีได้ไม่มีปัญหาอะไร สามารถแสดงผลภาพได้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น ซึ่งอัตรา Refresh Rate ที่เพิ่มขึ้นมานี้ หากใครมองไม่ออกก็ไม่ต้องแปลกใจ แต่สามารถเช็คได้ที่ information ของหน้าจอว่าแสดงผลเป็น 4K 120HZ แล้ว
Issuesทีนี้จะมีในส่วนของ Issue / Bug อยู่จุดนึงที่ RZ50 ยังทำได้ไม่สมบูรณ์นั่นคือ ทุกครั้งทีเราเปิดเล่น Content จาก Source ใหม่ หรือ เช่นเปิด Netflix ครั้งแรก แล้วเปิดหนังเสียงจะมีการสะดุดหนึ่งครั้งประมาณ 1 วินาที ในช่วง 5-10 วินาทีแรกของ Source และ Content นั้นๆ และไม่เป็นอีกตลอดการเล่นเลย จนกว่าคุณจะปิด Source นั้นและเปิดกลับมาใหม่ถึงจะเจออาการเดิม และในบางครั้ง บางจังหวะ แม้จะเป็น Source เดิม การเปลี่ยนเรื่อง หรือเปลี่ยน Content หนังก็อาจจะมีอาการสะดุดของเสียงแบบนี้ได้ในช่วง 1-5 วินาทีแรก (เสียงจะดรอปประมาณ 1 วินาที) ซึ่งอาการนี้จะคล้ายๆกับ Anthem AVM90 ที่เราเจอ แต่ AVM90 นั้นเสียงจะดรอปทุกๆ 10 วินาทีไปตลอดที่มีการเล่น 4K 120Hz ซึ่งทำให้ผลคือไม่สามารถปรับให้ใช้เล่น HDMI 2.1 ได้เลย เพราะเสียงจะสะดุด ในขณะที่ RZ50 นั้นจะเป็นแค่ครั้งเดียวสั้นๆ 1 วินาทีคือตอนเริ่มเล่น และหากเราไม่เปลี่ยน Source หรือเปลี่ยนหนัง ก็จะไม่เกิดปัญหานี้อีก (เสียงที่หาย คล้ายๆกับเน็ทเราโหลดไม่ทันแล้วเสียงสะดุด ซึ่งตอนแรกผมก็เข้าใจว่าเป็นแบบนั้น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ใครที่มีเครื่องอยู่สามารถไปทดสอบดูได้ครับ)ในกรณี Onkyo RZ50 นั้นผมว่ายังใช้งานได้เพราะมันเกิดแค่ประมาณวินาทีเดียวตอนกำลังเริ่มเล่นและไม่เป็นอีก จึงไม่กระทบกับการใช้งานเท่าไร่ แต่ก็หวังว่าใน Firmware ถัดไปทาง Onkyo จะออก Fix มาแก้ปัญหานี้ให้จะดีที่สุดครับ
การใช้งาน Dirac Liveการใช้งาน Dirac Live นั้น Onkyo สามารถทำได้สองแบบคือทำผ่าน App ของ Onkyo เอง และทำผ่าน Dirac Live โดยตรง ซึ่งผมจะแนะนำวิธีหลังจะดีที่สุด โดยการทำนั้นมีสามขั้นตอนหลักๆนั่นคือ1. Setup Mic, Master Volume Gain, Speaker Gain ซึ่งจุดนี้มักจะเป็นจุดที่คนงงและไม่เข้าใจมากที่สุด ซึ่งจริงๆแล้วหลักการให้อธิบายง่ายๆก็คือ 1.1.ตั้ง Master Volume ไว้ประมาณ 80% ไม่จำเป็น แต่แนะนำที่จุดนี้ และที่ Master Volume ตรงนี้จะเป็นจุดที่โปรแกรมใช้เป็น Reference เวลาเราใช้งานจริงมันจะเร่งถึงจุดประมาณนี้ในการใช้งานจริง 1.2 Calibrate Mic โดยการโหลดไฟล์ Calibrate Mic มาให้ Dirac Live ซึ่งถ้าไมค์บางตัวมันไม่มีก็ไม่เป็นไร และทำการตั้ง Gain Mic ว่าจะให้มันรับเสียงได้ดังหรือเบาแค่ไหน ซึ่งตรงจุดนี้มันจะไปสัมพันธ์กับตัว Master Volume และ Speaker Volume ก็คือถ้า Main Volume, Speaker Volume มันเบาหรือเร่งสุดแล้วยังเบา (อาจจะลำโพงขับยาก) เราก็ต้องตั้ง Gain Mic ให้มันสูงเพื่อให้มันรับเสียงได้ถึงจุดที่โปรแกรม Dirac มันกำหนด ซึ่งไม่มีจุดตายตัว แต่ส่วนใหญ่ผมจะตั้งไว้ที่ 60-80% ขึ้นอยู่กับห้องและลำโพงและแอมป์ที่เอามาขับ1.3 Speaker Volume คือการปรับให้เสียงลำโพงแต่ละแชนแนลดังเท่ากัน สามารถเลื่อนขึ้นลงยังไงก็ได้ให้วัดแล้วระดับเสียงออกมาที่จุดกึ่งกลางแท่งบาร์ ซึ่งแต่ก่อน Dirac จะมีบอกจุดที่วัดให้ถึงอยู่ แต่หลังจากที่ Dirac มันอัพเดท Version ใหม่แล้ว มันก็ตัดเอาจุด mark ที่คอยบอกว่าลำโพงแต่ละตัวต้องตั้ง volume เสียงไว้จุดไหนออก ซึ่งจริงๆตำแหน่งนั้นมันคือประมาณกลางๆของแท่งบาร์
2. Calibrate : โดยการไปตั้งไมค์ในจุดต่างๆตั้งแต่ 12 จุดไปยัน 17 จุด (จำไม่ได้เป๋ะ) โดยการวัดจะะต้องการความเงียบและลดเสียงรบกวนต่างๆให้มากที่สุด รวมถึงสิ่งต่างๆที่มีผลต่อการสะท้อนของเสียง รวมถึงตัวผู้วัดเองด้วยซึ่งในขั้นตอนนี้อาจจะเจอปัญหา Low Signal to Noise Level : ต้้งค่า Gain ไมค์สูงไป , ห้องไม่เงียบ มีเสียงรบกวน เสียงสัญญาณไม่ชัด เบาไป ตั้งค่า Gain ลำโพงน้อยไป ตั้ง Master Volume ต่ำไป บลาๆๆหรือมีเสียงรบกวนแปลกปลอมอื่นๆเช่น เสียงแอร์ พัดลม เสียงรถยนตร์ต่างๆนานา หรืออาจจะเจอปัญหา Too Loud ปัญหาสุดคลาสสิค คือตอน Calibrate Level ลำโพงแต่ละแชนแนลมันได้ level ตรงกึ่งกลางดีพอแล้ว (ณ จุดนั่งฟัง) แต่ตอนวัด มันไม่ได้วัดแค่จุดนั่งฟังนะ ถ้าเราเลือกวิธีการวัดแบบให้มันคำนวณแบบโซฟารูปตัวแอล หรือไม่ฟิ้กที่นั่งเป๋ะๆ มันจะวัดแหลกเลย ประมาณ 15-17 จุด และถ้าซิสเต็มเป็น 9.1.6 ก็คูณไปเลยว่าต้องวัดทัั้งหมดกี่ครั้ง แล้วทีนี้ในบางตำแหน่ง เช่นหลังโซฟาด้านล่างด้านใดด้านหนึ่งของห้อง ในบางห้องก็มักจะมีความถี่ต่ำที่ดังบู๊ทขึ้นมามากกว่าปกติหรือตำแหน่งอื่นได้ จึงทำให้โปรแกรมมันฟ้อง Too Loud และต้องกลับไป Adjust Level ใหม่ เพื่อจุดนั้นจุดเดียวเลยก็ได้ครับ3. การปรับ Target Curve ซึ่งก็คือการ Adjust ให้เสียงออกมาตามที่เราต้องการ บ่อยครั้งเราอาจจะพบว่าเสียงหลังปรับทำไมเสียงพุ่งจัดเฟี้ยวฟ้าวแสบหูแบบนี้ ตอบว่ากราฟมาตรฐานที่โปรแกรมมันทำให้คือกราฟที่เรียบและเบสโด่งกว่าแหลมนิดหน่อย ถ้าดูกราฟจาก 20 Hz ไปจนถึง 20000 Hz จะเห็นว่ามันจะโด่งที่ฝั่ง 20 Hz และค่อยๆลาดลงมาเเล็กน้อยจนถึง 20000 Hz ซึ่งเป็นความถี่ที่โปรแกรมมันคิดว่าเนี่ยแหละครบแล้วแต่คนเราย่อมชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบหนาๆ ท้วมๆ นวลๆ เบสใหญ่ๆ บวมๆ ลูกโตๆ บางคนเบสชอบน้อยๆ รายละเอียดเยอะๆ เฟี้ยวฟ้าว แหลมจัดจ้าน โดยเฉพาะในเอเชียเราที่มีความชอบไปทาง warm มากกว่า (อิ่มหนา) หลักการปรับ Target Curve ก็คือ ปรับให้เสียงออกมาถูกใจเรา ซึ่งโปรแกรมไม่ได้ห้ามปรับและปรับได้อิสระมากๆ ถ้าเรารู้ว่าความถี่ไหนที่ลากขึ้นหรือลงแล้ว เสียงจะเป็นอย่างไร เราก็สามารถจัดการได้ แต่ปัญหาเราอาจจะไม่รู้ทำให้ทนใช้หรือปรับผิด และเสียงที่ได้ออกมาแย่กว่าไม่ได้ปรับอะไรเลย ทำให้หลายท่าน (ฝรั่ง) บอกว่า ก่อนปรับเสียงดีกว่า แม้โปรแกรมจะอิสระและมีอัลกอริทึมที่ทำการปรับได้ดีและละเอียด หากเราใช้อย่างถูกต้องและใช้ไมค์คุณภาพดีๆ และควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี ผลลัพธ์ย่อมออกมาดีได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราปรับแบบไม่เข้าใจ ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาแล้วไม่ดี และทำให้เราไปบอกต่อผิดๆกับคนอื่นว่า ไม่ควรปรับ EQ หรือควรใช้แบบธรรมชาติ ฟังเสียงที่ได้จากซิสเต็ม เสียงจากห้อง และมาแก้ด้วย Accessories แทนได้เช่นกันครับ
การเล่น Streamingในสมัยก่อน AV Receiver มักจะใช้งานต่อ HDMI, Analog สำหรับดูหนังฟังเพลงได้เท่านั้น แต่ในยุคหลังๆเราจะเห็นว่า AV Receiver รุ่นใหม่ๆมักจะให้ Feature ที่เกี่ยวกับการ Streaming มาให้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรวมถึง RZ50 ที่ให้ฟังชั่นในการ streaming มาเกือบครบ จะขาดก็แค่ Tidal connect, Roon ready, Qobuz Connect จากการทดลองใช้งาน Streaming สั้นๆ พบว่าหลังจากผมเสียบสายแลนเข้าไปที่หลังเครื่อง ตัว RZ50 จะ popup หน้าจอเมนู Streaming ขึ้นมาให้ใช้งานอัตโนมัติ โดยจะมีเมนูของ Service ต่างๆให้เลือกตามที่กล่าวไปด้านบน ซึ่งใช้งานง่ายมาก และหากในระหว่างการใช้งาน เราสามารถเรียกเมนูใช้งานเกี่ยวกับ Streaming ขึ้นมาใช้งานสลับไปมากับการดูหนังผ่าน HDMI ได้ตลอด โดยกดปุ่มที่รีโมทคอนโทรล โดยกดปุ่ม "Net" จากที่ลองใช้ Spotify Connect นั้นพบว่ามีความเสถียรสูง และสามารถแสดงผลหน้าปกและรายละเอียดเพลงขึ้นหน้าจอได้ ในขณะที่ Tidal นั้นจะเชื่อมต่อผ่านทาง Chromecast ซึ่งปัจจุบัน Chromecast กับ Tidal ยังมีปัญหาใช้งานขลุกขลักและไม่สมูธอยู่บ้าง
ข้อดี
1. ตัวเครื่องอัดแน่นมาด้วย Feature ที่คุ้มค่าคุ้มราคา โดยเฉพาะ Dirac Live ที่ถือว่าให้คุณภาพในการปรับที่ดีใช้งานได้จริง สามารถทำได้เอง ขอแค่หาซื้อไมค์ดีๆมาใช้งานและ ตอนวัดใช้กับ Software ของ Dirac เองจะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นมากครับตัวโปรแกรมให้ความยืดหยุ่นในการปรับเซ็ทและแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงปรับให้เสียงออกมาตามใจเราได้ง่ายโดยตัว Dirac มีการปรับทุกอย่างให้เซ็ททั้ง Distance, Level, EQ เพียงแค่คุณโยก Target Curve และวัดให้ถูกต้อง2. คุณภาพเสียง ที่อยู่ในระดับที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับราคาและสเปกเดียวกัน โดยเฉพาะคุณภาพในการดูหนังที่ถือว่าทำได้ดีกว่าพอสมควรเลยทีเดียว (หากชอบสไตล์จัดจ้าน ดุดัน หนักแน่น)3. ตัวเครื่องมีความเสถียร และใช้งานง่าย รวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ก็ถือว่าไม่เป็นจุดเด่นเท่าใดนัก เพราะ AVR ญี่ปุ่นทุกค่าย ก็ใช้ง่ายและรวดเร็วเป็นจุดขายหมดทุกยี่ห้อทุกแบรนด์อยู่แล้วครับข้อเสีย
1. แนวเสียงอาจจะไม่ถูกใจคอที่ชอบสไตล์นุ่มนวล โดยเฉพาะ RZ50 ตัวใหม่ก็เพิ่มเสียงกลางแหลมให้จัดจ้านและชัดขึ้นไปอีก แม้แนวเสียงจะดูหนังสนุก แต่ก็ต้องยอมรับอย่างนึงว่าเมื่อมันชัดและหนักแน่น เวลาเร่งดังๆหรือเราปรับได้ไม่ลงตัว หรือลำโพงเราขับยากมากแล้วไม่ได้ใช้ External Amp มาช่วย บางครั้งฟังนานๆก็ล้าหู และรู้สึกจัดจ้านและแข๊งไปได้ครับ2. ยังมี Issue บางอย่างที่ทาง Onkyo ต้องแก้ เช่น เสียง Drop ในช่วงแรกของการเล่น Source นั้นๆ3. Remote Control ดูไม่ค่อยแข๊งแรงและดูด้อยกว่าค่ายคู่แข่ง
Onkyo RZ50 เหมาะกับใคร?
ถ้าคุณมี Budget ในระดับราคาที่ไม่มาก และต้องการ AV Receiver ตัวเดียวที่ทำงานครบทั้งดูหนัง และรองรับฟังชั่นในการเล่นเกมกับเครื่องเกม Next Gen ได้ครบถ้วน รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น HDMI 2.1, VRR, ALLM, QFT และยังรองรับการใช้งาน Streaming แบบเกือบครบ
โดยที่ยังสามารถใช้งาน AV Receiver ตัวนี้ต่อลำโพงทั้งระบบแบบไม่ต้องพึ่งพา External Amp ก็อยู่ในระดับที่พอรับได้ และหากอนาคตอยากจะไปต่อและอัพเกรด ก็สามารถหา Power Amp มาต่อได้ครบทั้ง 11 ch และด้วยงบในระดับนี้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วไม่เป็นสองรองใคร
โดยมี Condition ว่าวัตถุประสงค์ในการลงทุนซื้อ AVR เครื่องนี้จะเป็นเรื่องความง่าย และสะดวกสบายมากกว่ามุ่งหวังคุณภาพเสียงและภาพสูงสุด ซึ่งหากคุณมองหา Pre หรือ AVR ญี่ปุ่นสักเครื่อง ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ส่วนใหญ่ก็มุ่งหวังในเรื่องความง่าย และสะดวกสบายกันทั้งสิ้นทุกแบรนด์อยู่แล้ว
ซึ่งถึงแม้คุณภาพของภาพและเสียงอาจจะไม่ใช่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ แต่หากจะเอาดีกว่านี้คุณอาจจะต้องเพิ่มเงินอีก 2-5 เท่าเพื่ออัพเกรด
เมื่อภาพและเสียงไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด แต่ความเหมาะสม การใช้งาน ราคา ฟังชั่นที่คุ้มค่า และบริการหลังการขายจากผู้นำเข้าเจ้าใหม่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการบริการที่น่าจะเป็นอันดับต้นๆของวงการ ก็น่าจะสบายใจและน่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่มองหา AV Receiver สักเครื่องมาอัพเกรดจากระบบเสียง TV และ Soundbar อันแสนน่าเบื่อและแบนแต๊ดแต๊อยู่แต่หน้าจอ (แม้จะโฆษณาว่ารองรับ Dolby Atmos แต่ระบบ Atmos ในอุปกรณ์ในช่วงราคานี้และใช้แบบยิงเสียงสะท้อนนั้น มันก็ไม่แน่ไม่นอน การจะให้เสียงมันดีเท่าแยกชิ้น มันก็เป็นไปได้ยากครับ)
ขอให้โชคดีมีความสุขครับ