Emotiva และ Jade Design กับสูตรสำเร็จในการออกแบบให้กับหลายๆแบรนด์
3 ปีที่ผ่านมา
Emotiva และ Jade Design กับสูตรสำเร็จในการออกแบบให้กับหลายๆแบรนด์
เราๆท่านๆคงคุ้นหูกันดีกับแบรนด์ Emotiva กันดีแล้ว แม้บางท่านจะยังไม่เคยได้ยินหรือสัมผัสหรือไม่กล้าสัมผัส แต่ในอเมริกานั้นได้รับความนิยมค่อนข้างสูงมากทีเดียว
และหลายๆท่านก็อาจจะได้เห็นแบรนด์ต่างๆที่ไม่ได้แปะโลโก้ Emotiva แต่เห็นแผงวงจรด้านในเครื่องนั้นมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับ Emotiva หรือใช้ Jade Design ที่ดูเหมือนราวกับออกแบบหรือออกมาจากโรงงานเดียวกัน แต่ก็ยังมีบางจุดที่ดูไม่เหมือนกัน และไม่ใช่มีแค่แบรนด์เดียว แต่มีหลายๆแบรนด์ที่มีการดีไซน์ที่คล้ายกันแบบนี้ มันคืออะไร แล้วใคร copy ใคร แล้วใครเป็นต้นตำหรับ แล้ว Jade Design คือใคร emotiva จ้างใครผลิต
วันนี้เราจะพาไปรู้จักความเกี่ยวข้องของ Emotiva, Jade Design, Dan Laufman ในบทบาทของ ODM ที่เราไม่เคยเขียนถึงมาก่อน
1. แรกเริ่ม Dan Laufman นั้นทำบริษัท ODM ที่ชื่อว่า LA Design (ODM คือ Original Design Manufacturer แตกต่างจาก OEM ตรงที่ OEM มักจะรับผลิตสินค้าสำเร็จรูปออกมาเป็น final พร้อมใช้งานและแปะแบรนด์ให้กับใครที่สนใจจ้างผลิต แต่ ODM มักจะรับจ้างผลิต วิจัย คิดค้นสูตร แผงวงจร ที่ส่งต่อให้กับผู้ผลิตอีกทีนึงเพื่อนำไปประกอบและต่อยอดหรือนำไปประกอบแบบง่ายๆในขั้นตอนสุดท้าย โดยไม่ต้องลงทุน R&D เอง)
ซึ่งลูกค้าของ LA Design ก็คือ Infinity, Concord Electronics, Pyle Industries และต่อมาก็ถูก Harman International ซื้อต่อไป
ต่อมา Dan ได้ไปร่วมงานกับบริษัทอีกมากมายอาทิ เช่น Harman International, Lanzar Audio Corp., AR, NHT, Jensen, Ford, Chrysler, BMW.
2. ในปี 1998 Dan ก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่ชื่อ Jade Design ที่ถือเป็นบริษัท ODM / OEM เต็มรูปแบบ โดยถือเป็นบริษัท
engineering company catering ที่ออกแบบวงจร และ solution ในการผลิตให้กับบริษัทเครื่องเสียงต่างๆไม่ว่่าจะเป็น Amps, preamps, DACs, Sources, Digital audio processors, Loudspeakers ให้กับลูกค้าองค์กรที่อยู่ในแวดวง Consumer, Professional, Commercial audio markets. ซึ่งถือเป็น soltution ที่ดีที่บริษัทเหล่านั้นจะสามารถนำสูตรสำเร็จนำไปต่อยอดผลิตแอมป์หรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับงบประมาณของลูกค้าตัวเองได้ง่าย โดยไม่ต้องลงทุน หรือมีแผนก R&D ของตัวเองซึ่งเป็นการลดต้นทุนและง่ายในการเข้าสู่ตลาด หรือพูดง่ายๆก็คือการขายแผงวงจรสำเร็จรูปหรือ Blueprint ให้กับบริษัทต่างๆนำไปประกอบและช่วยให้ผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้ง่าย
https://www.bloomberg.com/profile/company/7585229Z:US
๋3. Jade Design เติบโตอย่างรวดเร็ว มีฐานลูกค้าองค์กรมากกว่า 40 บริษัททั่วโลก อีกทั้งยังไปลงทุนกับบริษัท supplier ในประเทศจีน อาทิ อะไหล่, semiconductor ต่างๆ รวมถึงร่วมทุนและเปิดบริษัทเพื่อจัดหาอะไหล่โดยเฉพาะอีก เช่น Integrity Electronics, LLC เพื่อป้อนให้กับลูกค้าและบริษัทตัวเอง
ซึ่งภายหลัง Dan ได้มีการขายหุ้นทั้งหมดในส่วนของตัวเองให้นักลงทุนออกไปทำให้บริษัทเติบโตมากขึ้นและตัวของเขาก็ลดบทบาทในฐานะเจ้าของลง ณ เวลานั้นพร้อมๆกัน
4. หลังจากนั้น Dan คิดจะสร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อเติม passion และเป็นแบรนด์ของเขาเองจริงๆ ไม่ใช่ในฐานะคนออกแบบแผงวงจรที่ดีไซน์ให้คนอื่นนำไปใช้และแปะแบรนด์คนอื่น
Emotiva เป็นภาษาอิตาเลียนที่แปลตรงตัวว่า “Emotional” หรืออารมณ์ ความรู้สึก จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Emotiva ก็เริ่มที่ Tennessee สหรัฐอเมริกา และ Dan ใช้ความรู้ทุกอย่างที่ผ่านมาในการออกแบบอุปกรณ์ในชื่อแบรนด์ของตัวเองกับครอบครัวของเขาเอง
5. ในช่วงแรกของการก่อตั้ง Emotiva แม้ว่า Dan จะมีของอยู่ในมือที่สั่งสมมานานในฐานะคนออกแบบให้คนอื่นมานาน แต่เขาไม่ได้ออก Killer products หรือหมัดเด็ดในช่วงแรกๆ เพราะ Dan ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขายังให้คุณค่าและเกรงใจกับลูกค้าเก่าๆที่ใช้บริการและเชื่อมั่นเขามาก่อน (valued relationships with his OEM/ODM customers)
และเขาก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับใครในช่วงแรกของแบรนด์ที่จู่ๆก็มี product ใหม่โผล่ขึ้นมาฆ่ารายเดิมๆที่เขาเคยออกแบบให้
ในช่วงแรกเขาจึงใช้วิธี ค่อยๆเป็นค่อยๆไป และไม่ปล่อยอะไรออกมามากนัก แต่เน้นขายเงียบๆผ่าน Direct Sale ผ่าน Internet ไปเรื่อยๆ ด้วย product ที่ดูไม่หวือหวาและไม่นำดีไซน์ของลูกค้าเก่ามาใช้
แต่ช่วงเวลาที่เขาเริ่มขายก็เป็นช่วงประจวบเหมาะที่ Intenet กำลังเริ่มบูมและคนเริ่มหันมาสนใจการซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้พอดี
นี่จึงอาจเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะที่พอดิบพอดีของเขาพอดี
6. Emotiva เริ่มต้นในปี 2003 และ product ตัวแรกของเขาก็ออกขายในปี 2005 โดยมีข้อแม้ว่าเขาจะต้องขายได้ , ขายผ่าน internet และไม่ไปกระตุกหนวดงาน ODM ของเขาที่เคยขายให้กับลูกค้าเก่าๆต้องขุ่นเคือง product ตัวแรกของเขาชื่อว่า DMC-1 เป็น pre-processor 7.1 ch ในปี 2005 (17 ปีที่แล้ว) โดยสิ่งที่เขาต้องเผชิญก็คือ การขายสินค้าในยุคนั้นจะต้องมีโชว์รูมและโฆษณาผ่าน Traditional way ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาตามสิ่งพิมพ์แบบเก่าๆ หรือแม้แต่การออกโชว์ในงานแสดงต่างๆ แต่ Dan ใช้วิธีขายออนไลน์ แบบ Direct Sale ถึงมือ real user โดยใช้กลยุทธ์คือให้เอาไปลองเอง 30 วัน ไม่ชอบคืนได้ เป็นการเปิดโอกาศให้คนได้ฟังใน situation ที่ดีที่สุด และดีกว่า Showroom ทุกแห่งบนโลกใบนี้เคยสร้างมา เพราะสถานที่ที่เขาเอาไปลองฟังก็คือบ้านของคนซื้อเอง และได้ฟังกับอุปกรณ์และอคูสติกและห้องของตัวเอง
7. หลังจากนั้นเขาใช้เวลาและค่อยๆปล่อย product ออกมาเรื่อยๆ กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทั้ง Amplifier, Pre-Processor, Pre-Amp, CD-Player, Speaker, Subwoofer หรือแม้แต่ปลั๊กรางกรองไฟ หรือสายสัญญาณ
สินค้าที่สร้างชื่อให้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Power Amplifier ที่ช่วงแรกๆนั้นเขาเลือกใช้วิธีการตั้งฐานการผลิตในประเทศต้นทุนต่ำ จนในที่สุดภายหลังเขากลับมาใช้ฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาแทนในที่สุด และเปิดตัว Amplifier ตัวใหม่ล่าสุดแบบ Modular Design Generation 3 ที่สามารถเพิ่มลดแชนแนลได้อิสระ
Conclusion
บทบาทของ Jade Design ในอดีตที่เป็น ODM ที่เป็นผู้ขายงานออกแบบหรือภาษาบ้านๆก็คือขายสูตรการทำเครื่องเสียงให้ผู้ผลิตต่างๆนำไปใช้ มีผู้ผลิตอีกหลายหลายที่ใช้ Jade Design แต่ก็ให้เสียงและคุณภาพที่แตกต่างกันออกไปตามอุปกรณ์ วัสถุดิบที่นำมาใช้ เราคงทราบกันดีว่าเครื่องเสียงไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นศิลปะด้วย อุปกรณ์เล็กๆ จุดเชื่อมเล็กๆ อะไหล่เพียงเล็กน้อยที่บรรจงเลือกและใส่ลงไป สายเพียงไม่กี่เส้น ทำให้คุณภาพเสียงแตกต่างกันออกไป แม้เราจะไปเรียนทำขนมจากสถาบันชื่อดัง จบมาเปิดร้าน ใช้สูตรเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าขนมของลูกศิษย์ทั้งหมดจากสถาบันจะรสชาติเหมือนกัน ประสบความสำเร็จเท่ากัน
หรือแม้แต่การที่เราไปซื้อชุด Kits สำเร็จมาใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณภาพเสียงของเครื่องจะเท่ากันกับคนอื่นที่ใช้ชุ Kits เดียวกัน เพราะเสียงไม่ได้มีปัจจัยเพียงแค่นั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ที่ต้องคำนึงถึง
เราจะเห็นเครื่องเสียงในโลกนี้มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกันอยู่มากมาย รวมถึงผลิตให้กันมากมาย ทั้งที่เปิดเผย อาทิเช่น Marantz และ Mcintosh (เครือ D&M holdings) Mcintosh Mx121 ใช้ board , Network connection ร่วมกับ Marantz แต่อย่างอื่น Mcintosh ต่อยอดเพิ่ม ณ จุดนี้คงไม่มีใครพูดว่า ซื้อ MArantz ก็ได้ ข้างในคล้ายๆกัน เสียงก็เหมือนๆกัน ประหยัดไปหลายแสนหรอกนะ
และในส่วนที่ไม่ประกาศแต่เราก็พอจะทราบเช่น Monolish และ ATI ที่ผลิตในส่วนของ pre-processor
ซึ่งในความเป็นจริงในฐานะของ user อย่างเราๆท่านๆ คงไม่ต้องขุดลงไปลึกขนาดนั้นว่าอะไหล่แต่ละตัวมีที่มาจากไหน ผลิตจากไหน ใครทำให้ อะไหล่ตัวไหนทำที่ไหน โรงงานประกอบเป็นของใครเพราะในความเป็นจริงนั้นผู้ผลิตมืออาชีพนั้นมีการคัดสรรวัตถุดิบและ supplier มาเป็นอย่างดี กว่าจะประกอบเครื่องออกมาสักเครื่องต้องใช้อะไหล่มากมายจากทั่วโลก และหลาย supplier มารวมกัน เราคงไม่สามารถเอาอุปกรณ์แต่ละชิ้นมาเปิดสเปก กดเครื่องคิดเลขรวมราคาและรวมกันออกมาเป็นราคาเครื่องได้ เพราะในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น บางทีอะไหล่จากคนละแหล่งก็ให้เสียงที่แตกต่างกัน ไม่รวมถึงการต่อยอดของอุปกรณ์ภาคจ่ายไฟ การเลือก wireing สาย และงานประกอบ งาน QC อีกมากที่ทำให้คุณภาพของเครื่องที่แม้จะใช้ชุด kit จากบริษัทใหญ่ๆหลายแหล่งแต่คุณภาพเสียงก็ออกมาไม่เท่ากับแบรนด์ที่ผู้ผลิตที่คิดค้น R&D นั้นจริงๆเป็นผู้ผลิต
อาจจะฟังดูโหดร้ายที่ในความเป็นจริงในโลกใบนี้ ของทุกอย่างนั้นคุณภาพก็ล้วนเป็นไปตามราคา จ่ายเท่าไร่ก็ได้ตามนั้น ของถูกและดีสมราคานั้นมี เราพอใจ ณ จุดนั้นมั๊ย หรือเราคาดหวังว่าจ่ายน้อยกว่าแต่คุณภาพต้องเท่ากับของแพง
ไม่เช่นนั้นเราคงคาดหวังว่าไปซื้อ MG แล้วเอามาแปะโลโก้ Benz เหมือนในข่าวที่เราเห็นตาม Social ก็ได้ แล้วมโนว่าคุณภาพเท่ากัน เพราะ design มันก็คล้ายคลึงกัน มองแง่ความสบายใจคงไม่ผิดอะไร แต่คนใช้ Benz จริงๆคงไม่ได้มาสนใจอะไรว่ารถที่เอาโลโก้แสดงความเป็น identity และถอดความภาคถูมิใจของตัวเองออกแล้วโฆษณาว่าตัวเองคืออีกแบรนด์ที่พยายามจะปีนขึ้นไปเป็นนั้นมีนดีกว่าจริงหรือเปล่า (เอาจริงเขาอาจจะแค่สับสนว่ารถอะไร แต่ไม่ได้มาสนใจว่าดีกว่าจริงมั๊ย หรือจ่ายน้อยกว่า 2-3 เท่าจะได้คุณภาพรถเท่าเราจริงหรือไม่
ดังนั้นใช้วิจารณญาณทุกครั้งเมื่ออ่านข้อมูลต่างๆใน social , internet, webboard หรือแม้แต่ร้านค้าต่างๆ เพราะทุกคนก็ต้องการให้แบรนด์ตัวเองขายได้ จนบางครั้งหลงลืมความภาคภูมิใจในตัวตนของแบรนด์ตัวเอง แต่ไปยืมแบรนด์อื่นมาใช้แทน โดยเฉพาะในระยะยาว การดูแลหลังการขาย ตัวแทนต่างๆ การ Service ต่างๆด้วยเช่นกันครับ
ด้วยความปรารถนาดี เพราะการโดนหลอกและความผิดหวังนั้นไม่น่าอภิรมณ์ การโดนฝรั่งหลอกอาจจะเจ็บปวด การโดนจีนหลอกก็น่าจะเจ็บปวดเช่นกัน แต่ไม่น่าจะมีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่าการโดนคนไทยด้วยกันหลอกกันเองนี่ละครับ เจ็บปวดที่สุด ... จริงไหม
---------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
https://emotiva.com/blogs/news/emotiva-audio-the-history-part-2?fbclid=IwAR3PeX67o0K3RTUenlhacBJB0uoRy96QgWim1YPsfxfp66IR6Nh4RmOFjYo
เราๆท่านๆคงคุ้นหูกันดีกับแบรนด์ Emotiva กันดีแล้ว แม้บางท่านจะยังไม่เคยได้ยินหรือสัมผัสหรือไม่กล้าสัมผัส แต่ในอเมริกานั้นได้รับความนิยมค่อนข้างสูงมากทีเดียว
และหลายๆท่านก็อาจจะได้เห็นแบรนด์ต่างๆที่ไม่ได้แปะโลโก้ Emotiva แต่เห็นแผงวงจรด้านในเครื่องนั้นมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับ Emotiva หรือใช้ Jade Design ที่ดูเหมือนราวกับออกแบบหรือออกมาจากโรงงานเดียวกัน แต่ก็ยังมีบางจุดที่ดูไม่เหมือนกัน และไม่ใช่มีแค่แบรนด์เดียว แต่มีหลายๆแบรนด์ที่มีการดีไซน์ที่คล้ายกันแบบนี้ มันคืออะไร แล้วใคร copy ใคร แล้วใครเป็นต้นตำหรับ แล้ว Jade Design คือใคร emotiva จ้างใครผลิต
วันนี้เราจะพาไปรู้จักความเกี่ยวข้องของ Emotiva, Jade Design, Dan Laufman ในบทบาทของ ODM ที่เราไม่เคยเขียนถึงมาก่อน
1. แรกเริ่ม Dan Laufman นั้นทำบริษัท ODM ที่ชื่อว่า LA Design (ODM คือ Original Design Manufacturer แตกต่างจาก OEM ตรงที่ OEM มักจะรับผลิตสินค้าสำเร็จรูปออกมาเป็น final พร้อมใช้งานและแปะแบรนด์ให้กับใครที่สนใจจ้างผลิต แต่ ODM มักจะรับจ้างผลิต วิจัย คิดค้นสูตร แผงวงจร ที่ส่งต่อให้กับผู้ผลิตอีกทีนึงเพื่อนำไปประกอบและต่อยอดหรือนำไปประกอบแบบง่ายๆในขั้นตอนสุดท้าย โดยไม่ต้องลงทุน R&D เอง)
ซึ่งลูกค้าของ LA Design ก็คือ Infinity, Concord Electronics, Pyle Industries และต่อมาก็ถูก Harman International ซื้อต่อไป
ต่อมา Dan ได้ไปร่วมงานกับบริษัทอีกมากมายอาทิ เช่น Harman International, Lanzar Audio Corp., AR, NHT, Jensen, Ford, Chrysler, BMW.
2. ในปี 1998 Dan ก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่ชื่อ Jade Design ที่ถือเป็นบริษัท ODM / OEM เต็มรูปแบบ โดยถือเป็นบริษัท
engineering company catering ที่ออกแบบวงจร และ solution ในการผลิตให้กับบริษัทเครื่องเสียงต่างๆไม่ว่่าจะเป็น Amps, preamps, DACs, Sources, Digital audio processors, Loudspeakers ให้กับลูกค้าองค์กรที่อยู่ในแวดวง Consumer, Professional, Commercial audio markets. ซึ่งถือเป็น soltution ที่ดีที่บริษัทเหล่านั้นจะสามารถนำสูตรสำเร็จนำไปต่อยอดผลิตแอมป์หรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับงบประมาณของลูกค้าตัวเองได้ง่าย โดยไม่ต้องลงทุน หรือมีแผนก R&D ของตัวเองซึ่งเป็นการลดต้นทุนและง่ายในการเข้าสู่ตลาด หรือพูดง่ายๆก็คือการขายแผงวงจรสำเร็จรูปหรือ Blueprint ให้กับบริษัทต่างๆนำไปประกอบและช่วยให้ผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้ง่าย
https://www.bloomberg.com/profile/company/7585229Z:US
๋3. Jade Design เติบโตอย่างรวดเร็ว มีฐานลูกค้าองค์กรมากกว่า 40 บริษัททั่วโลก อีกทั้งยังไปลงทุนกับบริษัท supplier ในประเทศจีน อาทิ อะไหล่, semiconductor ต่างๆ รวมถึงร่วมทุนและเปิดบริษัทเพื่อจัดหาอะไหล่โดยเฉพาะอีก เช่น Integrity Electronics, LLC เพื่อป้อนให้กับลูกค้าและบริษัทตัวเอง
ซึ่งภายหลัง Dan ได้มีการขายหุ้นทั้งหมดในส่วนของตัวเองให้นักลงทุนออกไปทำให้บริษัทเติบโตมากขึ้นและตัวของเขาก็ลดบทบาทในฐานะเจ้าของลง ณ เวลานั้นพร้อมๆกัน
4. หลังจากนั้น Dan คิดจะสร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อเติม passion และเป็นแบรนด์ของเขาเองจริงๆ ไม่ใช่ในฐานะคนออกแบบแผงวงจรที่ดีไซน์ให้คนอื่นนำไปใช้และแปะแบรนด์คนอื่น
Emotiva เป็นภาษาอิตาเลียนที่แปลตรงตัวว่า “Emotional” หรืออารมณ์ ความรู้สึก จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Emotiva ก็เริ่มที่ Tennessee สหรัฐอเมริกา และ Dan ใช้ความรู้ทุกอย่างที่ผ่านมาในการออกแบบอุปกรณ์ในชื่อแบรนด์ของตัวเองกับครอบครัวของเขาเอง
5. ในช่วงแรกของการก่อตั้ง Emotiva แม้ว่า Dan จะมีของอยู่ในมือที่สั่งสมมานานในฐานะคนออกแบบให้คนอื่นมานาน แต่เขาไม่ได้ออก Killer products หรือหมัดเด็ดในช่วงแรกๆ เพราะ Dan ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขายังให้คุณค่าและเกรงใจกับลูกค้าเก่าๆที่ใช้บริการและเชื่อมั่นเขามาก่อน (valued relationships with his OEM/ODM customers)
และเขาก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับใครในช่วงแรกของแบรนด์ที่จู่ๆก็มี product ใหม่โผล่ขึ้นมาฆ่ารายเดิมๆที่เขาเคยออกแบบให้
ในช่วงแรกเขาจึงใช้วิธี ค่อยๆเป็นค่อยๆไป และไม่ปล่อยอะไรออกมามากนัก แต่เน้นขายเงียบๆผ่าน Direct Sale ผ่าน Internet ไปเรื่อยๆ ด้วย product ที่ดูไม่หวือหวาและไม่นำดีไซน์ของลูกค้าเก่ามาใช้
แต่ช่วงเวลาที่เขาเริ่มขายก็เป็นช่วงประจวบเหมาะที่ Intenet กำลังเริ่มบูมและคนเริ่มหันมาสนใจการซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้พอดี
นี่จึงอาจเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะที่พอดิบพอดีของเขาพอดี
6. Emotiva เริ่มต้นในปี 2003 และ product ตัวแรกของเขาก็ออกขายในปี 2005 โดยมีข้อแม้ว่าเขาจะต้องขายได้ , ขายผ่าน internet และไม่ไปกระตุกหนวดงาน ODM ของเขาที่เคยขายให้กับลูกค้าเก่าๆต้องขุ่นเคือง product ตัวแรกของเขาชื่อว่า DMC-1 เป็น pre-processor 7.1 ch ในปี 2005 (17 ปีที่แล้ว) โดยสิ่งที่เขาต้องเผชิญก็คือ การขายสินค้าในยุคนั้นจะต้องมีโชว์รูมและโฆษณาผ่าน Traditional way ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาตามสิ่งพิมพ์แบบเก่าๆ หรือแม้แต่การออกโชว์ในงานแสดงต่างๆ แต่ Dan ใช้วิธีขายออนไลน์ แบบ Direct Sale ถึงมือ real user โดยใช้กลยุทธ์คือให้เอาไปลองเอง 30 วัน ไม่ชอบคืนได้ เป็นการเปิดโอกาศให้คนได้ฟังใน situation ที่ดีที่สุด และดีกว่า Showroom ทุกแห่งบนโลกใบนี้เคยสร้างมา เพราะสถานที่ที่เขาเอาไปลองฟังก็คือบ้านของคนซื้อเอง และได้ฟังกับอุปกรณ์และอคูสติกและห้องของตัวเอง
7. หลังจากนั้นเขาใช้เวลาและค่อยๆปล่อย product ออกมาเรื่อยๆ กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทั้ง Amplifier, Pre-Processor, Pre-Amp, CD-Player, Speaker, Subwoofer หรือแม้แต่ปลั๊กรางกรองไฟ หรือสายสัญญาณ
สินค้าที่สร้างชื่อให้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Power Amplifier ที่ช่วงแรกๆนั้นเขาเลือกใช้วิธีการตั้งฐานการผลิตในประเทศต้นทุนต่ำ จนในที่สุดภายหลังเขากลับมาใช้ฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาแทนในที่สุด และเปิดตัว Amplifier ตัวใหม่ล่าสุดแบบ Modular Design Generation 3 ที่สามารถเพิ่มลดแชนแนลได้อิสระ
Conclusion
บทบาทของ Jade Design ในอดีตที่เป็น ODM ที่เป็นผู้ขายงานออกแบบหรือภาษาบ้านๆก็คือขายสูตรการทำเครื่องเสียงให้ผู้ผลิตต่างๆนำไปใช้ มีผู้ผลิตอีกหลายหลายที่ใช้ Jade Design แต่ก็ให้เสียงและคุณภาพที่แตกต่างกันออกไปตามอุปกรณ์ วัสถุดิบที่นำมาใช้ เราคงทราบกันดีว่าเครื่องเสียงไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นศิลปะด้วย อุปกรณ์เล็กๆ จุดเชื่อมเล็กๆ อะไหล่เพียงเล็กน้อยที่บรรจงเลือกและใส่ลงไป สายเพียงไม่กี่เส้น ทำให้คุณภาพเสียงแตกต่างกันออกไป แม้เราจะไปเรียนทำขนมจากสถาบันชื่อดัง จบมาเปิดร้าน ใช้สูตรเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าขนมของลูกศิษย์ทั้งหมดจากสถาบันจะรสชาติเหมือนกัน ประสบความสำเร็จเท่ากัน
หรือแม้แต่การที่เราไปซื้อชุด Kits สำเร็จมาใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณภาพเสียงของเครื่องจะเท่ากันกับคนอื่นที่ใช้ชุ Kits เดียวกัน เพราะเสียงไม่ได้มีปัจจัยเพียงแค่นั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ที่ต้องคำนึงถึง
เราจะเห็นเครื่องเสียงในโลกนี้มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกันอยู่มากมาย รวมถึงผลิตให้กันมากมาย ทั้งที่เปิดเผย อาทิเช่น Marantz และ Mcintosh (เครือ D&M holdings) Mcintosh Mx121 ใช้ board , Network connection ร่วมกับ Marantz แต่อย่างอื่น Mcintosh ต่อยอดเพิ่ม ณ จุดนี้คงไม่มีใครพูดว่า ซื้อ MArantz ก็ได้ ข้างในคล้ายๆกัน เสียงก็เหมือนๆกัน ประหยัดไปหลายแสนหรอกนะ
และในส่วนที่ไม่ประกาศแต่เราก็พอจะทราบเช่น Monolish และ ATI ที่ผลิตในส่วนของ pre-processor
ซึ่งในความเป็นจริงในฐานะของ user อย่างเราๆท่านๆ คงไม่ต้องขุดลงไปลึกขนาดนั้นว่าอะไหล่แต่ละตัวมีที่มาจากไหน ผลิตจากไหน ใครทำให้ อะไหล่ตัวไหนทำที่ไหน โรงงานประกอบเป็นของใครเพราะในความเป็นจริงนั้นผู้ผลิตมืออาชีพนั้นมีการคัดสรรวัตถุดิบและ supplier มาเป็นอย่างดี กว่าจะประกอบเครื่องออกมาสักเครื่องต้องใช้อะไหล่มากมายจากทั่วโลก และหลาย supplier มารวมกัน เราคงไม่สามารถเอาอุปกรณ์แต่ละชิ้นมาเปิดสเปก กดเครื่องคิดเลขรวมราคาและรวมกันออกมาเป็นราคาเครื่องได้ เพราะในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น บางทีอะไหล่จากคนละแหล่งก็ให้เสียงที่แตกต่างกัน ไม่รวมถึงการต่อยอดของอุปกรณ์ภาคจ่ายไฟ การเลือก wireing สาย และงานประกอบ งาน QC อีกมากที่ทำให้คุณภาพของเครื่องที่แม้จะใช้ชุด kit จากบริษัทใหญ่ๆหลายแหล่งแต่คุณภาพเสียงก็ออกมาไม่เท่ากับแบรนด์ที่ผู้ผลิตที่คิดค้น R&D นั้นจริงๆเป็นผู้ผลิต
อาจจะฟังดูโหดร้ายที่ในความเป็นจริงในโลกใบนี้ ของทุกอย่างนั้นคุณภาพก็ล้วนเป็นไปตามราคา จ่ายเท่าไร่ก็ได้ตามนั้น ของถูกและดีสมราคานั้นมี เราพอใจ ณ จุดนั้นมั๊ย หรือเราคาดหวังว่าจ่ายน้อยกว่าแต่คุณภาพต้องเท่ากับของแพง
ไม่เช่นนั้นเราคงคาดหวังว่าไปซื้อ MG แล้วเอามาแปะโลโก้ Benz เหมือนในข่าวที่เราเห็นตาม Social ก็ได้ แล้วมโนว่าคุณภาพเท่ากัน เพราะ design มันก็คล้ายคลึงกัน มองแง่ความสบายใจคงไม่ผิดอะไร แต่คนใช้ Benz จริงๆคงไม่ได้มาสนใจอะไรว่ารถที่เอาโลโก้แสดงความเป็น identity และถอดความภาคถูมิใจของตัวเองออกแล้วโฆษณาว่าตัวเองคืออีกแบรนด์ที่พยายามจะปีนขึ้นไปเป็นนั้นมีนดีกว่าจริงหรือเปล่า (เอาจริงเขาอาจจะแค่สับสนว่ารถอะไร แต่ไม่ได้มาสนใจว่าดีกว่าจริงมั๊ย หรือจ่ายน้อยกว่า 2-3 เท่าจะได้คุณภาพรถเท่าเราจริงหรือไม่
ดังนั้นใช้วิจารณญาณทุกครั้งเมื่ออ่านข้อมูลต่างๆใน social , internet, webboard หรือแม้แต่ร้านค้าต่างๆ เพราะทุกคนก็ต้องการให้แบรนด์ตัวเองขายได้ จนบางครั้งหลงลืมความภาคภูมิใจในตัวตนของแบรนด์ตัวเอง แต่ไปยืมแบรนด์อื่นมาใช้แทน โดยเฉพาะในระยะยาว การดูแลหลังการขาย ตัวแทนต่างๆ การ Service ต่างๆด้วยเช่นกันครับ
ด้วยความปรารถนาดี เพราะการโดนหลอกและความผิดหวังนั้นไม่น่าอภิรมณ์ การโดนฝรั่งหลอกอาจจะเจ็บปวด การโดนจีนหลอกก็น่าจะเจ็บปวดเช่นกัน แต่ไม่น่าจะมีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่าการโดนคนไทยด้วยกันหลอกกันเองนี่ละครับ เจ็บปวดที่สุด ... จริงไหม
---------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
https://emotiva.com/blogs/news/emotiva-audio-the-history-part-2?fbclid=IwAR3PeX67o0K3RTUenlhacBJB0uoRy96QgWim1YPsfxfp66IR6Nh4RmOFjYo
emotiva, Anthem, emotiva rmc-1, mc-1, Rotel, jade, jade design, home theater, tonewinner, tone winner, copy
สินค้าในตะกร้า ({{total_num}} รายการ)
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง
➜ เลือกซื้อสินค้าเพิ่ม