Review Klipsch RF-7 III & Klipsch RC-64 III

Klipsch เปิดตัวลำโพงตัวใหญ่สุดในซีรี่ย์ Reference III ทั้งสองตัวในปี 2017 ซึ่งปัจจุบันก็ 4 ปีมาแล้วนับตั้งแต่วันออกวางจำหน่าย แต่จำได้ว่าเรายังไม่เคยรีวิวลำโพงในซีรี่ย์นี้เลย วันนี้แม้จะช้าไปหน่อย แต่เชื่อว่าแฟนๆ Klipsch ในบ้านเรามีอยู่ไม่น้อย และหลายคนก็อยากรู้ลำโพงรุ่นใหญ่สุดสองตัวนี้มันเป็นอย่างไร เสียงแตกต่างจากตระกูล RP และสองตระกูลนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงต้องแยกรุ่น วันนี้ลงทุนแมนจะมาเล่าให้ฟังครับ เอ้ยไม่ใช่ วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ...
แรกเริ่มเดิมทีย้อนอดีตกลับไป 75 ปีก่อนนั้น Klipsch สร้างชื่อตัวเองจากลำโพง 2 ch ในตระกูล heritage premium ซึ่งประกอบไปด้วย heresy, cornwall, forte, la scala, klipschorn ซึ่งออกแบบมาเป็นลำโพงฟังเพลงอย่างเดียว 100% และได้นับความนิยมไปทั่วโลกตลอด 75 ปีที่ผ่านมา
Klipsch มาตระหนักรู้เมื่อ 21 ปีที่แล้วว่า น่าจะริเริ่มผลิตลำโพงเพื่อใช้ในการดูหนังในปี 1999 และตั้งชื่อว่า Reference series และมันได้รับความนิยม ด้วยนำเสียงที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ในซีรี่ย์นี้มีลำโพงมาถึง 32 รุ่น และหนึ่งในนั้นก็คือ RF-7 , RC-7 , RS-7 ซึ่งถือเป็น flag ship ของรุ่น

3. ยุค Reference ยุคที่สอง
ต่อจากนั้นในปี 2006 ก็ได้ออก New Reference Series รุ่นใหม่ออกมา โดยไม่ได้เปลี่ยนชื่อรุ่น เป็นการแค่ Re-Design แต่ยังใช้ชื่อเดิมแต่พ่วงด้วยคำว่า New เข้าไป ซึ่งในซีรี่ยนี้ประกอบไปด้วยลำโพงมากถึง 20 model และมีการทดลองลำโพงรุ่นใหม่เพิ่มเข้ามาแทนที่รุ่นเดิม ได้แก่ RF-83, RF-63 ที่ใช้ดอกวูฟเฟอร์สามดอก และในซีรี่ย์นี้นี่เองที่มีการแนะนำ RC-64 เข้ามาให้โลกรู้จัก และปลดประจำการรุ่น RC-7 ออกไป
ดังนั้นจะถือว่าตระกูล Reference Series เริ่มต้นที่ปีนี้ก็ว่าได้ เพราะเป็นซีรี่ย์ที่มีลำโพง RF-7, RC-64 ครบถ้วนในซีรี่ย์ และถือว่าลำโพงในตระกูล Reference นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1999 ก็มีอายุตลาดยืนยาวถึง 10 ปีทีเดียว


ในปี 2010 Klipsch เปิดตัวลำโพงซีรี่ย์ Reference II และยกเครื่องลำโพงใหม่ทั้งหมด ปีนี้เป็นปีทองของลำโพงดูหนังของ Klipsch ก็ว่าได้ เพราะเป็นลำโพงตระกูลที่ได้รับความนิยมสูงมากทั่วโลก และเข้าไปตีตลาดในในหลายๆประเทศด้วยจุดเด่นของเขาที่ไม่มีใครเหมือน
และในซีรี่ย์นี้ Klipsch พัฒนา RF-7 II และ RC-64 II รุ่นใหม่ออกมาอยู่ซีรี่ย์นี้ด้วย ซึ่งเป็นลำโพงรุ่นใหญ่สุดของซีรี่ย์ Reference II
RF-7 , RC-64 มีความแตกต่างกับลำโพงรุ่นอื่นในซีรี่ยเดียวกันที่ตัวลำโพงผลิตใน Hope Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับลำโพงในตระกูล THX, Heritage Preด้วยแรงงานคน เป็นงาน Hand Made และใช้วัสถุดิบที่ดีกว่า ในขณะที่ลำโพงตุวอื่นๆนั้นจะผลิตที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

5. ยุค Reference Premier ยุคแรก (2015)
ในปี 2015 Klipsch เปิดตัวลำโพง Rference Premier รุ่นใหม่ล่าสุด และ Reference Series รุ่นล่าง เป็นอันจบสิ้นตระกูล Reference II ในปีนี้ แต่ยังคงเหลือลำโพงในซีรี่ย์นี้ไว้สองรุ่นคือ RF-7 II, RC-64 II ทำให้ตอนนี้ลำโพงในตระกุลดูหนังของ Klipsch ถูกแตกออกเป็น 3 ซีรี่ยด้วยกัน (ไม่นับรวม THX Ultra Series) นั่นคือ
- Reference II ซึ่งเหลือแค่สองรุ่น RF-7 II, RC-64 II
- Reference Premier ที่มาทดแทนลำโพงในซีรี่ย์ Reference II ทั้งหมด ซึ่งแนวเสียงก็จะยังคงคล้ายรุ่นเดิม แต่ปรับจูนให้มีความกลมกล่อมและลดความจัดจ้าน พุ่งสด คมน้อยลง
- Reference ที่เพิ่มเติมมาเสริมในช่วง budget ตอบโจทย์ของคนเล่นงบน้อย (ส่วนตัวผมคิดว่าออกมาเพื่อสู้และปิดแก๊ปกับลำโพงอื่นๆเช่น Polk) ซึ่งแนวเสียงของรุ่นนี้จะไม่จัดจ้านดุดันมากนัก
ซึ่งยุคนี้นี่เองเป็นช่วงที่ klipsch เริ่มแตกไลน์สินค้าตัวเองออกมาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น active speaker ,sound bar, หูฟังอีกมากมายหลายอย่าง

6. ยุค Reference Premier ยุคที่สอง (2018) และ Reference III
ยุคนี้ขอเรียกว่ามันคือรุ่นปัจจุบันที่เราใช้กันอยู่นี่ละครับ Klipsch เปิดตัวลำโพง New Reference Premier มาทดแทน Reference Premier ของเดิมซึ่งมีอายุตลาดเพียง 3 ปีเท่านั้น และใช้แค่คำว่า New นำหน้า นั้นก็แปลว่า เป็นการ Re-design ลำโพงในซีรี่ย์นี้มาทดแทน ซึ่งก็ยังมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงของเก่า แต่มีการปรับปรุงเรื่อง cosmetic โดยการเพิ่มขอบทองแดงที่ลำโพงให้ดูสวยขึ้น และปรับจูนเสียงกลางแหลมฮอร์นให้กลมกล่อม และลดความสด จัดจ้านลงมาอีกนิดนึงด้วย (ซึ่งรุ่นที่ขึ้นชื่อในความสดและจัดจ้าน แซ่บซี้ดไม่ประนีประนอมหูที่สุดก็เป็น RF , RF II หลังจากนั้นก็ปรับลดลงมาเรื่อยๆ)
และในปี 2018 นี้เองที่ Klipsch ก็ประกาศ New Klipsch Reference III ขึ้นมาด้วย
ซึ่ง Klipsch Reference III ก็ยังประกอบไปด้วยลำโพงแค่สองรุ่นนั่นคือ Klipsch RF-7 III และ RC-64 III
และในยุคนี้เองที่เรายืนอยู่ในปัจจุบันกับลำโพงรุ่น FlagShip ที่แตกไลน์ออกมาจากลำโพงในซีรี่ย์ Reference, Reference Premier เพื่อครองความเป็นที่สุดของลำโพง Home Theater ที่ยังคงได้รับความนิยมทั่วโลกอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

---------------------------------------------------------------------------------
แนวเสียงของลำโพง Reference III

ด้วยหลักการออกแบบที่เน้น High efficiency และ Low distortion ในลำโพงแทบทุกรุ่นของ klipsch นั้น พูดง่ายๆก็คือเป็นลำโพงทรงพลังที่อัดได้มากเท่าที่ต้องการ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่ามันถึงได้เข้าไปครองใจนักฟังในตลาดอเมริกาค่อนข้างมาก (เพราะเป็นบ้านเกิดเขาด้วย) แต่ประเทศที่ได้รับความนิยมน้อยลงมาหน่อยก็จะเป็นประเทศที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เช่น Hong Kong, Japan และในไทยก็ได้รับความนิยมเฉพาะในหมวดของ Home Theater แต่บ้านเราไม่ค่อยมีใครนิยมเอาลำโพงตระกูลนี้มาฟังเพลง เพราะด้วยพื้นที่ และแนวเพลง และรสนิยมการฟังในบ้านเรานั้นแตกต่างออกไป เราจะสังเกตว่า ในประเทศที่พื้นที่จำกัดอย่าง ไทย หรือฮ่องกง และฟังเพลงในแนวไพเราะอ่อนหวาน จะมี taste ลำโพงในแนวใกล้เคียงกัน สังเกตจากลำโพงทีได้รับความนิยมขนาดถูกจัดลำดับให้เป็น 4 จตุเทพลำโพงยุคเก่า และยุคใหม่นั้นจะมีคุณลักษณะแบบเดียวกันหมด (ลำโพงสาม ในสี่ตัวก็มีคุณลักษณะเสียงคล้ายๆกัน และใช้ Soft Dome เหมือนกัน มีตัวเดียวที่เป็น daimond tweeter) นั่นคือฟังเพลงร้องดี มีแนวเสียงที่ติดไปทาง warm, laid back เพื่อเหมาะกับแนวเพลง และสถานที่ที่จำกัด เน้นความนุ่มนวลและเนื้อเสียงที่ละมุน มากกว่าวัฒนธรรมดนตรีทางตะวันตกที่เน้นไปทาง HipHop หรือเครื่องดนตรีสังเคราะห์

ในซีรี่ย Reference ii, Reference Premier นี้จึงดังในบ้านเราในฐานะลำโพงดูหนังที่ให้เสียงดุดัน พุ่งสด หากจับคู่กับแอมป์หรือ AVR กำลังน้อยๆเน้นเสียงกลางแหลม ก็จะยิ่งเสริมย่านกลางแหลมให้สดจัดเข้าไปอีก แต่หากจับ matching ดีๆ เนื้อเสียงจะหนาและมีพลังน่าฟังมากครับ ถือเป็นลำโพงอีกหนึ่งซีรี่ย์ที่ขับง่าย แต่มีศีกยภาพแฝงสูง ยิ่งป้อนพละกำลังคุณภาพดีๆเข้าไป ลำโพงก็ยังไปได้ต่อไปได้อีกเยอะเช่นกันครับ ถือเป็นของดี คุ้มราคาอีกหนึ่งแบรนด์ที่แม้แนวเสียงจะไม่ได้เด่นด้าน Tonal Balance หรือความนุ่มนวล แต่บุคิลคมุ่งเน้นไปที่ความชัดเจน หนักแน่น และดูหนังสนุก จริงๆจัง จนบางครั้ง Audiophile ก็รู้สึกว่ามันเข้มข้นและหนักเกินไปฟังแล้วอาจจะล้าหูได้เช่นกัน

Klipsch RF-7 III
หนักข้างละ 44 กิโลกรัม เป็นลำโพงสองทางครึ่งตู้เปิด ใช้ทวีตเตอร์ฮอร์น 1.5" และวูฟเฟอร์ 10" สองดอก เป็นลำโพงที่มี Sensitivity 100 หรือเรียกว่าป้อนแอมป์ 1 วัตต์ได้ความดัง 100 dB หากนั่งฟังที่ระยะ 1 เมตรนั่นเองครับ แต่ในสเปกกลับระบุความต้องการกำลังขับเอาไว้ที่ 250 watt และพีคที่ 1000 watt (ปกติลำโพงทั่วๆไป peak จะประมาณ 4 เท่าของกำลังขับเฉลี่ยที่ต้องการ) นั่นก็แปลว่าป้อนกำลังเท่าไร่ มันก็ให้เสียงดังได้ แต่ถ้าจะให้มันเสียงดีก็จำเป็นต้องป้อนกำลังขับดีๆมีคุณภาพและมีกำลังที่มากพอ ซึ่งผู้ผลิตก็ระบุและแนะนำไว้ที่ 250 วัตต์
ซึ่งลำพังกำลัง 250 วัตต์นั้น AVR ทั่วๆไปนั้นให้ไม่ได้อยู่แล้ว ก็แปลว่าตัวมันนั้นหากต้องการศักยภาพให้ใกล้เคียงสูงสุดอย่างที่มันทำได้ก็ควรต้องใช้ power amp นั่นเอง

Klipsch RC-64 III
เป็นลำโพงเซ็นเตอร์คู่บุญที่ออกแบบมาเข้าคู่เพื่อใช้งานร่วมกับ RF-7 III โดยเฉพาะ น้ำหนัก 24 กิโลกรัม ความไว 99 dB ออกแบบเป็นตู้ปิด สองทางครึ่งใช้ tweeter 1.5" และวูฟเฟอร์ 4 ดอก 6.5" แบ่งครอสโอเวอร์ทำงานกันทีละสองดอก

แนวเสียงจากลำโพงทั้งคู่นั้นให้แนวเสียงไปในทาง Bright
- โดดเด่นในด้านความพุ่ง สด และคมชัดของเสียงสไตล์อเมริกัน ความชัดนั้นทำได้ดีกว่าลำโพงในซีรี่ย์ Reference Premier อย่าง Rp8000f ไปอีกระดับนึง เนื่องจากการได้ tweeter 1.5" ที่ใหญ่กว่าในซีรี่ย์ premier นั่นเอง
- จุดเด่นอีกด้านก็เป็นย่านกลางต่ำที่ลงได้ลึก 32 Hz เรียกว่าในห้องเล็กๆที่มีขนาดไม่ใหญ่นั้น แทบจะไม่ต้องการซับวูฟเฟอร์กันเลยก็เป็นไปได้ ด้วยอาณิสงค์ของดอกลำโพง 10" คู่ จึงทำให้สามารถผลิตความถี่ต่ำที่มาก และเพียงพอได้
ลักษณะแนวเสียงต่ำของ Klipsch จะเป็นแนวกระชับ หนักแน่น คม และเก็บตัวเร็ว ซึ่งก็เป็นความถี่ต่ำในแบบอุดมคติของซับวูฟเฟอร์ชั้นดี เพียงแต่ยังขาดย่าน deep bass ที่ยังต้องพึ่งพาซับวูฟเฟอร์อยู่
- แนวเสียงนอกจากความชัด ความถี่ต่ำแล้ว ไดนามิคก็เป็นอีกจุดนึงที่แฟนๆ Klipsch ทั่วโลกชื่นชอบ
เพราะลำโพงตัวนี้ให้พละกำลังจากจุดเงียบไปจุดที่ดังที่สุด หรือพูดง่ายๆก็คือมันให้เสียงในฉาก jump scare หรือเสียงเอฟเฟค เช่น ปืน ระเบิด เสียงกระทบของวัตถุต่างๆที่เร็ว เฟี้ยวฟ้าว สะใจและพุ่งและเก็บตัวดี ไม่ย้วยจนได้ยินเสียงที่ควรจะหยุดแล้วเรายังได้ยินเสียงนั้นต่อเหมือนบุคลิคของลำโพงทั่วๆไปที่มีแนวนุ่มนวล และความแตกต่างของลำโพงตัวนี้กับ RP8000F ในซีรี่ย์ Reference Premier ก็คือตัว RF-7 III นั้นให้ไดนามิคและแรงกระแทกของเสียงได้ดีกว่า หนักกว่า และรวามไปถึงเบสที่หนักแน่นกว่าด้วยครับ
บุคลิคของลำโพงสองตัวนี้จะเป็นแนวดุดัน ดูหนัง จึงทำให้แนวเสียงมันออกไปทางสด พุ่ง และมีโอกาศที่จะเสียดหูได้หรือติดบางได้ ทั้งนี้หากได้กำลังขับจากแอมป์ที่มีคุณภาพเพียงพอและแมทชิ่งนั้น ต้องบอกว่าอาการดังกล่าวนั้นไม่มีอยู่เลย สามารถขับเสียงที่ใหญ่โต หนา มีสเกล แต่ก็รวดเร็วและไม่ย้วยยืดออกมาได้เป็นอย่างดี

ถ้าให้เรากล่าวว่าลำโพงทั้งคู่เหมาะกับใคร ?
ผมว่ามันน่าจะเหมาะกับการรับชมภาพยนตร์ เอาไว้ในห้องเล่นเกม ห้องดูหนัง ดูคอนเสิรต์ หรือห้องความบันเทิงภายในบ้าน ที่เน้นใช้งานหลายๆอย่าง เน้นดูหนังสนุกสนาน ฟังเพลง Hiphop, เครื่องดนตรี Electronic หรือเล่นเกม FPS เกม Action
แต่อาจจะไม่เหมาะที่จะเอาไว้เป็นลำโพง 2 ch ประจำบ้าน หรือนักเล่นที่เน้นลำโพงที่ให้เสียงไปในโทน Warm หรือนุ่มนวล หรือหากเป็นคนที่ไม่ชอบเสียงกระแทกหนักๆ ไดนามิคแรงๆยามชมภาพยนตร์ ไม่ชอบเสียงตกใจจากไดนามิคเหล่านี้ก็แนะนำว่าไม่ควรใช้ครับ เพราะบุคลิคของลำโพงมันเป็นแนวนี้

ข้อดี
1. เป็นลำโพงความไวสูงมาก ถึงระดับ 100 dB ขับง่าย แต่มีศักยภาพสูง และยังต้องการแอมป์คุณภาพสูงและวัตต์สูงหากต้องการศัพยภาพจากลำโพงสูงสุด เรียกง่ายๆว่าแรงตามตังค์ได้เลยก็ว่าได้ สามารถเอาแอมป์อะไรก็ได้มาขับ เสียงออกได้ระดับน่าพอใจ และลำโพงก็ยังไปได้อีกเรื่อยๆตามตังค์และอุปกรณ์ที่เอามาใช้ร่วมกับมัน โดยเฉพาะ Pre-process และ Power amp ครับ
2. ลำโพงให้แนวเสียงที่ชัด สด ดุดัน เข้มข้น ไว ดูหนังสนุก เล่นเกมดี เหมาะสำหรับคนที่มีความต้องการแนวนี้ เพราะเท่าที่ฟังมา ไม่มีลำโพงตัวไหนที่ดุเดือดและมีสไตล์ไปในแนวทางนี้เหมือน Klipsch อีกเลย ยกเว้นลำโพง Dedicated Home Theater ของ Klipsch รุ่น THX หรือ ของยี่ห้ออื่นบางตัวก็ให้คุณภาพใกล้เคียงแนวนี้ได้ แต่อาจจะต่างบุคลิคกันไปตามแต่ละแนวทางของแต่ละตัวครับ
3. เป็นลำโพงตั้งพื้น และเซ็นเตอร์ที่ออกแบบมาให้เป็นลำโพงวางลอยตัว ไม่ต้องใช้ขาตั้ง และไม่ต้องใช้การบิ้วอินเข้าไปในผนัง ทำให้ติดตั้งง่าย แค่วาง แต่กระนั้นก็ยังสามารนำไปไว้หลังจอได้ เพราะคุณสมบัติของ tweeter horn ที่ให้ความเข้มของเสียงสูง สามารถทะลุผ่านจอออกมาได้ดี ทำให้เสียงไม่ทึบหากไปอยู่หลังจอ แต่ก็ไม่แนะนำ เพราะสิ่งที่จะต้องเสียไปก็คือระดับความสูงของตู้ที่เมื่อวางหลังจอแล้วทำให้ระดับทวีตเตอร์สูงเกินระดับหูขึ้นไปอีกครับ (ปกติหลังจอ จะยกจอขึ้นไปสูงกว่าพื้น)
4. เป็นลำโพงที่เร่งได้ดัง ความเพี้ยนต่ำ และเหมาะเอาไว้อัดโดยเฉพาะ ระดับความดังและความเพี้ยนอาจเข้าใกล้และเทียบได้กับลำโพง Cinema หรือ Dedicated Home Theater ดีๆบางตัวเลยก็ว่าได้

ข้อเสีย
1. เป็นลำโพงที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักค่อนข้างปานกลางไปจนถึงมาก ทำให้การจัดวางในห้องขนาดเล็กทำให้เกะกะพื้นที่ได้
2. ตัวตู้ และผิวลำโพงเป็นรอยง่าย โดยเฉพาะผิวไวนิลตามขอบมุม หากมีวัตถุแหลมคมไปเกี่ยวก็มีโอกาศที่ตามขอบลำโพงจะลอก เป็นรอย รวมถึงขอบเหลี่ยมของตู้ที่มีลักษณะคมก็มีโอกาศที่จะชนและเสียหายได้ง่ายครับ
3. เป็นลำโพงที่ไม่เหมาะกับนักฟังสาย Warm ที่ชอบฟังนุ่มๆ อุ่นๆ เบสหนาๆ คลอๆเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งชอบเสียงกลางต่ำหนาๆ คลอขึ้นมากลบเสียงกลางแหลมเยอะๆ ฟังนุ่มหู นวล สบายหู เช่นเสียงร้องนักร้องเพลงลูกทุ่ง เสียงลูกคอ หรือบรรยากาศช้าๆ ไม่รีบเร่ง หรือเพลงจีนที่เน้นเสียงแหลมกังวาลพริ้วๆ ไม่ agressive แบบนี้ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยง
4. ไม่เหมาะกับ AVR กำลังน้อยๆ หรือ AVR ที่เด่นในด้านบรรยากาศ เสียงกลางแหลม เพราะจะยิ่งส่งเสริมให้ย่านกลางแหลมมากขึ้นไปอีก และวูฟเฟอร์เสียงต่ำทำงานได้ไม่เต็มที่ทำให้โทนเสียงเมื่อจับกับ AVR ที่กำลังน้อยๆ และเด่นย่านเสียงแหลมอยู่แล้วนั้นอาจฟังเสียดหู และหยาบกล้านได้ (เป็นความชอบและความรู้สึกส่วนบุคคล หากท่านฟังแล้วพอใจและรู้สีกว่าฟังดีก็คือจบ)

สรุป
ลำโพง Klipsch RF-7 III และ RC-64 III เป็นลำโพงอีกหนึ่งตัวที่เสียงดีและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง หากคุณชอบเสียงในสไตล์นี้ ผมคิดว่าไม่น่ามีลำโพงตัวไหนที่มาเทียบหรือเป็นคู่แข่งกับมันได้ง่ายๆ ในช่วงราคานี้ เพราะแนวเสียงที่ Klipsch ทำนั้นผมก็หาไม่ได้ในลำโพงบ้านแบรนด์อื่นๆเช่นกัน แต่หากทว่าคุณไม่ชอบเสียงของมันแล้ว แม้จะเซ็ทอัพอย่างดีแล้ว และใช้ prepro และ power คุณภาพดีที่แมทชิ่งและถูกฉโลกกับมันแล้ว ก็ขอให้มั่นใจว่าคุณไม่ชอบ และมองข้ามไปดูตัวอื่นได้เลยครับ เพราะความชอบไม่ชอบมันไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว เสียงดีของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดก็คือ ถ้าคุณชอบเสียงและสไตล์ของลำโพงคู่นี้แล้วละก็ คุณจะไม่ผิดหวังแม้แต่เสี้ยวนาทีเดียวในการได้ครอบครองมัน และทุกวันที่คุณได้ใช้งานมันดูภาพยนตร์ เล่นเกม ได้ยินเสียงเบสหนัก ไดนามิคแรงๆ ฉากกระแทกที่แฟนคุณสะดุ้งและลำโพงบ้านในระดับเดียวกันให้ไม่ได้ หรือแม้แต่คุณได้มีโอกาศไปฟังหนังฉากเดียวกันที่ห้องเพื่อนที่ใช้ลำโพงบ้านตัวอื่นแล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมคนทั่วโลกถึงตกหลุมรักลำโพงคู่นี้
ใน ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับยุคของ Reference Premier ก็เป็นช่วงที่ klipsch เริ่มแตกไลน์สินค้าตัวเองออกมาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น active speaker ,sound bar, หูฟัง ซึ่งเอาจริงๆเราก็ยอมรับว่าไม่ได้ชอบและถูกใจเสียงของลำโพงทุกรุ่นของ klipsch ซึ่งตัวไหนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่พูดถึง ตัวไหนที่ชอบเราก็แนะนำไป (ตัวไหนที่ผมไม่เคยพูดถึงเลยก็แปลว่าผมฟังแล้วไม่ใช่) และตัวที่ผมกังขามากก็คือ Klipsch รุ่นใหม่ที่ใช้ Dome นุ่ม ซึ่งผมบอกตรงๆว่าแนวเสียงของโดมนุ่มกับ Klipsch นั้นมันไปในทางตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าเขาเอาไปใส่ไว้ในตัวล่างสุดรุ่นประหยัดอย่าง Reference Series นั้นผมก็พอจะเข้าใจได้ เพราะแนวเสียงมันก็จะ dullๆ ไม่ชัดมากเหมือนรุ่นพี่ แต่วันนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า Klipsch รุ่นใหม่นี้มันมาอยู่ตรงไหนของจักวาล Marvel เอ้ย จักรวาลผลิตภัณฑ์ของ Klipscj
แต่ที่แน่ๆวันนี้มีลำโพงที่แม้วันนี้เราอาจจะไม่ได้พูดถึงของ klipsch อีกหลาย series และเสียงดี หนึ่งในนั้นก็เช่น THX, Klipsch Heritage Premium, Reference Premimer, Reference III แต่ให้เชื่อเถอะว่าชื่อที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพ เสียงดี และได้รับความไว้วางใจจากนักเล่นสาย Home Theater และแม้แต่ 2 แชนแนลทั่วโลก (ใน Heritage Series)
ปล. ผมอาจจะไม่ใช่นักขายที่ดีนะครับ เพราะรุ่นไหน ตัวไหนที่เสียงมันไม่ใช่ ผมก็พยายามที่จะไม่แนะนำและไม่พูดถึง แต่ผมจะพยายามเป็นนักรีวิวที่ดีและตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์กับเวลาที่ผู้อ่านเสียไป หลายรีวิว หลายคำแนะนำที่ผมพยายามบอกและสื่อสารออกไปแล้วมันไม่ได้รับการยอมรับ และมันต้องใช้เวลาในการพิสูจน์หลายปี หรือค่อนข้างนาน ไม่ว่าจะเป็นสมัย SVS , Emotiva, Zidoo, StormAudio, Kef, Gryphon ซึ่งแต่ละตัวผมก็ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย หรือเคยเป็นแต่ปัจจุบันไม่เป็นแล้วด้วยซ้ำ แต่ละตัวก่อนที่ผมจะใช้คำว่าเสียงดีและลงมันไปในโลกโซเชี่ยล นั้นผ่านกระบวนการฟัง และคิดมาอย่างดีแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันกลายเป็น footprint ของโลกอินเตอร์เน็ทใบนี้ให้คนย้อนกลับมาอ่านได้ไปจนกว่าอินเตอร์เน็ทจะล่มสลาย
ผมไม่มั่วนะครับ แต่คุณจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ความชอบและสไตล์การฟังของคุณครับ
ซึ่งทุกคนมีแนวทางของตัวเอง อย่าซื้อของเพราะเพื่อนชอบ หรือเอาใจเพื่อ หรือซื้อของมาประดับบารมีเพื่ออวดว่าเรามี อย่าลืมว่าเงินเรา เราซื้อ เราต้องชอบ







