ทำไมบริษัทผู้ผลิตลำโพงเวลาวัดค่า frequency หรือทดสอบลำโพงถึงต้องอ้างอิงในห้อง Anechoic Chamber Room หรือเรียกว่าห้องไร้เสียงสะท้อน

1. ห้องไร้เสียงสะท้อนมีสภาพเป็น Free field condition หรือเรียกง่ายๆก็คือไม่ถูกรบกวนโดยอคูสติกของห้องจึงใช้ทดสอบลำโพงและวัดค่า ทดสอบคุณภาพเสียงในแต่ละย่านว่าสามารถไปได้แค่ไหนโดยไม่ถูกอคูสติกห้องมารบกวน
ปกติลำโพงตัวเดียวกันตั้งในห้องต่างกันเสียงก็ไม่เหมือนกัน บางทีเบสหนาขึ้น แหลมจัดขึ้น เบสหายไป (เบสหายยังไม่เดือดร้อนเท่าเบสเยอะไป) เนื่องจากการได้รับผลกระทบของ room acoustic และ room mode. ของแต่ละห้อง
2. เมื่อเราวางลำโพงไว้ เสียงที่เราได้ยินมาถึงหูคนเราจึงผสมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ และอคูสติกของห้อง นักเล่นบางคนบอกลำโพงรุ่นนี้แห้งเบสบาง. นักเล่นอีกคนบอกรุ่นนี้เบสหนา อิ่มเอิบ. สาเหตุอาจไม่ใช่ใครเก่งกว่าใคร หรือใครฟังไม่เป็นหรือใครเซ็ทลำโพงเก่งกว่ากัน แต่เป็นเรื่องของอคูสติกห้องที่แตกต่างกัน. การไปลองฟังลำโพงในห้องฟังที่จัดไว้เหมาะสมอาจจะไม่สามารถการันตีได้ว่าเสียงจะเป็นแบบนั้นเมื่อมาตั้งในห้องของเรา แต่แค่ไปซึมซับความสำเร็จของลำโพงในห้องที่เขาจัดไว้ดีแล้วว่ามันสามารถดีได้มากแค่ไหน แล้วก็ซื้อมาเสี่ยงดวงในห้องเราอยู่ดี ดังนั้นลำโพงที่ฟังดีในห้องเดโมที่ใดสักแห่งอาจจะไม่ได้ฟังดีในห้องเราก็ได้ และลำโพงที่ฟังในห้องเดโมที่ไม่ได้จัดอคูสติกที่เหมาะสมแล้วเรารู้สึกเสียงมันห่วยจังว่ะ อาจจะเสียงดีมากในห้องอื่นก็เป็นได้อีกเช่นกัน

3. การวัดค่า. Frequency response นั้นต้องมีมาตรฐาน การวัดค่าในห้องทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้เพราะบางห้องกราฟความถี่ต่ำอาจจะโด่ง. บางห้องอาจจะเป็นหลุม. ดังนั้นห้องไร้เสียงสะท้อนจึงช่วยให้สามารถวัดค่าและได้ยินเสียงจริงๆของลำโพงตัวนั้น. รวมถึงเห็นกราฟที่ลำโพงตัวนั้นทำได้. หรือพูดง่ายๆเราเห็นศักยภาพที่เต็มที่จริงๆของลำโพงตัวนั้นนั่นเอง
4. ไอเดียของการทำห้องฟังคือ การไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากอคูสคิกห้องเลยหรือเสมือนไม่มีห้อง. แต่ในความเป็นจริงนั้นทำไม่ได้สำหรับ user ทั่วไปแบบเราๆ
ดังนั้นกราฟที่ออกจากโรงงาน และวัดจากห้อง Anechoic Chamber room จึงเป็นมาตรฐานที่บริษัทการันตีให้.
ในลำโพงราคาแพงๆมักจะมีผลเทสในห้องเหล่านี้แนบมาเวลาเราซื้อลำโพงและมีลายเซ็นกำกับ.เช่น kef reference series
แต่เวลาฟังและวัดค่าในห้องเรามักจะไม่เป็นแบบนั้น. หลายคนหลงไปปรุงแต่งด้วยวิธีมากมาย. แต่จริงๆแล้วๆเสียงที่เราได้ยินเกิดจากสิ่งหลักๆ 2 ส่วนคือ.
main equipment (speaker, pre, power, source) และ room acoustic

5. หากมีใครบอกว่ากราฟไม่สามารถบอกได้ว่าลำโพงตัวไหนเสียงดีกว่ากันได้.
ก็คงจะจริงของเขา แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้วัดความเสียงดีกันที่กราฟ เราวัดที่ผลลัพธ์โดยหู แต่เราใช้กราฟเพื่อวัดว่าลำโพงตัวนั้นๆมันกำลังแสดงศักยภาพได้เต็มที่ของมันหรือยังเท่านั้นเอง หากลำโพงแพงแสนแพงแต่กราฟในห้องฟัง 40-50hz โด่งไป 20 db ลำโพงตัวนี้จะเป็นขยะในห้องนั้นทันที ไม่สามารถฟังได้
ทางแก้ทำได้หลายวิธี แต่การจะรู้ว่าปัญหาเป็นที่ตรงไหนมีทางเดียวคือดูกราฟหรือฟังด้วยหู
ทางแก้ เช่น
แก้ room acoustic ด้วยแผ่นอคูสติก, bass trap
หรือย้ายตำแหน่งลำโพง ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าอคูสติกห้องมันเป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นแบบนี้เกือบทั้งห้อง มีแค่แย่มากกับแย่น้อย บางทีตำแหน่งที่ดีที่สุด(แย่น้อย)อาจจะไปตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมก็ได้ เช่นขวางประตู หรืออยู่กลางห้อง หรือบังจอ.
หรืออีกวิธีก็สามารถใช้ dsp ช่วยได้ แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนวัตถุประสงค์ของเราคือการได้ยินเสียงลำโพงตัวนั้นๆโดยปราศจากการบิดเบือน
ดังนั้นการวัดค่าลำโพงในห้อง Anechoic Chember Room จึงทำให้ได้ค่าที่เที่ยงตรง แม่นยำ และได้กราฟที่อ้างอิงได้ โดยปราศจากการบิดเบือนของห้อง
-หากเราฟังลำโพงในห้องของเราแล้วรู้สึกว่าทำไมเสียงไม่เหมือนในห้องเดโมที่ร้านเลย
-หรือเอาลำโพงตัวไหนเข้ามาก็ฟังไม่เพราะเลย หรือทำไมเบสบวมหมดทุกตัวแต่พอฟังลำโพงบุ๊คเชลฟ์เล็กๆแล้วฟังดี (มีปัญหาความถี่ต่ำ ถ้าใช้ลำโพงเล็กๆช่วงเบสลงไปไม่ถึงจุดที่มีปัญหาจึงฟังได้ปกติ)
- ฟังตั้งพื้นไม่ได้ ห้องเล็กไปหรือเปล่า
- หรือทำไมเอาลำโพงตัวใหญ่ใส่ซับแค่ไหนก็ไม่มีเบสเลย (room mode)
อย่าเพิ่งไปแก้ที่ปลายเหตุด้วย accessories หรือเปลี่ยนเครื่องไปเรื่อย แท้จริงปัญหาอาจจะอยู่ที่ Room acoustic หรือห้องของเรานี่เอง การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดคือ ห้อง และ main equipment

6. หลักการของการทำ auto room correction จึงเลียนแบบมาจากห้อง Anechoic Chamber room นั้นคือวัดค่า ณ จุดนั่งฟัง แล้วพยายามทำให้เสียงที่ได้ยินนั้นไม่ถูกรบกวนโดยอคูสติก โดยใช้วิธีง่ายๆคือ เสียงออกจากปากลำโพงอาจจะเป็น 100 % แต่เมื่อเสียงเดินทางผ่านห้องมาถึงหูเรา บางความถี่อาจจะเป็น 50% และบางความถี่อาจจะเป็น 200%
Auto room correction ก็จะพยายามไปแก้ให้เสียงเดินทางมาถึงหูเราให้ทุกความถี่ใกล้เคียงกับ 100% ที่สุด นี่คือหลักการของ auto room correction ทุกยี่ห้อทุกแบรนด์บนโลกใบนี้ คือให้เราได้ยินเสียงที่ flat และครบที่สุด เราไม่ได้ทำให้เสียงดี เสียงดีเป็นผลพลอยได้ แต่โปรแกรมพยายามจะทำให้ได้ยินเสียงให้ครบถ้วน และได้ยินทุกสรรพเสียงที่เป็นเสียงจริงๆของอุปกรณ์หรืออุปกรณ์ ตัวนั้นๆ
ถ้าเราบอกว่ากราฟไม่สำคัญหรอก เสียงที่เป็นธรรมชาติปราศจากการปรุงแต่งสำคัญกว่า
แท้จริงเราอาจจะไม่เข้าใจธรรมชาติของเสียงและ Room acoustic เลย
และเราคงไม่จำเป็นต้องมีห้อง Anechoic Chamber ไว้วัดค่ากราฟและฟังสิ่งที่ถูกต้อง ไว้เป็นมาตรฐานอ้างอิง
ไม่แน่สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติปราศจากการปรุงแต่งนั้น จริงๆแล้วอาจเป็นสิ่งที่บิดเบือนและผิดเพี้ยนที่สุด แต่การที่เราไปพยายามทำให้มันกลับมา flat และราบเรียบปราศจาก effect ของห้องบางทีนั่นอาจจะคือสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ที่ควรจะเป็นก็เป็นได้
สิ่งสำคัญในการฟัง
1. Main Equipment : ลำโพง, pre, power, Source
2. Room Acoustic : สัดส่วนห้องฟัง, Acoustic treatment, การเซ็ทอัพตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในห้อง
การปรับอคูสคิกในการฟังที่ดี (เรียงจากได้ผลดีมากไปน้อย)
1. ปรับสัดสวนห้อง
2. การใส่วัสดุซับเสียง (Acoustic treatment)
3. การไล่หาตำแหน่งลำโพงที่ดีที่สุด (ได้รับผลกระทบจากห้องน้อยที่สุดซึ่งบางห้องแต่ละตำแหน่งก็มีแค่แย่มากกับแย่น้อยกว่า)