มินิรีวิว Audyn S250 MKII กับ Klipsch Reference II
เมื่อวันก่อนลูกค้าเก่าผม (คุณใหญ่) ที่สั่ง Klipsch ไปใช้งานทั้งชุดยกหูมาทักทายสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา ก่อนที่แกจะตบท้ายว่าให้ลองเอา Power Audyn S250 MKII ไปส่งให้แกตัวนึง ตอนนั้นในใจผม งง ปน สับสนเล็กน้อย และคิดในใจว่า "อะไรว้า เสียงแกยังขาดอะไรอีก หรือแกมีปัญหาเรื่องเซ็ทอัพ หรือแกไม่ชอบเสียงซิสเต็มเดิม" แต่ปากก็ตอบไปแล้วว่า "ครับ" และต่อด้วย เดี๋ยวผมตามไปช่วยดูให้ด้วยครับว่าเสียงเป็นยังไง ซึ่งที่จะตามไปดูก็แค่จะดูว่าของเดิมเสียงมันมีปัญหาอะไร และทำไมต้องใช้ Power มาขับ ทั้งๆที่ซิสเต็มแกก็โอเคและขับไม่ได้ยากอะไร
พอจบการสนทนาผมก็โทรสั่งของ นัดหมายเวลา และผมก็รีบจัดการธุระตัวเองอะไรให้เรียบร้อย เพื่อจะไปดูปัญหาของลูกค้าเจ้านี้สิว่าทำมั๊ย ทำไมต้องเอา power ไปขับลำโพง และแกจะเอาไปขับลำโพงอะไร
บลาๆๆๆๆ แล้วเวลาก็ผ่านไป จนผมมารู้สึกตัวอีกที ก็ไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกค้าเรียบร้อยแล้ว อิอิ
ตอนนั้นน้องเมสเสนเจอร์มาส่งของเรียบร้อยแล้วครับ ผมมาช้าไป แถมขับรถมาโดนตำรวจจับอีก กรรมของเวร (ผมว่าช่วงนี้ยอดขาดนะครับ พี่ตำรวจทำงานกันขยันขันแข๊ง น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก อุอุ) เมื่อมาถึงผมก็พบกับเศษซากอารยธรรม เอ้ย เศษกล่องที่ถูกพี่เค้าแกะทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน ในใจผมเต้นรัวๆ ว่าป่านนี้พี่เค้าคงลองแล้วสินะ พี่เค้าจะชอบมั๊ย จะด่าผมรึเปล่าว่าเอาอะไรมาหลอกขายแก แล้วแกจะเอาลำโพงทั้งชุดพร้อมแอมป์หนักร่วม 30 กิโลมาทุ่มคืนที่หน้าบ้านผมมั๊ย ฮาๆๆ
มโนไปเรื่อยครับ ผมก็เดินเข้าไป พร้อมกราบสวัสดีงามๆ ทักทายหนึ่งที แล้วก็พบว่าพี่เค้าแกะกล่องออกมาสำรวจความเรียบร้อยได้แค่ 10 นาทีที่ผ่านมาเอง ยังไม่ได้ลองอะไรเลย มาถึงตรงนี้ผมต้องขออนุญาติอธิบายสภาพความเป็นไปของห้อง และอุปกรณ์ทั้งหมดที่พี่เค้าใช้กันก่อน จะได้เข้าใจว่าสภาพห้องเอย ลักษณะแนวเพลง ความชอบ อุปกรณ์ต่างๆ และ นิสัยใจของคอพี่ใหญ่คนนี้เค้าเป็นยังไง อิอิ
เริ่มจาก System แกนะครับ
1. AVR+ Pre: Yamaha 2010
2. Klipsch RF-52 (ของเก่าแก แกรักตัวนี้มาก รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ใจไม่ยอมเปลี่ยนไป อิอิ)3. Klipsch RC-62 II (ซื้อจากร้านผม)
4. Klipsch RS-52 II (ซื้อจากร้านผม)
5. Klipsch R-115SW (ซื้อจากร้านผม)
6. Accessories ต่างๆ เส้นสายทั้งหมดนั้นพี่เค้าจัดมาเอง
ส่วนห้องนี้ก็เป็นห้องที่ไม่ได้ปรับอคูสติกใดๆ หรือพูดง่ายๆก็ห้องนั่งเล่น ห้องพักธรรมดาๆ ที่ไม่สมบูรณ์พร้อม ไม่เป๋ะ ไม่สวยงามอะไรมากนัก ตามประสาห้องของคนทั่วๆไปที่มีใจรักการเล่นเครื่องเสียง และรักการดูหนังนั่นแหละครับ ก็ดูสภาพเอาตามรูปได้เลยว่าห้องนั้นค่อนข้างเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรมาก แต่ที่ทำให้ผมรู้ว่าแกรักการดูหนังแค่ไหนก็ตรงที่อุปกรณ์แกละอย่าง แกตั้งใจซื้อ ตั้งใจเลือก ทำการบ้านมาอย่างดีทุกชิ้น และแถมด้วยฮาร์ดดิสที่แกมีเกือบ 10 ลูกล้วนบรรจุหนังเรื่องโปรดเรียงรายกันอยู่เป็นตับ ภาพฮาร์ดดิสที่เรียงรายกันอยู่นี่มันทำให้ผมรู้สึกว่า เนี่ย แบบนี้แหละที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า พี่เค้าไม่ได้แค่จ่ายเงินเพื่อเล่นเครื่องเสียงนะ แต่พี่เค้ารักการดูหนัง ฟังเพลง และจ่ายเงินเพื่อเติมเต็มความสุขในการดูหนังของแก
ไม่ต้องดูอะไรมากครับ ดูแค่ลำโพงคู่หน้า Klipsch RF-52 version แรกเก่ากึ๊กตัวนี้ก็พอ แกรักของแกและใช้มาจนป่านนี้ได้ก็รู้แล้วว่าแกไม่ใช่สักแต่ว่าเล่น สักแต่เปลี่ยนเครื่องแน่นอน
เอาละมาเริ่มกันเลย ผมเข้าไปในห้อง ลูกค้ากำลังเช็คเครื่องและกำลังรอผมมาเทส amp ใหม่ด้วยกันอยู่พอดี คุณใหญ่แกบอกว่า เดี๋ยวแกจะเปิดหนังนะ ให้ผมฟังและแกก็จะฟังด้วย เพื่อจะดูว่าตอนใช้ AVR Yamaha 2010 ขับเนี่ยเสียงมันเป็นยังไง
แล้วเดี๋ยวเราจะมาลองเปลี่ยนไปใช้ Power Audyn S250 MKII กำลังขับ 250 วัตต์มาขับลำโพงเซ็นเตอร์ Klipsch RC-62 II แยกต่างหากว่าเสียงมันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือแย่ลง
พอแกพูดมาแบบนี้ผมก็ชักเหงื่อซึมๆ ร้อนผ่าวๆวาบๆที่หลัง และรู้สึกเหมือนขายลำโพงแพงๆ แล้วโดนจับเอามาทำ blind test กับลำโพงราคาถูกๆ คือถ้าทายถูกก็เสมอตัว แต่ถ้าทายผิดนี่คงเสีย... แหงๆ แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะถอยก็ไม่ได้ ก็ต้องอยู่ลองกับลูกค้ากันให้ถึงที่สุดให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
ผมคิดอะไรในหัวแป๊ปเดียว รู้สึกตัวอีกทีลูกค้าก็เปิดหนังแล้ว แกเปิด The Dark Knight อัศวินรัตติกาล ผมฟังๆไป สักพัก แกก็เลื่อนๆเอาฉากนู้นฉากนี้ให้ผมดู แล้วก็พูดอะไรของแกไป ใจผมก็มัวแต่คิดว่าถ้าเสียง power มันไม่ดีจะแก้ตัวยังไงดีละเนี่ย ฮาๆ แล้วแกเรียกสติผมด้วยคำพูดขึ้นมาประโยคนึงว่า เนี่ยเห็นมั๊ย เอฟเฟคกับเสียงพูดมันเหมือนจมๆอยู่ ยังไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่นเท่าที่ควร
ผมก็ลองตั้งใจฟังสักพัก โดยโฟกัสพวกเสียงโดยรวม และก็โฟกัสเสียงพูด และเอฟเฟคตรงกลางที่ออกจากเซ็นเตอร์เป็นหลักไปด้วยก็รู้สึกบางอย่างว่า เสียงมันจัดครับ คือ effect ต่างๆมันเฟี้ยวฟ้าว แบบพุ่งปรี๊ด แสบแก้วหูเล็กน้อย แต่ฉากไหนระเบิดลง ยิงปืนเบสมันก็มีนะครับ ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าหนักแน่น หรือบางเกินไป สาเหตุก็เพราะว่าดูจากซิสเต็มแกแล้ว Yamaha มา เสียงนั้นมาในแนวดีเทลชัด เบสบางอยู่แล้วตามสไตล์พี่แยม ดังนั้นจะคาดหวังอะไรตูมตาม เสียงหนาจากลำโพงก็คงไม่ใช่ ดังนั้นตามพยาธิสภาพของซิสเต็มแกแล้ว ผมคิดว่ามันทำได้สมหน้าที่และได้เสียงตามสไตล์ที่มันควรจะเป็นแล้วละ
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ตอบแกไปว่า อืออออ ผมว่ามันก็หนักแน่น ชัดเจนแล้วนะครับ ยังไม่ชอบเหรอครับ อิอิ เหมือนตอบกวนทีน และชาแล้นลูกค้านิดๆนะครับว่า คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ คุณจะเอาอะไรอีก ฮาๆ พูดยังไม่ทันจบประโยค ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ลูกค้าก็ปิดครับ ปิดหนังปิดเครื่อง ปิดสวิทซ์กรองไฟ ผมงี้ตกใจนึกว่าแกจะตะเพิดผมกลับบ้านซะแล้ว
แต่จริงๆแล้วแกเดินไปจัดการต่อสายสัญญาณเข้ากับช่อง Pre-out Center เพื่อทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ AVR Yamaha 2010 ทำหน้าที่เป็นปรีเฉพาะลำโพง Center (การต่อแบบนี้จะทำให้ avr ทำหน้าที่เป็นปรีและไม่ใช้กำลังขับของตัวเองขับลำโพงเซ็นเตอร์ แต่จะส่งสัญญาณเสียงและใช้กำลังจาก Power Amp มาขับแทน ส่วน channel อื่นๆนั้นยังใช้ avr ขับอยู่)
ต่อเสร็จ ไฟสีแดงแสดงสถานะ Stand by พร้อมใช้งานติดขึ้น ผมก็เบาใจไปหนึ่งเปราะว่า เออมันไม่เสียโว้ย ฮาๆ แล้วลูกค้าแกก็เดินไปกดปุ่มเปิดสวิทซ์ที่ตัว power ให้เริ่มทำงาน แต่อนิจจาไฟมันก็ยังคงแดงก่ำแสดงสถานะ Stand by อยู่แบบนั้นไม่ยอมขึ้นสีเขียวซะที ลูกค้าก็หันมาถามผมว่า "ทำไมมันไม่ติดละครับ"
นาทีนั้นเหมือนรู้สึกว่างานเริ่มเข้าแล้วครับ อากาศในห้องร้อนขึ้นมาเลย ผมก็ต้องทำใจดีสู้เสือ เดินไปกดปุ่มเปิดให้อีกที กดยังไงไฟมันก็แดงอยู่แบบนั้นละครับ ตอนนี้เอาจริงๆผมเหงื่อแตกแล้วละ แต่ยังตั้งสติและสังเกตอย่างนึงว่าตอนกดปุ่มแต่ละทีไฟสีแดงมันติดตลอดก็จริงแต่ระดับความสว่างมันไม่เท่ากันแหะ ผมเลยคว้าคู่มือมานั่งดู และก็คิดขึ้นได้ว่าหรือว่าไฟแสดงสถานะมันจะมีแต่สีแดง คือแดงเข้ม กับแดงอ่อน
ตอนนั้นผมกับลูกค้ามึนงเหมือนติดสตั้นไปแปปนุง อิอิ แต่สุดท้ายก็ลองกดปุ่มเปิดให้ไฟมันแดงเข้ม แล้วผมบอกพี่ใหญ่ว่า พี่ลองเปิดหนังเลยพี่ เอาเลย แกเปิดหนัง ฉาก intro ขึ้นมาผมก็เอามือไปอังๆแตะๆดอกลำโพงด้วยใจตุ้มๆต่อมๆเพื่อดูว่า "มันทำงานหรือเปล่าว่ะ" และแล้วฉากแรกขึ้นมา ดอกลำโพงทำงานครับท่านผู้ชม ก็แปลว่า Power ทำงานแล้วละ และก็จริงอย่างที่คิดคือ ไฟแสดงสถานะสีแดงเข้มคือแปลว่าทำงาน ส่วนแดงจางๆคือ stand by อือนะก็เป็นเอกลักษณ์ดีครับ อิอิ
ว่าแล้วพอพร้อมทุกอย่างผมกับลูกค้าก็เริ่มมาฟังกันด้วยการกรอหนังให้ไปฉากเดิมๆที่เคยดูมาตะกี้ (กรอยังกับกรอเทป ฮาๆ) คุณใหญ่แกก็เลื่อนๆดูไปเรื่อยๆ ส่วนผมนั้นนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆลำโพง ทำเป็นนั่งดูมือถืออะไรไปเรื่อย แก้เขินด้วย และกลัวเสียงมันจะแย่กว่าเดิมด้วย
ผมก็นั่งฟังไปเรื่อย แต่ก็สังเกตได้แบบไม่ต้องจับผิดนะว่าเสียงมันไม่จัดแล้ว เสียงเฟี้ยวฟ้าวหายไป แถม Impact มันหนัก เบสเยอะ เสียงหนาขึ้น มีมวลขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ทักหรือใส่ใจอะไรเพราะจุดที่ผมนั่งมันอยู่ข้างลำโพง เลยคิดว่าคงเพราะนั่งใกล้
แต่ตาผมก็แอบเหลือบไปมองหน้าลูกค้านิดๆ นาทีนั้นเห็นว่า ลูกค้ามีรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากเล็กๆ แล้วบอกผมว่า คุณแนนลองฟังดูสิ เสียงมันไม่อั้นแล้ว มีอิมแพคดีเลยนะ
ตอนนั้นละครับทำให้ผมย้ายตำแหน่งจากนั่งบนพื้นมานั่งบนโซฟาลองฟังดีๆดู
ก็รู้สึกครับ คราวนี้ชัดว่า ใช้ Yamaha เป็นปรี แต่เสียงที่ได้มันไม่ใช่ Yamaha แล้วนะ เสียงดูหนังตอนนี้มันหนักแน่น เสียงไม่แหลม ไม่เจี้ยวจ้าว ไม่บาง เสียงพูดจากไดอะลอกของหนัง มันมีมวลขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่ดีขึ้นชัดเจนคือเสียงเอฟเฟคต่างๆที่ออกจากเซ็นเตอร์ มันหนัก มันชัด มีอิมแพคขึ้นแบบเห็นๆเลย แล้วอาการบาดหูก็หายไปด้วย แล้วมีฉากนึงที่มันโชว์เอฟเฟคจากเซ็นเตอร์แบบชัดๆเต็มๆ จนผมกับลูกค้าร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า โอ้โห อันนี้ไม่ได้แต่งขึ้นมาเองนะครับ แต่พูดขึ้นมาพร้อมกันจริงๆ
พอผ่านฉากนั้นไปผมก็สบายใจแล้วละ คิดในใจว่า รอดแล้ว 555 แล้วหลังจากนั้นก็นั่งดูหนังนั่งเลื่อนฉากนู้นฉากนี้กันไปมาอยู่นาน เพลิดเพลินกันไปพอสมควร
ตอนนี้ผมคิดว่าคงถึงเวลาจะต้องลาจากและกล่าวคำอำลากับลูกค้าแล้วละ
แต่ผมก็สังเกตว่าตอนนี้โลกทั้งใบของคุณใหญ่ลูกค้าผมมันเหมือนมีแต่ตัวแก กับโลกส่วนตัว กับภาพยนตร์ที่แกนั่งดูพร้อมรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ พร้อมกับทิ้งผมไว้อย่างเดียวดายเสมือนห้องนี้ผมไม่มีตัวตนอยู่แล้วยังไงยังงั้น ฮาๆ
รู้สึกดีนะครับที่ทำให้คนที่ชอบดูหนัง ได้ดูหนังสนุกขึ้น ได้บรรยากาศมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือแกดูสมหวัง ดูมีความสุขมากขึ้น แต่งานเลี้ยงมันต้องมีวันเลิกลาครับ (จริงๆแล้วต้องไปหาลูกค้าที่อื่นต่อ) ผมก็เดินไปตรงหน้าแกแล้วบอก เดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับพี่ พร้อมยกมือไว้ลาเสร็จสรรพ
นั่นจึงดึงแกกลับมาสู่โลกแห่งความจริงได้อีกครั้ง ฮาๆ ก่อนจะกลับแกดูเหมือนยังคงติดใจ คาใจอะไรบางอย่าง ผมเลยถามไปว่า มีอะไรหรือเปล่าครับ
แกก็บอกผมว่า ผมฝากไปถามบริษัทผู้ผลิต Audyn ทีว่า ไอ้ไฟแสดงสถานะของเครื่องเนี่ย ของผมมันปกติหรือเปล่า สีแดงอ่อนกับสีแดงเข้มเนี่ย ผมก็รับปากแกไปว่า ครับพี่ เดี๋ยวผมโทรมาบอกครับ
ตอนนี้ผมขับรถออกจากบ้านลูกค้ามาแล้ว ผมก็มานั่งคิดๆนะว่า บางทีลำโพงก็ขับไม่ได้ยากอะไร AVR นะมันพอแล้วก็จริงๆ เซ็ทดีๆ ปรับดีๆ จูนดี เค้นมันออกมาเต็มประสิทธิภาพของมันเสียงมันก็ดีได้ แต่บางทีพอเพิ่มแอมป์แรงๆ เพิ่มตัวช่วยเข้ามาเสริมนู้นนิด นี่หน่อย มันก็เร่งให้ซิสเต็มแสดงศักยภาพได้เต็มที่ยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องไปเร่งไปเค้น AVR มันได้เหมือนกัน แถมยังช่วยลดภาระ ลดโหลด ให้AVR ได้อีกด้วยนะ
จริงๆแล้วผมคิดว่าระดับคนเล่นทั่วๆไปการจะไปเพิ่ม Pre-Pro เต็มระบบ เอา Power สามสี่ตัวมาขับ วางเครื่องกันเต็มห้อง สายสัญญาณเต็มห้องไปหมด จะเปิดเครื่องดูหนังทีเดินไปเปิดกันวุ่นวายกว่าจะได้ดู กับทางเลือกง่ายๆ ใช้ AVR ตัวเดียวขับหมดทุกอย่างก็ง่ายดี หรือจะมีทางเลือกอื่นสำหรับคนเล่นที่ไม่ต้องการอะไรสุดโต่งมากแต่ก็อยากได้อะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องปรีโปรเต็มระบบ เราก็อาจจะใช้ AVR ดูหนังรุ่นกลางๆหรือสูงๆหน่อย แล้วเติม Power แค่บางแชนแนล หรืออย่างมากก็ สามตัวหน้า เครื่องก็ไม่ต้องเยอะมาก แต่เสียงที่ได้มันมีอะไรที่มากขึ้นนะ แถมยังประนีประนอมระหว่างคำว่าเสียงดีที่สุด กับความสบายอยู่ด้วย
ทางเลือกไหนที่ถูกต้องและเหมาะกับตัวคุณ ผมคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ในใจผมเองมีคำตอบอยู่ในใจแล้วละ และผมก็จะเล่นในแบบที่ผมชอบ ผมมีความสุข และไม่เดือดร้อนตัวเองและกระเป๋าสตางมากนัก และด้านล่างนี่คือข้อสรุป ข้อดีข้อเสียที่ผมสรุปมาให้สำหรับซิสเต็ม Klispch กับ Power Audyn S250 MKII ตัวนี้
ข้อดี
1. เสียงดี แนวเสียงมาในแนวหนักแน่น impact สูง เสียงไม่จัด ไม่บาง แต่ออกแนวกลางต่ำยอดเยี่ยม เบสกระชับ รวดเร็ว ในขณะที่รายละเอียดกลางแหลมก็ยังดีใช้ได้ ผมว่ามันเหมาะกับการดูหนังมากกว่าฟังเพลง เพราะแนวเสียงค่อนข้างหนักแน่น เบสกระชับหนัก เร็ว ถ้าฟังเพลงแนวนุ่มๆ ช้าๆ ชอบอะไรนุ่มนวลผมว่าไม่ใช่แนวนี้
2. ราคาไม่แพงเมื่อเทียบ วัตต์ต่อราคากับแอมป์นอก
3. เป็นผลงานฝีมือคนไทยที่ดูหน้าตารูปร่างแล้ว ไปวัดไปวาได้ ดูดีในระดับหนึ่ง ไม่ได้ดูหรูหรามาก มันยังมีข้อบกพร่องแต่มันก็ถือว่าน่าภูมิใจและเป็นอีกก้าวของคนไทยที่ผลิต power amp ที่เมื่อเทียบเสียง ต่อวัตต์ ต่อราคาแล้วถือว่าคุ้มค่าที่สุดตัวหนึ่ง
ข้อเสีย
1. อย่างที่บอกไปเลยครับ ไฟแสดงสถานะ สีแดงสองสเตปมันทำให้ดูงงเหมือนกันนะครับ ใจจริงอยากให้เป็นสีเขียว หรือสีแดงก็ได้ แต่ตรงนี้ก็ไม่มีผลกับเสียง ถ้าถามว่ารับได้มั๊ย มันก็โอเคนะหยวนๆ แค่ cosmetic ภายนอกไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งานเท่าไร่ เพียงแต่ใช้ครั้งแรกจะงงนิดๆในบางสภาพแสง มันดูแล้วงง ว่านี่เราเปิดเครื่องหรือยัง อิอิ
2. ดีไซน์ตัวเครื่องตัวนี้มาในแนวยาวไปทางลึก ทำให้ดูเหมือนเครืองกรองไฟ หรือหม้อแปลง หรือเครื่องอะไรสักอย่างมากกว่า power amp แต่ของแบบนี้นานาจิตตังครับ บางคนก็ชอบเพราะมันแคบ แต่ยาวลึกลงไปทำให้มันประหยัดเนื้อที่จัดวางได้ดีเลย เอาไปวางซ่อนตรงไหนก็ได้ ตรงนี้ข้อดีใครจะแอบซื้อแล้วซ่อนเมียไม่ให้รู้เนี่ย เหมาะเลยครับ แต่ถ้าเปิดหนังดูแล้วเมียทักว่าทำไมเสียงมันหนักแน่นขึ้นอันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะครับ
3. เสียงมันยังเหมาะกับการดูหนังมากกว่าฟังเพลงแนวหวานๆหรือ Audiophile แบบซีเรียสนะครับ ใครที่ชอบเพลงช้าๆ หวานๆ เสียงนุ่มนวล เบสลึก นุ่ม ใสๆสไตล์ เด็กม.ปลายใสๆผมว่ามันไม่ใช่ทางตัวนี้นะ ถ้าชอบแนวนั้นอาจจะต้องหาตัวอื่นแทน แต่ถ้าฟังเพลงร๊อค ฟังเพลงคึกคักๆ หรือมาแนวดูหนังอย่างเดียว ชอบ action มันๆเบสดีๆ หนักแน่น อันนี้ ใช่เลย
สรุปสุดท้ายนะครับ ทางเลือกในการเล่นเครื่องเสียง เล่น Home Theater นั้นมีมากมายหลายเส้นทาง ผมจะไม่ฟันธงว่าเส้นทางไหน เครื่องเสียงแบรนใด นั้นใช่ และเหมาะกับคุณ แน่นอนครับว่าการเพิ่ม Power Amp นั้นทำให้ขับลำโพงได้เต็มที่มากขึ้น เสียงดีขึ้น ลดภาระของ AVR ลงอีกเยอะ แต่ก็ต้องแลกมากับอะไรๆหลายอย่าง ทั้งการเพิ่มจำนวนเครื่อง สายสัญญาณ ค่าไฟ การแมทชิ่ง และเสี่ยงที่จะโดนแม่บ้านด่า ฮาๆ สุดท้ายนี้ผมจะปล่อยให้ทุกท่านลองพิจารณาและค้นหาเส้นทางที่เหมาะกับแต่ละคนเอาเองครับ เพราะไม่แน่ว่าวันนี้เราเล่นของเรามาตลอดแบบนี้ มีความสุขกับแนวทางแบบนี้ แต่วันนึงเล่นๆไป แนวทางก็เปลี่ยนไป ตามอายุ ตามประสบการณ์ ตามรสนิยม และตามกำลังทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
เหมือนกับผมคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยคิดว่าจะเล่น Power Amp มาก่อน แต่วันนึงกลับหันมาเล่น และก็เช่นเดียวกับใครหลายๆคน ที่คงมีใครหลายๆคนที่เล่นแบบเต็มระบบ Power Amp, Pre-Pro มาก่อนแล้วกลับมาเล่นเหลือแค่ AVR ตัวเดียวก็มีเช่นกัน ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียเสมอครับ ไม่มีใครได้หรือชนะตลอดไป ขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลง และขอบคุณที่ิตดตามกันมาถึงจุดนี้ครับ ขอบคุณครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,372 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,209 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |