จะรู้ได้อย่างไรว่าลำโพงตัวไหนขับยากขับง่ายฉบับมือใหม่
ตอบ ให้ดูที่ค่าเดียว ค่าอื่นช่างมันก่อน นั่นคือ Sensitivity
จากในตารางจะเห็นว่าเราจะมีตารางบอกหัวคอลัมน์ด้านบนสุดแนวนอนค่า spl ของ speaker หรือค่านี้มันก็คือค่า sensitivity ในตาราง spec ของลำโพงแต่ละรุ่นนั่นเองครับ (ใครอยากรู้ว่าลำโพงของเรามีค่าเท่าไร่ก็คลิ้กดูที่ spec. ของผู้ผลิตลำโพงรุ่นนี้ ยี่ห้อของตัวเองได้)
ส่วนคอลัมน์แนวตั้งก็คือค่ากำลังขับที่ต้องป้อนเข้าไป เพื่อให้ความดังได้ตามรายละเอียด
ส่วนตรงกลางในตารางนั่นก็คือความดังที่ผลิตออกมาจากลำโพงและกำลังที่เราป้อนเข้าไปครับ.
ผมจะขอยกตัวอย่างลำโพงในรูปทั้ง 4 ตัวที่ยกมา นั่นคือ
1. Klipsch Heresy iii : Sensitivity 99 dB, 58Hz – 20kHz impedance 8 ohm
2. Kef Reference 3: Sensitivity 87.5 dB , 43Hz - 35kHz impedance 8 ohm
3. Klipsch RP8000f : Sensitivity 97 dB, 32-25kH impedance 8 ohm
4. Klipsch THX KL525 : Sensitivity 94 dB, 80Hz-20kHz impedance 8 ohm
เราจะเห็นว่าลำโพงทั้ง 4 ตัวมีค่า Sensitivity ที่แตกต่างกันออกไป แต่มีหนึ่งตัวที่ให้ค่าที่ต่ำที่สุด นั้นคือ Kef Reference 3 ที่มีค่าอยู่ที่ 87.5 dB
นั่นแปลว่าลำโพงตัวนี้เมื่อป้อนกำลังขับที่ 1 วัตต์ จะให้ความดังได้ 87.5 dB ที่ระยะนั่งฟัง 1 เมตร ปกติทั่วไปลำโพงในห้องฟัง เราจะนั่งฟังที่ระยะเฉลี่ย 3-5 ม. (ไม่มีใครนั่งฟังจ่อหน้าลำโพง) และปกติทุกๆ 1 เมตร ความดังจะลดลงไปประมาณ 3 dB
และหากเราอยากเร่งให้เสียงดังขึ้นทุกๆ 3 dB จะบริโภคกำลังจากแอมป์เราเพิ่มข้น 2 เท่า ใช่ครับฟังไม่ผิด หากเราต้องการความดัง 90.5 dB เราต้องเร่งแอมป์เป็น 2 วัตต์ และหากเราต้องการ 93.5 dB เราต้องการกำลังที่ 4 วัตต์
และหากเราต้องการ 96.5 dB เราต้องการกำลังที่ 8 วัตต์
และที่ 102.5 dB เราต้องการที่ 32 วัตต์
และที่ 105.5 dB เราจะต้องการที่ 64 วัตต์
และที่ 108.5 เราจะต้องการที่ 128 วัตต์ ซึ่งมาถึงจุดนี้ AVR ทั่วๆไปก็เริ่มจะถึงจุดที่ให้กำลังได้ไม่ดีแล้ว และที่พีคราวๆ 110 dB ขึ้นไป เราจะต้องใช้กำลังสูงถึง 256 วัตต์ที่เดียว 
เราจะเห็นว่าหากเปลี่ยนลำโพงจาก Kef reference 3 มาเป็น Klipsch Heresy iii ที่ระดับความดังเดิมของ avr, หรือแอมป์ที่เราใช้ ลำโพงจะเสียงดังขึ้นมาก (ตัวอย่างผมใช้ Hegel 390 เร่งที่ 60 ของ Reference 3 จะได้ความดังแบบพอดี ไม่ดัง แต่ก็ไม่ค่อย ในขณะที่ Heresy iii นั้นดังห้องจะแตกแล้ว)
สาเหตุก็เพราะ Heresy iii มี sensitivity 99 dB
เมื่อป้อนกำลัง 1 วัตต์ให้ความดัง 99 dB
เมื่อป้อน 2 วัตต์ ให้ความดัง 102 dB
เมื่อป้อน 32 วัตต์ ให้ความดัง 114 dB เข้าไปแล้วครับ
ดังนั้นด้วยสูตรข้างบน หากเรานั่งฟังห่างจากลำโพงที่ 3 ม. เท่ากับว่า การจะฟัง Kef Reference 3 ให้ได้ความดัง 87.5 dB ถึงจุดที่โซฟาเรานั้น จะต้องการกำลังขับเฉลี่ยที่ประมาณ 4-8 วัตต์ และหากต้องการความดังพีคทั่วๆไปที่ 105 dB จะต้องการกำลังขับที่ 256 วัตต์ แต่หากเราดูดังกว่านั้น เช่น 110 dB เราจะต้องการกำลังขับสูงมากถึง 1024 วัตต์
ดังนั้นตัวแปรของการขับออก หรือขับไม่ออกของแอมปืหรือ avr เรานั้นจึงอยู่ที่ปัจจัยสำคัญ 3 ประการ นั่นคือ
1. ลำโพงเราขับยากแค่ไหน (ค่า Sensitivity)
2. ขนาดห้องของเราใหญ่แค่ไหน
3. เราฟัง content ประเภทใด และดังแค่ไหน
และตารางและกำลังขับเหล่านี้ คือกำลังขับที่ทำให้ลำโพงแสดงศักยภาพได้สูงสุดอย่างที่มันควรจะเป็น
เราจึงสามารถสรุปได้ว่า
1. กำลังขับของแอมป์ที่เรานำมาขับนั้นจะพอหรือไม่ก็อยู่ที่ปัจจัยด้านบนทั้ง 3 ข้อ
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่า avr บางตัวจะเคลมไว้ว่าให้กำลัง 185 -200 วัตต์แล้วก็ตาม
แต่ส่วนใหญ่ avr จะเคลมสเปกตัวเองไว้ที่ 1-2 แชนแนลเท่านั้น ยกเว้นบางยี่ห้อ
ซึ่งในระบบมัลติแชนแนลที่เราใช้ดูหนังนั้น เรามีลำโพงที่ต่อใช้งานพร้อมๆกันสูงถึง 5-11 ตัว (หรือมากกว่านั้น)
กำลังที่แท้จริงของ avr จึงต้องลดลงตามภาระที่นำไปต่อพ่วงหรือโหลดของลำโพงแชนแนลต่างๆ จึงไม่สามารถที่จะปั๊มกำลังออกมาได้ตามที่เคลม
ดังนั้นแม้แต่ลำโพงที่มีความไวสูงมากๆที่ 97 dB ยังต้องการกำลังขับสูงมากถึง 128 วัตต์ต่อแชนแนล หากเราต้องการความดังในระดับ 105-110 dB ที่จุดนั่งฟัง 3 เมตร
2. ลำโพง home cinema ที่ออกแบบมาเพื่อดูหนัง มักจะออกแบบให้ความไว sensitivy นั่นอยู่ในระดับที่สูงเฉลี่ย 90 และตัวลำโพงเองมักออกแบบมาให้รองรับความดังได้สูงระดับ 110-115 dB ขึ้นไป ซึ่งลำโพงบ้าน home audio หรือลำโพงที่ออกแบบมาเพื่อฟังเพลงนั้นอาจจะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว หากห้องฟังกว้างมาก่ระดับ 30 ตรม ขึ้นไป นั่งฟังห่างลำโพงถึง 4-5 เมตร ฝ้าสูงระดับ 3 เมตร ในห้องฟังระดับนี้นั้น การเลือกใช้ลำโพงไม่เหมาะสม และกำลังขับที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการนี้ ย่อมพบปัญหาตามมา และถึงแม้ว่าเราจะซื้อ power amp กำลังขับมากๆคุณภาพดีๆมา แต่ที่ความดังระดับ 110-115 dB นั้น ตัวลำโพงเองก็อาจจะเริ่มมี distortion ที่ฟังไม่ดีแล้ว แต่ว่านั่นไม่ใช่เป็นเพราะลำโพงตัวนั้นคุณภาพไม่ดี แต่เป็นวัตถุประสงค์ที่เขาออกแบบลำโพงมาแตกต่างกันและเราอาจเลือกใช้ของไม่ตรงกับสภาพแวดล้อมที่มีอยู่
3. power amp ดีกว่า avr มากไหม ทั้งๆที่กำลังขับ avr สูงเป็น 100-200 วัตต์
คำตอบก็อยู่ด้านบนทั้งหมด หากเราต้องการให้เสียงออก เราใช้อะไรขับก็ได้ แต่หากเราต้องการรีดเค้นให้ลำโพงแสดงศักยภาพออกมามากที่สุด ก็จึงควรต้องเลือกใช้งานของให้เหมาะสมกับความต้องการห้อง และประเภทของลำโพงด้วยเช่นกัน
หลายท่านอาจจะบอกว่า AVR ก็เสียงดีได้ แต่บางทีลองไปดูบ้านของคนที่พูดแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็จัดเต็มไปปรี power ระดับ High end กันทั้งนั้น
และแม้แต่คนขายที่ยืนยันว่า avr พอแล้ว แต่เวลามีลูกค้าที่มีโจทย์ว่าขอแบบฟังดีๆ นะครับ ก็ไม่เห็นจัด avr ลงห้องลูกค้าสักที
คำตอบก็คือ งบประมาณเป็นตัวแปรสำคัญ หากเรามีงบมากพอ เราก็ต้องเลือกอุปกรณ์ที่ดีที่สุดไว้ก่อน
เพราะถ้าทุกอย่างเท่ากัน ตัวแปรก็อยู่ที่อุปกรณ์ อุปกรณ์ที่ดีที่สุดไม่ได้การันตีว่าจะต้องดีกว่า
power amp อาจจะแพ้ avr ก็ได้ในบางห้อง แต่ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน ห้องเดียวกัน จะการันตีได้ว่าอุปกรณ์ที่ดีกว่าย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เครื่องเสียงก็เช่นกัน ในห้องเดียวกัน ลำโพงชุดเดียวกัน avr ก็อาจจะแสดงศักยภาพได้ดีมากแล้ว หากเราจัดการกับระบบดีๆ แต่ถ้าได้อุปกรณ์ที่ดีขึ้น มันก็ยังไปต่อได้อีก
สุดท้าย อย่าลืมว่า วัตถุประสงค์การใช้งานและความชอบ ห้องฟัง ความดัง เป็นตัวกำหนดลักษณะลำโพง และแอมป์ที่เราจะนำมาใช้งาน
เหมือนเราเลือกรถมาใช้งาน รถทั่วไปที่ขับได้ max speed 185-190 km/h นั้นก็เพียงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว (เปรียบเหมือนการดูหนังฟังเพลงทั่วไป)
แต่หากเราเปลี่ยนโจทย์เพียงนิดเดียวว่าต้องการรถที่มีสรรถนะรองรับ การใช้งานความเร็วสูงได้ดีเช่น 210-220 km/h และที่ความเร็วสูงระดับ 150-180 ยังต้องขับได้ดี ขับได้จริง ไม่ใช่ขับแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย สเปกแบบนี้เราอาจต้องเปลี่ยนประเภท เปลี่ยน segment ของรถ และราคารถกันเป็นคนละประเภทกันเลย (เปรียบเหมือนกับเราต้องการชุดดูหนัง ที่ดูหนังในระดับความดัง reference เร่งได้ดัง รองรับหนังทุกประเภทได้ดี ดูสนุก และที่สำคัญเร่งดังๆแล้วยังฟังดี)
การตัดสินใจเลือกลำโพง power amp หรือ avr นั้นมีผลกับคุณภาพเสียงเป็นอย่างมาก เลือกให้ตรงกับสภาพแวดล้อม การใช้งาน และความชอบคือ 3 สิ่งสำคัญ ขาดอย่างใดอย่างนึงไปไม่ได้ แล้วจะมีความสุขกับการดูหนังมากขึ้นอีกเยอะครับ
| หน้าที่เข้าชม | 2,197,887 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 1,306,724 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
| ร้านค้าอัพเดท | 25 ต.ค. 2568 |