Kef Reference 3 - Copper balck (Foundry Edition)
เมื่อเอ่ยถึง Kef (Kent Engineering & Foundry) เราก็จะนึกถึงบริษัทผลิตลำโพงจากประเทศอังกฤษที่มี style ในการออกแบบลำโพงไปในโทนค่อนข้าง Modern, simple และ Timeless ค่อนข้างเอาใจชาว Minimalist หรือแม้แต่ Modernism บริษัทก่อตั้งขึ้นมาในปี 1961 โดย Raymond Cooke
ลำโพงของ Kef แต่เดิมจะเน้นการออกแบบที่ให้ความ classic แต่ปัจจุบันหลังจาก kef ค้นหาตัวตนและพบแนวทางที่ถนัด ก็เริ่มปล่อยของออกมาอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะผลงานชิ้นเอกนั่นคือ kef ls50 ที่ทั้งถูก ทั้งเล็ก และเสียงดี (ในระดับราคาของมัน และขนาดตู้ของมัน) ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก
วันนี้เราจะมาพูดถึงผลงานอีกชิ้นของ Kef นั่นคือ Kef The Reference ซึ่งถือเป็นรุ่นเรือธง series สูงสุด ถ้าไม่นับลำโพงใน series ที่ kef ทำออกมาโชว์มากกว่าขายอย่าง Blade ($24,999.99 USD per pair) และ Muon ($224,999.99 per pair) ซึ่งดูจากราคาแล้ว ผมเข้าใจว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างบารมีว่า เราก็มีลำโพง Super hi-end แพงๆกับเขาเหมือนกันนะ ประหนึ่งถ้าเป็นรถ ก็เป็นรถพวก Ford GT ที่ไม่ได้มีขายและ test drive กันได้ง่ายๆทั่วๆไป แต่ต้องสั่งจองและต้องมีใจรักจริงๆถึงจะมีไว้ครอบครอง อะไรประมาณนั้น
Kef Reference 3 ราคา 13,999 usd per pair ที่ตั้งตระหง่านในห้องฟังของเรานั้น เป็นรุ่นสีดำ / ทองแดง (ตัวตู้สีดำ และดอก mid range สีทองแดง) ให้ความทันสมัยแบบสุดขั้ว และเป็นคู่สีที่ให้ความรู้สึกหรูหราและทรงพลังไปในตัว ความงดงามและสีสันแปลกตาด้วยสีทองแดงฉูดฉาดตัดอยู่ดอกเดียวตรงกลาง การใช้โทนสีแบบนี้สร้างอารมณ์ร่วมในการฟังเพลงได้ดี เพราะในห้องมืดๆบางห้อง เราจะเห็นดอกสีทองแดงสวยงามโดดเด่น และโชว์ตัวออกมาราวกับว่า ภายใต้ตู้สีดำสนิทนั้น มันมีของดีที่ไม่ต้องหลบซ่อนใครๆ อยู่ในเงามืดนั่นเอง

แม้ว่า Kef Reference 3 จะมีน้ำหนักรวมกล่องมากราวๆ 50 กว่ากิโลกรัม แต่การแกะกล่องของมันนั้นทำได้ง่าย เพราะมีการ pack มาในแบบตั้ง และดึงออกมาง่ายๆ (อย่าไปคว่ำเพื่อเอาลำโพงออกมานะครับ)
หลังจากแกะกล่องออกมาแล้ว ตัวลำโพงจะถูกคลุมด้วยผ้ามันวาวสีขาวให้ความ premium และให้ถุงมือมาคู่นึงเอาไว้จับป้้องกันไขมัน เหงื่อไคลต่างๆที่จะไปโดนตัวผิวลำโพงระหว่างการ unpack

หลังจากดึงผ้าคลุมออก ตัวตู้ลำโพงอวดสายตาต่อเจ้าของ (คนจ่ายตังค์) ชนิดที่ว่าไม่ต้องฟังเสียงก็หายเหนื่อยไปครึ่งนึงแล้ว เพราะงานประกอบสวยมาก สวยจริงจัง สามารถไปวางห้องรับแขกได้แบบไม่ต้องอาจสายตาใครๆ และสามารถไปสู้กับแบรนด์ดังๆที่โดดเด่นในเรื่องดีไซน์ได้ไม่แพ้ใครแน่นอน
แม้กระทั่งพี่ที่มาช่วยยก ยังออกปากชมหลังจากดึงผ้าออก ว่ามันสวยจริงๆ
หลังจากนั้นเราจะได้รับกล่องที่สกรีนหน้ากล่องว่า The reference ซึ่งภายในจะบรรจุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการประกอบขา ซึ่งจะมีหกเหลี่ยม มีขาวาง มีสไปร์ค มีจานรองสไปรค์ และตัวยึดสไปรค์ที่ออกแบบมาเข้ากับลำโพงเป็นพิเศษ

รวมถึงในกล่องจะให้ใบที่เป็น certificate ว่าลำโพงคู่นี้ผ่านการเทสแล้วว่าผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้ +- 0.5 dB โดยจะ print เอกสารออกมาเป็นกราฟของลำโพงคู่นี้ที่เราเป็นเจ้าของเลย พร้อมชื่อเจ้าหน้าที่ และ รุ่น สี พร้อม number ลงในเอกสารฉบับนี้ครับ

The Reference 3 - Foundry edition
หลังจากประกอบทุกอย่างเข้าที่แล้ว การจัดวางก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากตัวลำโพงหนัก 51 กิโลกรัม และเราไม่สามารถยกลำโพงเคลื่อนย้ายด้วยตัวคนเดียวได้
ตัวตู้เป็นสี black hi-gloss ทั้งหมด
แผงหน้าใช้ วัสดุเป็น aluminum ทั้งหมดแบบ sandwiching layer ซ้อนกันสองชั้น ให้ความรู้สึกแน่นหนาและหรูหรา มีความทนทาน ไม่เป็นรอยมือ เมื่อเอาไฟส่องจะเห็นลวดลายและดีเทลของมันซ่อนอยู่เมื่อดูใกล้ๆ รวมถึง logo Kef ก็ใช้สีที่กลมกลืนกับตัวสีลำโพง ถ้าดูในห้องมืดๆจะมีบางมุมที่โลโก้กลืนไปกับแสงไฟ แต่ในบางมุมโลโก้ก็จะเด่นเด้งออกมา ประหนึ่งว่าให้ความนอบน้อมถ่อมตนและอิงแอบไปกับตัวตู้ลำโพงได้แบบเนียนๆ
ลำโพง Kef reference 3 ตัวนี้เป็นสีดำ / ทองแดง และออกแบบมาให้เปิดเผยดอกลำโพงแบบนี้ และไม่มี grill ลำโพงมาให้ เนื่องจาก kef ต้องการให้ใช้งานในลักษณะแบบนี้เลย ซึ่งหากบ้านใครมีเด็กและกลัวว่ามันจะถูกจิ้มเสียหายก็สามารถสั่ง Grill แยกต่างหากได้ ราคาประมาณ 150$

ตัวลำโพงเป็นลำโพงแบบ 3 ทาง 8 ohm
ใช้ Driver bass reflex 2 ดอกขนาด 6.5" ทำงานในช่วง 400 Hz ลงมา
และใช้ Mid range ขนาด 5 นิ้ว ทำงานตั้งแต่ย่าน 400 - 2900 Hz
และใช้ Tweeter เสียงแหลมขนาด 1 นิ้ว ที่ทำงานในช่วง 2900 Hz ขึ้นไป
Sensitivity ตัวนี้อยู่ที่ 87.5 dB รองรับความถี่ที่ 43Hz - 35kHz (±3dB)

ตัวลำโพงออกแบบมาเป็นตู้เปิด และมีช่องลมด้านหลัง 2 ports ซึ่งการจัดวางลำโพงต้องใช้ความระมัดระวังและวางห่างผนังหลังพอสมควร
และในกล่องยังมี port สำหรับจูนเสียงมาสองแบบ คือแบบสั้น และแบบยาว สามารถถอดและจูนเสียงได้ที่หลังลำโพง

- port สั้น ให้เสียงที่เบสต้นที่กระฉับกระเฉง แต่ roll off เร็ว ให้เบสลึกมราลงได้ 38 Hz แต่ให้เบสในช่วง 80-100Hz ที่ชัดและดี เเหใสะกับดนตรีที่ต้องการเบสที่ punch และกระชับ เช่นดนตรี rock, electronicFree Field - Short port: 38Hz - 45kHz (-6dB)
- port ยาว ให้เสียงเบสลึกที่มากกว่า ลงได้ถึง 35 Hz และค่อยๆ roll off ช้าๆ ทำให้ได้เสียงที่เป็นธรรมชาติ ฟังสบาย เบสที่ผ่อนคลายกว่าเหมาะกับเพลงทั่วๆไป Free Field - Long port: 35Hz - 45kHz (-6dB)
ทั้งนี้แนวเสียงของทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับห้องและความชอบของผู้ฟังด้วยครับ แต่ในการฟังส่วนใหญ่ผมใช้ port ยาวเป็นหลักซึ่งเบสก็ถือว่าฟังได้ดีในเกือบทุกๆแนวเพลงครับ

และในส่วนของขั้วต่อลำโพง ก็ให้มาเป็น biwire ออกแบบมาเป็นเงินให้ความหรูหรา และไม่มี jumper สำหรับการเชื่อมต่อมาให้ แต่ใช้วิธีการออกแบบให้มาเป็นที่หมุนสำหรับปรับ single / biwire แทน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและลดความเสี่ยงในการทำ jumper หายได้ดีครับ
คุณลักษณะเด่นของ Kef Reference 3 ที่สังเกตได้ นั่นคือ Mid range หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า เสียงกลาง ค่อนข้างโดดเด่นและจับต้องได้ มีความละเอียดสูงมาก แต่ยังคงความมีเนื้อเสียงที่นวลเนียน น่าฟัง ต่างจากบุคลิคของ mid range ของ Hord loaded ที่ให้ความชัดที่มีไดนามิคสูงในอีกรูปแบบนึง
แนวเพลงที่เป็นเสียงผู้หญิงแนว vocal จะสังเกตได้ง่ายมากๆสำหรับ Kef reference 3 เพราะความชัด ความอวบอิ่มของเนื้อเสียง และดีเทลที่เพิ่มเข้ามานั้นแตกต่างอย่างชัดเจนกับ Kef รุ่น R7 ที่เราเคยฟังอยู่มาก โดยเฉพาะรายละเอียดเสียงที่เพิ่มขึ้นมาในขณะที่เนื้อเสียงไม่บางลง แต่มีความเนียนและละเมียดละไมเเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน และดูเหมือนนักร้องมีความจีบปากจีบคอและตั้งใจร้องมากขึ้น
แต่ทว่า หากได้ทดลองฟังจริงจังกับหลายๆแนวเพลง
ผมพบว่า ไม่ใช่แค่ Mid range เท่านั้นที่โดดเด่น แต่ทุกย่านเสียงของ Kef Reference 3 ต่างหากที่ทัดเทียมและไม่มีย่านไหนที่กระโดดล้ำ หรือหุบถอยลงไปเลยแม้แต่น้อย

ซึ่งปกติ หูมนุษย์จะจับและรับรู้เสียงกลางแหลมได้ค่อนข้างดี เราจึงสังเกตและประทับใจกับเสียงร้องของ Kef ในช่วงแรกๆมากกว่าย่านอื่นๆ
สรุปจากการลองฟังหลังแกะกล่องครั้งแรกโดยยังไม่ผ่านระยะ break in พบว่าเสียงที่ได้แตกต่างและดีกว่าลำโพงที่เคยฟังมา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรุ่นน้องอย่า Kef R7 แล้วก็เป็นอันชัดเจนว่าดีกว่าค่อนข้างมากในทุกๆย่านเสียง ซึ่งจากที่ศึกษามา คนที่ใช้ลำโพงคู่นี้ว่าไว้ว่า จะต้องใช้ระยะเวลา break in นานพอสมควรเข้าหลักร้อยชั่วโมง ถึงจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง ซึ่งตรงนี้จากที่ลองแกะออกมาแล้วฟังพบว่าเสียงค่อนข้างน่าพอใจและดีในระดับที่ผมรับได้และมีแววดีมากตั้งแต่แกะกล่อง
ซึ่งเรื่องนี้ผมมีความเห็นว่า ลำโพงหากเราแกะกล่องลองฟังเสียงแล้วมันต้องดีในระดับนึง หรืออย่างน้อยก็ฉายแววว่าสามารถเซ็ทหรือแมทชิ่งให้มันดีได้ และการ Break in ก็จะช่วยให้เสียงมันสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ตามระยะเวลา จนถึงจุดจุดนึง
แต่ไม่ใช่ว่าแรกเริ่มไม่ชอบเลย ไม่ถูกใจแม้แต่น้อย ทุกอย่างไม่ใช่หมด แล้วคาดหวังว่าจะให้มันเปลี่ยนจากลำโพง A เป็นลำโพง B แบบนี้ไม่ใช่ครับ สู้เอาเวลาอันมีค่าของเราไปหาลำโพง B แบบที่เราชอบมาฟังเลยดีกว่า
Tonal balance
ความสมดุลของทุกย่านเสียงคือความลับของการฟังเพลงให้ได้ในทุกๆแนวเพลง นี่คือความสำคัญว่าทำไมลำโพงจึงควรต้องตอบสนองย่านการฟังตั้งแต่ 38 - 20000 Hz ให้ราบเรียบที่สุด และทำไมลำโพงจึงต้องออกแบบดอก, crossover ให้ทำงานในย่านดังกล่าวให้สมดุลกัน
แต่ทว่ามันก็ไม่ได้เสมอไปที่ลำโพงที่ดีจะต้องให้ทุกย่านเสียงสมดุลกันหมด เพราะก็เหมือนกับอาหาร ที่ถ้าเราใส่เครื่องปรุงไปให้ครบทุกรสเท่าๆกัน อาจจะไม่ถูกลิ้นคนชิมก็ได้
และคำถามที่เราค้นหาและตั้งคำถามมานานว่า ถ้าเราฟังเพลงแนวนี้ เราจะใช้ลำโพงตัวไหน?
คำตอบก็สามารถหาได้จากหลักการง่ายๆเรื่อง Tonal balance ของเสียงในย่านต่างๆนั้นเองครับ

แล้วลำโพงแบบไหนละ ถึงจะฟัง vocal , jazz, classic, instrument ดี แบบไหนจึงจะฟัง rock, rap, edm, elcetronic ดี แบบไหนจะฟังเพลงเก่าๆดี แบบไหนจะฟังเพลงจีนดี หลักการของเสียงและความถี่เบื้องต้นสามารถตอบคำถามนี้ได้ ถ้าเราเข้าใจว่าย่านเสียงใดในบทเพลงเหล่านั้นรับบทเป็นพระเอกและทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนบทเพลงให้กับคนฟัง
เช่น เพลงจีน audiophile ที่ส่วนใหญ่เราสังเกตว่าย่านเสียงส่วนใหญ่จะเป็นเสียงร้องของคน เครื่องดนตรีจีน เครื่องเคาะที่มีความกังวาล เราจะสังเกตว่าเพลงแนวนี้แทบจะไม่เน้นเบสเลย และถึงมีเบส ก็เป็นเบสลึกที่แค่ประกอบให้มันน่าฟัง และไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนบทเพลงเหมือนกับเสียงร้อง ดังนั้นลำโพงแนวไหนจึงจะเหมาะกับเพลงแนวนี้
หรือ jazz ที่บทเพลงอุดมไปด้วยเครื่องเป่า เครื่องสายต่างๆ (จริงๆ jazz มีหลายแขนง)
หรือ vocal เองก็ตาม ที่ชัดเจนว่าใช้เสีบงร้องของนักร้องในการขับเคลื่อน
ดังนั้นการที่ลำโพงตัวใดให้โทนเสียงในย่านที่ตรงกับบทเพลงนั้นๆได้มากเท่าใด ก็ยิ่งฟังเพลงแนวนั้นดีมากขึ้นเท่านั้น

ยกตัวอย่างเพลง rock ที่มักจะมีสปีดที่เร็ว ไลน์เบส และกลองที่หนักแน่น และเสียงแผด และไดนามิคที่มากกว่าดนตรีปกติ ดังนั้นลำโพงที่จะเล่นเพลงร๊อคดี จึงไม่ใช่แค่ย่านกลางแหลมที่ดี แต่ต้องมีย่านเบสที่กระชับ คม หนักแน่น ยกตัวอย่างกันง่ายๆนั่นคือ Kef ls50 ซึ่งเป็นลำโพงที่ดีมาก แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดตู้ลำโพงและดอกที่มีขนาดเล็กที่ดีไซน์มา ทำให้ย่านที่มันขาดจึงเป็นย่าน bass และกลางต่ำ ในขณะที่ย่านอื่นๆมันทำได้ดีและ outstanding กว่าลำโพงในระดับเดียวกันมาก ดังนั้น kef ls50 จึงเป็นลำโพงที่ฟังเพลงได้ดีในแทบจะทกแนว ยกเว้นแนวที่เน้นไลน์เบสหนักๆ เพราะข้อจำกัดเรื่องตัวตู้และดีไซน์ของมันนั่นเอง

เมื่อเรารู้และเข้าใจแบบนี้ เราก็จะหาลำโพงที่เราชอบให้ตรงกับแนวเพลงที่เราฟังได้
แต่อย่าลืมว่าลำโพงที่ดี ไม่จำเป็นต้องมี tonal balance ที่ดีเสมอไป และลำโพงหลายๆตัวที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ก็ไม่ได้มี tonal balance ที่ดี หรือเหมือนกับลำโพงมอนิเตอร์ที่ให้ย่านเสียงทุกย่าน flat เรียบ ไม่มี color ก็ฟังเพลงได้ทุกแนวจริง แต่อาจจะไม่ตอบโจทย์รสนิยมการฟังของเราก็เป็นได้ แล้วแบบไหนถึงจะดีละ?

Kef Reference 3 sound
เมื่อลองฟังกับแนวเพลงต่างๆที่ผมไล่เปิดจาก spotify premium และ Tidal hifi ไปเรื่อยๆแล้ว ผมก็ค่อยๆสรุป และค้นพบว่าลำโพงคู่นี้ นอกจาก mid range ที่ดีแล้ว ยังมีอีกย่านที่มันทำได้ยอดเยี่ยมและน่าจะประทับใจคนฟังได้ไม่มากก็น้อย นั่นคือ bass ที่เมื่อลองฟังกับเพลง rock, edm, electronic music ต่างๆ แล้วให้ความลื่นไหลสูง เบสที่กลมแน่น กระชับ หยุดตัวกำลังดี ไม่นุ่มและลึกจนเกินไป และสปีดของจังหวะดนตรีที่สมจริง และไหลลื่นไปกับเพลงเร็วๆ ให้รายละเอียดกับเพลงที่มีความซับซ้อนสูงโดยไม่สูญเสียความเป็นดนตรีลงไป เช่นเพลง rock, orchestra ได้ดี
ซึ่งในแนวเพลงแบบนี้ เรามักจะเจอปัญหาว่า ลำโพงบางคู่มักจะให้ speed ที่ไม่ทันกับเพลง หรือถ้าทันกับเพลงพอเปิดดังๆก็ฟังดูมั่ว สับสน เจี๊ยวจ๊าว กัดหู
หรือลำโพงบางตัวเกิดมาเพื่อฟังเพลงร๊อค แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมาพร้อมกับบุคลิคที่เกิดมาคู่กัน นั่นคือความบางและเสียดหูยามฟังกับเพลงปกติ รวมถึงการฟังในระดับความดังปกติก็จะมีสากเสี้ยนปนเข้ามาอยู่เป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นลำโพงที่ฟังเพลงได้หลายแนว และต้องดีทุกแนวจึงเป็นเรื่องอุดมคติที่ใครๆก็ใฝ่ฝันอยากได้มาไว้ในครอบครอง เข้าทำนองทั้ง สวย รวย เก่ง ครอบครัวอบอุ่น อะไรทำนองนั้น
ในระหว่างการฟังดนตรี Rock นั้น Kef referecne 3 สร้างความเพลิดเพลินให้กับผมมาก (ผมฟัง One ok rock) ซึ่งถือว่างานบันทึกทำมาได้ดี ผมนั่งฟังผ่านไปเพลงแล้ว เพลงเล่า จนร่วมเกือบหมดอัลบั้มก็ยังรู้สึกว่ามันสนุก เพลิน และไม่มีอาการกัดหูของดนตรีร๊อคเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกันรู้สึกว่าข้อดีที่ลำโพงฟัง rock ที่ดีควรจะมีกยังอยู่ครบถ้วน นั่นคือเบส ไดนามิค ความแม่นยำของจังหวะ และความ clear ของตัวโน๊ตที่ไหลผ่านดอกลำโพงที่ชัดเจน เที่ยงตรง
ย้อนกลับมาฟังเพลง Vocal (ผมเปิด Olivia) ซึ่งแน่นอนว่านี่คือเพลงแรกๆที่ผมเปิดฟังกับ Kef Reference 3 และตกใจในความแตกต่างของเนื้อเสียงของ Olivia มาก เพราะมันต่างกับลำโพงตัวอื่นๆที่ผมเคยฟัง นอกจากความชัดแล้ว ยังมีความอวบอิ่ม เนื้อเสียงที่ดี และฟังลื่นไหลมากๆ ประหนึ่งได้เห็นเธอมายืนร้องตรงหน้าเลยก็ว่าได้
แนวเพลงอีกแนวที่ผมฟังบ่อย ก็คงไม่พ้น R&B ผมมักจะไล่สุ่มเปิดเพลงจากใน spotify ไปเรื่อยๆ โดยเลือกจาก cetagory R&B และบ่อยครั้งก็พบเจอเพลงดีๆโดยไม่ตั้งใจ และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมพบว่าทุกเพลงที่เปิดนั้นมันฟังดี เนียน และที่สำคัญของดนตรี R&B นอกจากเสียงร้องแล้ว มันยังมีจังหวะจะโคนของเบสย่านต่างๆมาครบถ้วน (แล้วแต่เพลง) ซึ่ง Kef Reerence 3 ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

Electronic music หรือเรียกดนตรีประเภทนี้ว่า ดนตรีสังเคราะห์ที่มีเครื่องดนตรีประเภทซินธิไซเซอร์มาเป็นเครื่องให้จังหวะแทนกลอง ซึ่งดนตรีแนวนี้อาจจะมีความซับซ้อนและรายละเอียดสูงมากกว่าเพลงประเภทอื่นๆ ถ้าใครฟังเพลงแนวนี้จะรู้ว่า สามารถใช้ทดสอบจังหวะจะโคนของลำโพงได้ดี ว่ามีความไว มีรายละเอียดที่น่าฟัง และที่สำคัญที่สุดคือมีไลน์เบสที่เที่ยงตรง และหนักแน่น เร็วพอที่จะสร้างความสนุกในการฟังได้ เพลงที่นำมาทดลองก็หลากหลายตั้งแต่ Daft punk, David Gueta, Chainsmoker, Swedish House mafia
เพลงแนวนี้ความเป็นดนตรีและ image , sound stage เราคงไม่ต้องพูดถึง และผมเชื่อว่านี่คือโจทย์ที่ยากที่สุดแล้วสำหรับลำโพงที่จะเล่นเพลงแนวนี้ได้ดี
และ Kef Reference 3 ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แม้กระทั่ง youtuber ชื่อดังที่ทดสอบลำโพงมามากมายทั่วโลกอย่าง Sound Sommelier ยังขนานนามลำโพง Kef reference
(ช่องนี้แนะนำนะครับ เขาทดสอบลำโพงเสียงเที่ยงตรงมาก ถ้าตัวไหนฟังแล้วดี เอามาลองจริง เสียงจะตรงกับที่เขาอัดให้ฟังเลย ถ้าตัวไหนฟังแล้วเฉยๆเอามาฟังจริงก็อาจจะดีกว่านั้นนิดหน่อยแต่โดยรวมถือว่าดีมาก เพราะเขาไม่ใส่ความเห็นใดๆลงในคลิปเลย มีแต่เพลง)
ในส่วนของเพลง Pop ทั่วไปนั้น ผมลองเปิดฟังกับเพลงไทยทั่วไป เช่น Bowky lion, Atom ก็ให้คุณภาพที่ดีเช่นกัน แต่ก็จะลดทอนลงบ้างตามคุณภาพเสียงที่บันทึก แต่ส่วนใหญ่เพลงที่ให้คุณภาพที่ดีมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงแนว Vocal เสียงร้องผู้หญิงที่ลำโพงตัวนี้ทำได้โดดเด่นสุดๆ
Sound stage / Image
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มีหลายท่านโดยเฉพาะนักฟังรุ่นใหญ่ๆมักสอนผมเสมอว่า ลำโพงที่ดีควรให้น้ำหนักกับเรื่อง มิติ ซ้าย ขวา ช่วงลึก รูปวงที่ดี มีมิติ และหลายๆครั้งที่ผมได้มีโอกาศได้ไปฟังลำโพงที่ขึ้นชื่อ เอกอุในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ผมก็พบว่าตัวผมเองไม่ได้ตื่นเต้นมากกับความเป็น 3D ของมันนัก และบ่อยครั้งผมกลับพบว่า ลำโพงที่ให้ sound stage และ image ที่ดี บางครั้งก็ให้เสียงที่ไม่ถูกใจเราเท่าไร่ บางครั้งก็ให้มิติย่านกลางแหลมที่ดี แต่ให้ย่านเบสที่ผ่อนคลายเกินไป บางครั้งก็ให้เบสลึกที่นุ่มนวลแต่ฟังเพลงได้ไม่หลากหลาย บางครั้งก็ให้เสียงกลางที่หนาอวบ จนฟังเพลงบางแนวไม่ดีเท่าที่ควร
จนวันนึงผมไปฟังฝรั่งท่านนึงพูดว่า ลำโพงที่ image sound stage ดีมันก็ดีนะ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรที่ต้องทนนั่งฟังลำโพงที่ให้มิติสมจริงเหมือนนั่งอยู่หน้านักร้องและวงดนตรีจริงๆ แต่เราไม่ได้ชอบเพลง และไม่ชอบเสียงของนักร้องคนนั้น ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับความเป็น music lover หรือดนตรีมากกว่ารูปวง และมิติ
ส่วนตัวผมก็เห็นด้วยกับเขาในแง่ของความเป็น music lover ในฐานะที่ผมให้น้ำหนักกับการฟังลำโพงที่ให้โทนัลบาล้านที่ดี เบสที่กระชับเก็บตัวเร็ว กลางแหลมที่ชัด แหลมที่พริ้ว ฟังลื่นไหล จังหวะจะโคนที่ฟังแล้วมี speed ที่เร็วทันกับดนตรีที่เราเล่น และเสียงถูกหูมากกว่าจับผิดว่า นักร้องต้องยืนตรงไหน เวทีด้านหลังลึกมั๊ย
สาเหตุที่เราต้องเลือกแบบนั้นก็เพราะว่า ลำโพงที่ให้เสียงถูกหู ถูกจริตกับเราด้วย และทั้งยังให้ image sound stage ได้ดีด้วยนั้น ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ ต้องใช้ประสบการณ์การตระเวนฟัง การแมทชิ่ง และการให้เวลากับการเซ็ทอัท หรือแม้แต่ยกมาลองฟังจริงที่ห้อง ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลา แรงงาน และทรัพยากร (เงิน) มากมาย
ดังนั้นเวลาเลือกลำโพงในระดับเริ่มต้นหรือระดับกลางผมจึงให้ความสำคัญกับเสียง และโทนัลบาล้านแบบที่ชอบมากกว่ามิติและ sound stage
แต่จะดีแค่ไหนที่เราหาลำโพงที่ถูกใจทั้งเสียง และมิติ sound stage ได้
และ Kef Referrence 3 ก็เป็นลำโพงอีกตัวที่ฝรั่งให้การยอมรับ รวมถึงรีวิวไว้ในแง่บวกมากมายว่า นี่คือหนึ่งในลำโพ'ที่ให้ image / sound stage ที่สุดยอดที่สุดตัวนึงในช่วงราคานี้
ในการรีวิวครั้งนี้ผมยังไม่ได้รีด performance ของลำโพงคู่นี้ในเรื่องมิติ เวทีเสียงมากนัก เพราะต้องอาศัยการเซ็ทอัพ และจัดวางที่พิถีพิถันและใช้สมาธิในการฟัง ซึ่งเรียนตามตรงว่า ผมยังยืนยันว่า ผมพึงพอใจกับการเป็น music lover มากกว่า Audiophile ที่จะโฟกัสเรื่องนี้เป็นหลักครับ

Comparison
สำหรับใครที่นึกไม่ออกว่าเสียงแบบ Kef Referrence 3 นั้นเป็นเช่นไร ในส่วนนี้เลยจะมีเพื่ออ้างอิงและเปรียบให้เพื่อความเข้าใจง่าย กับลำโพงต่างๆที่ผมเคยได้ฟัง รวมถึงอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้จากต่างประเทศ
- Kef LS50 : แม้ ls50 จะเป็นสุดยอดลำโพงอีกตัวนึงของ Kef ที่ให้เสียงยอดเยี่ยมมากๆ แต่เสียงของ Kef ก็ยังให้ tonal balance ที่โดดเด่นในช่วงกลางแหลมเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดของตัวตู้ เสียงร้องและแหลมของ ls50 ให้ความเปิดเผย ชัด กระจ่าง และเที่ยงตรงมากพอที่จะทำให้ลำโพงในระดับราคาเดียวกันกลายเป็นของเล่นไปได้ แต่กระนั้นมันก็เหมาะกับเพลงแนว vocal, instumental หรือ jazz หรือเพลงแนวน้อยชิ้นมากกว่า เพราะเมื่อนำไปเล่นกับเพลงในแนวที่มี mid bass เราสามารถฟังออกได้ง่ายดายว่า เรากำลังฟังลำโพงเล็กอยู่ และเบสที่ตอบสนองก็เรียกว่า ไม่สามารถฟังเพลง rock ได้ดีพอ
ในขณะที่แม้กลางแหลมของ ls50 จะดี แต่รายละเอียด เนื้อเสียง และ image ที่ได้ก็ยังห่างไกลจาก kef reference 3 หลายขุมอยู่

- Kef R3, R7, R11 :
ในบรรดาลำโพงทั้ง 3 รุ่นนี้ ผมมีโอกาศได้ฟังเป็นเวลานานหลายเดือนทั้ง 3 ตัว ซึ่งทั้งหมดก็ดีกว่า Kef ls50 ไปอีกขั้นในแง่ของกลางต่ำและ bass ที่ได้
ถ้าให้พูดตรงๆ R Series มันเป็นลำโพงที่ดีมากๆแล้ว เมื่อเปรียบกับลำโพงในระดับเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดทั้งสามตัว ผมชอบและประทับใจกับ Kef R3 ที่สุด ด้วยเหตุผลว่ามันให้ tonal balance ของย่านเบสและกลางสูงดีที่สุดสำหรับห้องฟังและอคูสติกของผม มีความกระจ่าง และ clarity ที่ดีที่สุดเมื่อวางในห้อง (ห้องอื่นอาจจะไม่เป็นแบบนี้) รวมถึงความคุ้มค่าของราคาค่าตัวกับเสียงที่ได้ก็ทำได้ดีที่สุดด้วย
ในแง่ความแตกต่างของ Kef reference 3 และ Kef r series ทั้งสามตัวต้องบอกว่า แนวเสียงไปในทิศทางเดียวกัน แต่ Kef reference 3 ยกระดับจาก Kef r series ขึ้นไปอีกในทุกๆด้าน Kef Reference ก็เหมือน Kef r series ที่ได้ steroid เข้าไปสูบฉีด ทำให้กลางแหลมนั้นชัด มีมิติ ฟังลื่นไหล มี clarity ที่ดีมากกว่า
ในขณะที่เบสของ Kef reference 3 ก็ให้ความเที่ยงตรงสูง กระชับ ไม่มีอาการฟุ้งหรือเบลอเมื่อเจอกับเพลงที่มีสปีดเร็วมากๆ เหมือน r series ที่ยังมีอาการออกให้เห็นอยู่ อย่างเพลงแนว Rock
เบสของ Kef reference 3 อาจจะไม่ต่างจาก kef r มาก เมื่อคุณฟังเพลง vocal อย่างเดียวโดยไม่ฟังอะไรอย่างอื่นเลย
แต่เมื่อไรที่คุณเอาเพลงประเภทอื่นที่มีเบสที่กระชับ และรวดเร็วขึ้นมานิดนึงมาเปิด มันจะต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะเบสของ Kef Reference 3 นั้นกระชับ นิ่ง กลม และเก็บตัวดี เที่ยงตรง ฟังสนุก ฟังอร่อยจริงๆ เมื่อยามฟังเพลงเร็วครับ
ส่วนกลางแหลมนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ mid range, high ของ Kef Reference 3 นั้นสุดยอดมากแล้ว เรียกว่าไร้ที่ติ แต่ driver ของ mid range, high ของ Kef reference 3 ก็เป็นตัวเดียวกับที่อยู่ในรุ่นเรือธง Reference 5 ด้วยครับ

Klipsch Heresy III, Forte III :
ถ้าปรัชญาการทำลำโพงของ Kef เป็นสีขาว ปรัชญาการทำลำโพงของ Klipsch ก็คงเป็นสีดำ เพราะลำโพงทั้งสองนั้น เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกันหมดทุกอย่าง ทั้งงานดีไซน์ แนวเสียง และ character ของมัน แต่ทว่าเป้าหมายของลำโพงทั้งสองแบรนด์นั้นกลับบรรลุในสิ่งที่นักฟังสองฝั่งสามารถไปถึงเป้าหมายได้เหมือนๆกัน นั่นคือ ความสุขในการฟังเพลง ฝั่งนึงให้ความสมจริงและชัดแบบบ้าคลั่ง ชัดแบบสุดๆในแง่ความเป็น live sound สมจริงประหนึ่งยืนอยู่หน้าเวที
อีกฝั่งก็ละเมียดละไมและเอาใจ audiophile ด้วย Image /Sound stage ที่ยอดเยี่ยม น้ำเสียงที่ลื่นไหล ฟังง่าย รายละเอียดดี
คนที่ครอบครองลำโพงทั้งสองรุ่นนี้อาจเป็นคนละคนกัน แต่สำหรับผมลำโพงทั้งสองตัวนี้ คือสิ่งผมรักและคิดว่ามันตอบสนองสิ่งเดียวกันกับนักฟังเพลง นั่นคือความเป็นดนตรีนั่นเองครับ

Conclusion
สรุปความเป็นตัวตนของ Kef Reference อาจจะไม่ใช่ลำโพงอังกฤษที่ให้ความคุ้มค่าทางด้านราคา แต่มันคือ passion ของคนที่ต้องการเติมเต็มทั้งทางด้านรูปลักษณ์ และเสียงที่ดีจนก้าวไปยืนแถวหน้าของลำโพงในระดับราคาเดียวกันหรือสูงกว่ามันได้สบาย
และหากคำว่าชอบเกิดขึ้นในใจเราแล้ว ผมเชื่อว่า ของชอบ ไม่มีคำว่าแพง
เพราะถ้าเราทำงานหนัก และเราสามารถเอื้อมถึงได้ ผมจะถามตัวเองว่า แล้วทำไมไม่คว้าไว้ละ เราอยู่ค้ำฟ้าหรือเปล่า ถ้าไม่ วันนี้ work hard, play harder ครับ
และนี่คือเหตุผลที่ Kef Reference 3 ตัวนี้มาตั้งอยู่ในห้องฟังของผมเอง ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอบสนอง passion ของตัวเอง และลำโพงใในระดับราคา 5 - 6 แสนบาทนั้น สำหรับคุณอาจจะเป็นลำโพงตัวไหนก็ได้ แต่สำหรับผมที่ได้ทดลองฟังลำโพงมาหลายตัว ผมเลือก Kef Referene3 ให้เป็นอันดับต้นๆของ Wish list ที่ผมต้องคว้ามาไว้ครอบครองครับ.
