จะรู้ได้อย่างไรว่าลำโพงตัวไหนขับยากขับง่าย
จะรู้ได้อย่างไรว่าลำโพงตัวไหนขับยากขับง่าย วันนี้เราแนะนำหลักการเบื้องต้นในการคำนวณว่าลำโพงตัวไหนขับง่ายหรือยาก ต้องใช้กำลังขับจาก avr / power amp เท่าไร่ถึงจะดี? และเพียงพอกับการที่จะขับลำโพงตัวนั้นๆให้ได้ศักยภาพตามที่ผู้ผลิต และภาพยนตร์บันทึกมาฝากกันครับ
ซึ่งจะขอพูดอ้างอิงถึงห้องฟัง home cinema, dedicated home theater ที่ต้องการให้คุณภาพการฟังและความดังอยู่ในระดับมาตรฐานเป็นหลักไว้ก่อน (85 dB , peak 105 dB)
ส่วนซิสเต็มทั่วไปที่บอกว่า ฟังเพลงเบาๆ แค่นี้ก็ดังแล้ว หรือแค่ไว้เปิดดู Netflix ดูหนัง 50:50 หรือ 60:40 อะไรแบบนั้น ก็อาจจะไม่ต้องซีเรียสกับตัวเลขกำลังขับ หรือเรื่องลำโพงขับง่ายขับยากอะไรมากนัก เพราะส่วนใหญ่เอาแค่ขับออก มีเสียง ฟังได้ ดูก็หนังจบก็เพียงพอแล้ว
จากในตารางจะเห็นว่าเราจะมีตารางบอกคอลัมน์ แนวนอนค่า spl ของ speaker หรือค่านี้มันก็คือค่า sensitivity ในตาราง spec ของลำโพงแต่ละรุ่นนั่นเองครับ (ใครอยากรู้ว่าลำโพงของเรามีค่าเท่าไร่ก็คลิ้กดูที่ spec. ของผู้ผลิตลำโพงรุ่นนี้ ยี่ห้อของตัวเองได้)
ส่วนคอลัมน์แนวตั้งก็คือค่ากำลังขับที่ต้องป้อนเข้าไป เพื่อให้ความดังได้ตามรายละเอียดตามค่าในตารางนั่นเองครับ.
ผมจะขอยกตัวอย่างลำโพงทั่วๆไปที่มีค่า spl ในระดับ 89 - 90 dB (เรียกว่ากำลังสวย ขับไม่ง่าย และไม่ยากนัก)
เราจะเห็นว่าถ้าเราจะฟังทั่วไปที่ความดัง 85 dB นั้น ลำโพงตัวนี้จะต้องการกำลังขับที่ 1 วัตต์ ก็ให้ความดังได้ระดับที่ต้องการแล้ว แต่ช้าก่อน ที่ 1 วัตต์นี้คือวัดที่ระยะ 1 เมตร ปกติทั่วไปลำโพงในห้องฟัง เราจะนั่งฟังที่ระยะเฉลี่ย 3-5 ม. (ไม่มีใครนั่งฟัง home theater จ่อหน้าลำโพง) และปกติทุกๆ 1 เมตร ความดังจะลดลงไปประมาณ 3 dB ด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากเรานั่งฟังห่างจากลำโพงที่ 3 ม. เท่ากับว่า การจะฟังให้ได้ความดัง 85 dB ถึงจุดที่โซฟาเรานั้น จะต้องการกำลังขับเฉลี่ยที่ประมาณ 4-8 วัตต์ และหากต้องการความดังพีคทั่วๆไปที่ 105 dB จะต้องการกำลังขับที่ 256 วัตต์เลยทีเดียว แต่หากเราดูดังกว่านั้น เช่น 110 dB เราจะต้องการกำลังขับสูงมากถึง 1024 วัตต์ พระเจ้าาา avr บ้าอะไรจะให้กำลังขนาดนั้น (ยกเว้นแอมป์ pa)
และตารางและกำลังขับเหล่านี้ คือกำลังขับที่ทำให้ลำโพงแสดงศักยภาพได้สูงสุดอย่างที่มันควรจะเป็น
เราจึงสามารถสรุปได้ 4 ข้อแบบง่ายๆว่า
1. Avr ทั่วๆไปหรือแม้แต่แอมป์หลอดกำลังต่ำๆนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เสียงดังในระดับฟังเพลงหรือดูหนังแบบ music lover ฟังสบายๆได้แล้ว อย่าลืมว่าการฟังเพลงนั้น ต้องการความไพเราะ คุณภาพเสียง แต่ไม่ได้ต้องการความดังสูงและแนวเสียงที่ชัดเจน ไดนามิคสูงเหมือนการดูหนัง
2 แต่หากเราเน้นดูหนัง ที่ส่วนใหญ่ภาพยนตร์บันทึกมาทั้งช่วงดังปกติ และข่วงดังมาก (peak) หากเราเปิดเสียงให้ได้ยินและเราฟังสบายๆที่ 85 dB ในช่วงปกติ เช่นฉากคุยกัน แต่พอช่วงพีค เข่นฉากผีโผล่ หรือฉากยิงปืน เราจะพบว่าช่วงนั้นความดังอาจจะพุ่งขึ้นไปถึง 105-110 dB
และความดังระดับนี้นี่เองที่มีไดนามิค มีพละกำลังที่ทำให้การดูหนังนั้นมีอรรถรส สนุก เราจะเห็นว่าลำโพง home audio ทั่ืั่วไปส่วนใหญ่ก็รองรับความดังที่ระดับ 110-113 dB ด้วยเช่นกัน
แต่ปัญหาก็คือ พละกำลังของ power หรือ avr ที่เอามาขับนั้น ไม่สามารถตอบสนองความดังในจุดนี้ได้ดีพอ (กำลังไม่พอ) ทำให้เสียงโดยเฉพาะการดูหนังแอคชั่น หนังผีนั้น ไม่ได้มีคุณภาพอย่างที่ผู้ผลิตหนังและลำโพง ต้องการให้เป็น)
นี่จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมเราใช้แอมป์หลอดฟังเพลงได้ดี (สำหรับคนที่ชอบแนวนี้) แต่เราใช้แอมป์หลอดดูหนังได้ไม่ดี และทำไมควรต้องใส่ power amp เข้าไปในระบบ ทั้งที่ avr ก็เคลมว่าให้กำลัง 185 -200 วัตต์แล้วก็ตาม
คำตอบก็คือ 99% ของ avr จะเคลมสเปกตัวเองไว้ที่ 1-2 แชนแนลเท่านั้น ในระบบมัลติแชนแนลที่เราใช้ดูหนังนั้น เรามีลำโพงที่ต่อใช้งานพร้อมๆกันสูงถึง 5-11 ตัว (ไปจนถึง 15 หรือมากกว่านั้น)
กำลังที่แท้จริงของ avr จึงไม่สามารถเป็นไปได้เลยที่จะปั๊มกำลังออกมาที่แต่ละแชนแนลได้เกิน 100 วัตต์ per channel
ดังนั้นแม้แต่ลำโพงที่มีความไวสูงมากๆที่ 97 dB ยังต้องการกำลังขับสูงมากถึง 128 วัตต์ต่อแชนแนล หากเราต้องการความดังในระดับ 105-110 dB ที่จุดนั่งฟัง 3 เมตร แต่ลำโพงที่ความไวต่ำมากๆเช่น 87 dB นั้นที่ระดับความดังเดียวกันนี้ (105-110 dB) จะต้องใช้กำลังมากถึง 1024 วัตต์ ซึ่งไม่มี power amp บ้านทั่วไปที่ไหนให้ได้ ซึ่งลำโพงที่มีค่า sensitivity ต่ำมากระดับนี้นั้นส่วนใหญ่จะพบเจอในลำโพงฟังเพลง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของพวกเขา เพราะการฟังเพลงเราฟังเน้นเพราะที่ความดังระดับนึง ไม่ได้เน้นฟังดังอะไร ยกเว้นว่าเราเอามันมาดูหนังเมื่อไร่นั่นแหละถึงจะมีปัญหา
3. ลำโพง home cinema ที่ออกแบบมาเพื่อดูหนังจริงๆ (ไม่ใช่ลำโพงฟังเพลงแต่แค่ออกซีรี่ย์ดูหนังมาขายแฟนๆ) ถึงออกแบบให้ความไว sensitivy นั่นอยู่ในระดับที่สูงเฉลี่ย 90 และตัวลำโพงเองก็ออกแบบมาให้รองรับความดังได้สูงระดับ 110-115 dB ขึ้นไป ซึ่งลำโพงบ้าน home audio หรือลำโพงที่ออกแบยมาเพื่อฟังเพลงนั้นไม่สามารถตอบสนองตรงนี้ได้ แม้ว่าเราจะซื้อ power amp กำลังขับมากๆคุณภาพดีๆมาเพื่อขับลำโพงฟังเพลงดีๆ แต่ที่ความดังระดับ 110-115 dB นั้น ตัวลำโพงเองก็จะเริ่มมี distortion ที่ฟังไม่ดีแล้ว แต่ว่านั่นไม่ใช่เป็นเพราะลำโพงตัวนั้นคุณภาพไม่ดี แต่เป็นวัตถุประสงค์ที่เขาออกแบบลำโพงมาแตกต่างกัน
4. ทำไมเราถึงนิยมใส่ power amp ในระบบ ทำไม avr ไม่พอ ทั้งๆที่กำลังขับ avr สูงเป็น 100-200 วัตต์
คำตอบก็อยู่ด้านบนทั้งหมด หากเราต้องการให้เสียงออก เราใช้อะไรขับก็ได้ แต่หากเราต้องการฟังดี แน่น มีคุณภาพ ดูหนังยิ่งเร่งยิ่งสนุก ไม่ใช่ยิ่งเร่งยิ่งแสบหู ฉากพีคไม่รู้สึกว่าลำโพงไปไม่ไหวแล้ว หรือมี distortion
Power คือสิ่งที่จำเป็นมากๆ และควรต้องเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับคุณภาพและประเภทของลำโพงด้วยเช่นกัน (ลำโพง home cinema ที่ออกแบบมาเพื่อดูหนัง และเคลมว่ารองรับความดังระดับ 110 -115 dB ขึ้นไป จึงควรใช้กับ power amp จึงจะได้ศักยภาพเต็มที่)
สุดท้าย อย่าลืมว่า วัตถุประสงค์การใช้งานและความชอบ ห้องฟัง ความดัง เป็นตัวกำหนดลักษณะลำโพง และแอมป์ที่เราจะนำมาใช้งาน
ห้องกว้างมากแค่ไหน หากห้องใหญ่ นั่งฟังห่างถึง 4-5 เมตร ฝ้าสูงระดับ 3 เมตร ในห้องฟังระดับนี้นั้น การเลือกใช้ลำโพง home audio และ avr ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการนี้ ย่อมพบปัญหาเสียงอ่อนแรง เปิดดังหนวกหู เบสไม่ออก อิมแพคไม่มี พอเปิดค่อยเสียงเหมือนฟังจากทีวี หรือซาวด์บาร์ราคา 8-9 พัน เป็นเรื่องปกติ พอเปิดดังฟังแล้วบาง เสียงเบสไม่มี เสียวคนพูดดังก็จริง แต่เสียงยิงปืนออกมาเหมือนปืนจะแตก
ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ของไม่ดี แต่เราอาจเลือกใช้ของไม่ตรงกับสภาพแวดล้อมที่มีอยู่
อย่าลืมว่าความคาดหวัง และการใช้งานเป็นสิ่งที่จะกำหนดสเปกของสิ่งของและอุปกรณ์หลัก (พูดถึงอุปกรณ์หลัก ไม่พูดถึงสาย)
เหมือนเราเลือกรถมาใช้งาน รถทั่วไปที่ขับได้ max speed 185-190 km/h นั้นก็เพียงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ขับออกตจว. ไปรับส่งลูก (เปรียบเหมือนการดูหนังฟังเพลงทั่วไป)
แต่หากเราเปลี่ยนโจทย์เพียงนิดเดียวว่าต้องการรถที่มีสรรถนะรองรับ max speed ที่ใช้งานความเร็วสูงได้ดีขึ้นเพียงนิดเดียว เช่น 210-220 km/h และที่ความเร็วสูงระดับ 150-180 ยังต้องขับได้ดี ขับได้จริง ไม่ใช่ขับแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย รถพร้อมจะพุ่งลงข้างทางตลอดเวลา สเปกแบบนี้เราอาจต้องเปลี่ยนประเภท สเปก และราคารถกันเป็นคนละประเภทกันเลย (เปรียบเหมือนกับเราต้องการชุดดูหนัง ที่ดูหนังในระดับความดัง reference เร่งได้ดัง รองรับหนังทุกประเภทได้ดี ดูสนุก และที่สำคัญเร่งดังๆแล้วยังฟังดี ไม่หนวกหู)
เห็นไหมครับว่า การตัดสินใจเลือกลำโพง power amp หรือ avr นั้นมีผลกับคุณภาพเสียงเป็นอย่างมาก เลือกให้ตรงกับสภาพแวดล้อม การใช้งาน และความชอบคือ 3 สิ่งสำคัญ ขาดอย่างใดอย่างนึงไปไม่ได้
หากชอบแบรนด์อย่างเดียว แต่ลำโพงไม่ได้ออกแบบมาให้ทำงานแบบที่เราต้องการเสียงก็ไม่ดี
หรือลำโพงให้เสียงที่ดี และออกแบบมาให้รองรับได้ตามที่เราต้องการ แต่เลือก avr มาขับ เสียงก็อาจจะแย่กว่าเลือกลำโพงทั่วไปแต่กำลังเพียงพอก็เป็นได้นะครับ
หน้าที่เข้าชม | 2,192,238 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,301,075 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |