Review Klipsch Reference Theater Pack

วันนี้ได้ฤกษ์แกะกล่อง Klipsch Reference Theater Pack 5.1 เสียที
หลังจากเอามาดองไว้เป็นอาทิตย์ จนสงกรานต์ งานเริ่มซา คนเริ่มทยอยกันเดินทางกลับตจว. ส่วนหนึ่งก็ถึงเทศกาลที่คนไทยต่างพากันเดินทางไปญี่ปุุ่นโดนมิได้นัดหมาย เดินๆอยู่คงนึกว่าอยู่ต่างจังหวัด เอ๊ะทำไมคนไทยเยอะจัง เจอแต่คนไทย ฮาา
ไม่เสียเวลาเยอะ เริ่มกันเลย
แกะกล่องออกมาเจอลำโพง 5 ตัว โดยมี 4 ตัวเป็นลำโพงแซทเทิลไลท์ที่เหมือนกัน ใช้เป็นคู่หน้าและคู่หลัง
ส่วนอีกตัวเป็นเซ็นเตอร์ ทั้งหมดใช้ดอก 3.5 นิ้วและทวีตเตอร์ 1 นิ้ว ทั้งหมดเป็น passive speaker ต้องใช้ avr มาขับ ยกเว้นซับวูฟเฟอร์ที่ถ้าใครซื้อรุ่น 5.1 ตัวซับจะเป็น active ตามปกติสากลโลก และเป็น wireless มาให้สะดวกสบายไม่ต้องลากสายสัญญาณยาวๆ (แต่ต้องเสียบปลั๊กนะ)
ตัว woofer ของลำโพงเป็น copper spun ตัววูฟเฟอร์ตัวนี้ถูกประจำการอยู่ในลำโพง klipsch reference series ดังนั้นมั่นใจว่าแนวเสียงมันจะออกกลางๆหน่อย ไม่ได้เสียงเฟี้ยวจัดแบบ Reference Premier series คือฟังง่าย เบสหนา กลางกลมกล่อม ไม่พุ่งสดมากเกินไป
แกะออกมาลองต่อกับ Pre Anthem avm60 และ Emotiva power XPA5
และก็มั่นใจว่าด้วยยุทโธปกรณ์ที่เอามาต่อร่วมกันนี้ มันสามารถขุดเอาศัพยภาพของลำโพงชุดนี้ออกมาได้ครบทุกเม็ดแล้วละ
เพราะด้วย power Emo ที่เคยบอกเล่าไปแล้วว่า มัน match และเข้ากันกับ klipsch ได้ดีกว่ายี่ห้ออื่นมากๆ
ประมาณว่าเอา power ตัวนี้ไปต่อกับลำโพงอื่นอาจจะเพิ่มศัพยภาพของชุดได้สัก 20-50% แต่พอเอามาจับกับ klipsch กลับช่วยเสริมกันได้สัก 50-80%
ดังนั้นจึงมั่นใจว่าน้ำเสียงที่ได้ฟังจากการลองฟังครั้งนี้นั้น มันครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
ในการลองซื้อไปใช้งานจริงๆก็ต้องบอกว่าใช้แค่ AVR ธรรมดาๆ ไม่ต้องรุ่นใหญ่อะไรก็พอแล้วล่ะครับ
1. ขับง่าย ลำโพงตัวเล็ก แอมป์อะไรก็ขับได้หมด ติดตั้งง่ายสวยงาม น้ำหนักเบา ซ่อนได้ แขวนได้ ตั้งขาตั้งได้ วางหิ้งก็ได้
2. แนวเสียงไม่จัดจ้าน ฟังง่าย ติดโทนกลางๆ แนวเสียงรุ่น Reference Series เป็นไง ตัวนี้ก็ยังงั้นเลยครับ เพียงแต่ลด scale ลงมาตามขนาดลำโพง ดีเทลกำลังดี ไม่ได้ขุดดีเทลออกมามากมายนัก และสเกลเสียงก็พอเหมาะกับตัวมัน และเหมาะจะใช้กับห้องขนาดเล็ก ไปจนถึงกลางๆ ในคอนโด ในห้องนอนอะไรแบบนี้จะเหมาะมาก
3. ตัวลำโพง งานประกอบดี สวยงาม ดูภูมิฐาน น่าใช้งาน และดูเกินราคาไปไกลครับ
1. ช่องต่อลำโพงมันไม่เหมาะกับขั้วต่อบานาน่าแบบปากฉลาม คือยัดขั้วปากฉลามไม่ได้ครับ เค้าออกแบบไว้เสียบสายแบบสดๆ ไม่ได้ออกแบบไว้เสียบบานาน่า ก็เข้าใจนะว่าเน้นประหยัดดี
2.แนวเสียงต่างจากรุ่น Quintet V พอสมควร โดยเฉพาะโทนเสียงที่ติดไปทางฟังง่ายขึ้น ไม่ได้เฟี้ยว สดเหมือนเก่า แต่โดยรวมเมื่อเทียบกับลำโพงแซทเทิลไลท์แบรนด์อื่นๆที่ขายกันอยู่ในท้องตลาดแล้วก็ยังถือว่าเสียงดุดัน และชัดเจนกว่ายี่ห้ออื่นอยู่ดีครับ เพียงแต่ถ้าเทียบกับมาตรฐานของ Klipsch อื่นๆที่รุ่นสูงกว่าแล้ว ก็ถือว่าเป็นลำโพงที่เสียงยังไม่ได้ดุมากมาย เหมาะกับครอบครัวและใช้เป็นลำโพงเพื่อสันทนาการ ฟังง่าย ฟังได้ทุกวัยโดยแท้ทรู
3. ตัวซับในชุด Theater pack อาจจะเล็กไปนิ้ด สำหรับคนที่ห้องใหญ่หรือคนที่ถวิลหาคลื่นความถี่ต่ำแน่นๆหนักๆ
ตอนลองต่อเราเอา SVS SB6 ultra มาลองสลับใช้ พบว่าบรรยากาศ ฐานเสียง ฐานเบสดีขึ้นเยอะมาก จากเสียงกลางๆกลายเป็นซิสเต็มเสียงดุจนน่ากลัวเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าใครใช้ลำโพงชุดนี้ แล้วได้ซับที่ใหญ่ขึ้น จะช่วยให้เสียงดีขึ้นไปอีกได้หลายเท่าเลยครับ อย่าลืมว่าเปลี่ยนซับดีๆสักตัว มันเปลี่ยนเสียงในซิสเต็มคุณไปได้เลยนะครับ

ก่อนเก็บเข้าลังผมได้ลองเอามาเปรียบเทียบกับเสียงของลำโพง Klipsch THX Ultra2
ซึ่งเอาจริงๆ... มันก็เทียบกับไม่ได้หรอกครับ ทั้งราคาและก็วัตถุประสงค์ของคนที่ซื้อลำโพงทั้งสองแบบนี้
แต่เวลาเราอ่านรีวิว เราก็อยากรู้ใช่มั๊ยครับว่า ของธรรมดาๆรุ่นถูกๆ มันเทียบกับของแพงๆรุ่นท๊อปแล้วมันจะต่างกันแค่ไหนเชียว (ว่ะ)
คล้ายๆนั่งดูรีวิว Altis เราก็อยากรู้ว่าเทียบกับ 320D แล้วสมรรถนะมันจะต่างกัน 3-4 เท่าเหมือนราคาหรือเปล่านั่นแหละ
ลำโพง Klipsch Theter pack ตัวลำโพงแซทเค้าราคาประมาณตัวละ 4000 บาท (19900 หาร 5) ซึ่งถ้าซื้อแยกราคาจะแพงกว่านี้ เอาเป็นว่าเราตีถ้วนๆกลมๆไปตัวละ 5000 บาท
ส่วน Klipch THX Ultra 2 KL650 นั้นตัวละ 65000 บาท
ต่างกัน 13 เท่าครับ สำหรับราคาลำโพงสองรุ่นนี้
ตัวนึงเกิดมาเพื่อเป็นที่สุดของลำโพงดูหนังที่ให้เสียงสด รุกเร้า และสเกลเสียงใหญ่โตแบบลำโพง commercial ในโรงหนัง
ส่วนอีกตัวออกแบบมาเพื่อเป็นลำโพงแซทใช้ในครอบครัวห้องเล็กๆ ดูหนังฟังเพลงทั่วๆไป
ผมลองต่อลำโพง Klipsch Theater pack แล้วเปิดเพลงฟังแบบ 2 แชนแนล เสียงที่ได้จากลำโพง Theater pack ยังคงเป็นโทนเสียงแบบลำโพง klipsch อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ชัด forward เล็กน้อย และเบสที่ดีกว่าลำโพงแซทแบรนด์อื่นๆ
แต่เมื่อเทียบกับ KL650 แล้ว ก็เหมือนเอาแมวไปเทียบกับเสือ
ไม่ว่าจะเป็นสเกลเสียง ความอิ่มเข้ม ความพุ่ง ความสด พลังเบส ไดนามิค ต่างกันมากกกนะครับ ฟังเสียงพูดก็ต่างกันอย่างชัดเจน
แต่ๆความต่างถ้าประมาณออกมาเป็นตัวเลข ผมว่ามันน่าจะต่างกันสัก 4-5 เท่า ไม่ได้ห่างเป็น 13 เท่าเหมือนราคานะครับ
ดังนั้นมันจึงมองออกมาได้สองแบบคือ
1. สำหรับคนที่ถวิลหาความคุ้มค่า งบน้อย ห้องเล็ก ตัวลำโพง Klipsch Reference Theater Pack ก็ให้ความคุ้มค่ามากๆแล้ว นับแค่ตัวลำโพงที่ถูกกว่า 13 เท่า และยังไม่นับต้นทุนที่ต้องหาปรีโปร เพาเว่อร์ดีๆมาขับลำโพง THX อีกนะ ถ้าใจคิดจะจบ ชุดแค่ Theeater pack ก็จบได้ครับ
2. Klipsch THX Ultra2 มันคือของแพง ราคาก็ไปไกล แต่คุณภาพก็ดีสมราคา สำหรับคนที่เน้นดูหนัง เราบอกว่าเสียงไม่ทำให้ใครผิดหวังแน่นอน เพียงแต่คำว่าของแพง กับคำว่าคุ้มค่ามันต้องพิจารณาว่า แค่ไหนดี แค่ไหนคุ้มค่า
บางทีของแพงกว่าสิบเท่า แต่คุณภาพเพิ่มขึ้นได้สัก 3-5 เท่านี่ก็ดีมากแล้วครับ เพราะธรรมชาติของสินค้า ยิ่งแพงเท่าไร่ บางทีความต่างก็คืออะไรที่ทำได้ยาก และต่างกันนิดหน่อยนี่แหละครับ และความต่างนิดนึงตรงนี้เองไม่ใช่หรือ ที่เราตามหา และต้องการมัน
แต่ถ้าถามผม สำหรับคอดูหนังจริงจัง ผมว่ามันคุ้มราคาในตัวของมันครับ ไม่ได้แพง คุณภาพดี แต่คำว่าคุ้มของคุณมันต้องพิจารณาในหลายปัจจัยและหลายมิติ
และสุดท้ายอย่าลืมว่า เราเล่นเครื่องเสียง เรากำลังตามหาความคุ้มค่า หรือคุ้มเงิน หรือของถูกที่สุดหรือเปล่า เราเล่นเครื่องเสียงเราใช้อะไรในการตัดสินใจ เหตุผล หรืออารมณ์ความรู้สึก
มันเป็น Emotional product ใช่หรือเปล่า หรือแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่แปลงกำลังไฟออกมาเป็นเสียงเท่านั้น
แนวคิดที่ต่างกันและทุนทรัพย์นี่เองจะเป็นตัวบอกเองว่า มันคุ้มมั๊ย...... ขอให้มีความสุขในการเล่นเครื่องเสียงครับ....









