เลือกเล่นเครื่องเสียงอย่างไรดี
ที่ผ่านมาผมมานั่งคิดๆว่า เวลาลูกค้าจะเข้ามาสอบถามเพื่อซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ลำโพง แอมป์ ปรี หรืออะไรก็ตาม มักจะมีคำถามสองประเภทเข้ามานั่นคือ
1. เลือกเสียงตัวที่ชอบเป็นหลัก โดยเลือกจากรุ่นและแบรนด์ที่ตัวเองชอบและสนใจเป็นหลัก ราคาเอาไว้พิจารณาเป็นเรื่องรอง
2. เลือกตัวไหนก็ได้ที่อยู่ในช่วงราคาที่ตัวเองตั้งไว้ โดยยึดราคาเป็นหลักก่อน แล้วค่อยพิจารณารุ่นทีหลัง
ก็เลยมักจะเกิดคำถามว่า
- ช่วงนี้มีมือสองตัวไหนลดสุดๆบ้างคร้าบบ????
- หรือช่วงนี้มีตัวไหนลดราคาบ้าง????
ซึ่งเอาจริงๆ ถ้ามีสินค้าตัวไหนลดราคาก็จะพิจารณาจากตัวนั้นก่อน
ซึ่งก็เป็นวิธีที่ถูก เพราะเราต้องตั้งงบในใจเราไว้ก่อนอยู่แล้ว
แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแปลว่าถ้าตัวไหนที่เสียงดี โดนใจแต่ราคาเกินก็จะถูกตัดทิ้งไป
จริงๆผมอยากจะบอกว่า เครื่องเสียงเนี่ย เป็นของเล่น เป็นงานอดิเรก เป็นของฟุ่มเฟือย ไม่มีความจำเป็นกับชีวิตใดๆ ไม่มีเราก็ใช้ชีวิตดำรงอยู่ได้ในโลกใบนี้ เพราะมันไม่ใช่ปัจจัยที่4 (ยุคนี้ต้องรวมปัจจัยที่ 5 คือรถยนตร์ และปัจจัยที่6 คือเครื่องมือติดต่อสื่อสาร)
ดังนั้นเครื่องเสียงเนี่ยนะครับ ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นกับชีวิต ก็แปลว่า มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่ตาย
ดังนั้นคนที่ซื้อเครื่องเสียงก็ย่อมแปลว่า เค้าคนนั้นย่อมซื้อเพื่อเติมเต็มความต้องการของชีวิต ซื้อเพื่อเล่น ซื่้อเพื่อตอบสนองความสุขในการใช้ชีวิตประจำวัน และซื้อแล้วไม่เดิือดร้อนกับชีวิตประจำวันและครอบครัว
จะเห็นว่าเครื่องเสียงมีอายุการใช้งานยืนยาวมาก เป็นสิบปี (ลำโพง และ poweramp)
ส่วนพวก active เช่นซับวูฟเฟอร์ AVR, Pre ก็อายุการใช้งานรองลงมา แต่ก็ถือว่านานมากอยู่ดี คือเป็น 5 ปีขึ้นไป
อายุการใช้งานและ life cycle มันยาวกว่ารถยนตร์อีกนะครับเนี่ย
แต่สิ่งที่ต่างกันคือ เครื่องเสียงไม่ค่อยต้องการการ maintenance ครับ คือซื้อมายังไงก็ใช้ไปเถอะ ตราบใดที่คุณไม่ทำหล่น เอาค้อนไปทุบ เอาปากกาไปจิ้ม หรือเอาไฟไปชีอตมัน มันก็ไม่พัง (ยกเว้นสินค้าบางตัวที่ต้องการการเมนเทนเน้น เช่นซับบางยี่ห้อต้องเปลี่ยนดอกทุกๆ 3-5 ปี , Projecter ที่ไม่ใช่เลเซอร์ที่ต้องคอยเปลี่ยนหลอด และพวกแอมป์หลอดทั้งหลายแหล่ที่ต้องสแปร์พาร์ทไว้)
แปลว่า หากเราซื้อลำโพงมาสักคู่นึง แปลว่าเราไม่ต้องจ่ายเงินอะไรเพื่อบำรุงรักษามันอีกเลยไปชั่วอายุไขมัน ไม่ต้องซ่อมบำรุง ไม่ต้องทำอะไร แค่ใช้มันให้อยู่ในขอบเขตที่มันทำงานได้ แค่นั้น ต่างจากรถยนตร์ที่ใช้อย่างเดียวโดยไม่ซ่อมบำรุงมีแต่วันเสื่อมถอยและพังลง
ดังนั้นสิ่งที่ผมจะสื่อคือ เราต้องบาล้านซ์การเลือกเครื่องเสียงให้ดี ระหว่าง "ราคาอยู่ในงบ" กับ "คุณภาพที่เราต้องการ"
ไม่ใช่ว่าซื้อยี่ห้ออะไรก็ได้ที่ราคาอยู่ในบัดเจ็ท แต่ไม่สนใจเรื่องเสียงเลย
หรือซื้อยี่ห้อที่เสียงดีที่สุด โดยไม่สนใจว่าตังมีหรือไม่ ต้องกู้หนี้ยืมสินเป็นหนี้บัตรเครดิต เพราะเครื่องเสียงซื้อครั้งเดียวแล้วใช้งานได้ไปอีกนาน ไม่ต้องซื้อซ้ำบ่อยๆ ไม่เหมือนของกิน ไม่เหมือนรถยนตร์ที่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก)
ของเล่น จะเล่นเมื่อไร่ก็ได้นะครับ ถ้าเครื่องเสียงที่เราชอบมันแพงไป เราก็ยังไม่ต้องไปซื้อมัน เก็บเงินไปก่อน หรือรอพร้อมก่อน ดีกว่าเอาเงินที่มีอยู่ไปซื้อยี่ห้ออื่นที่ขายถูกกว่า แต่เสียงมันไม่ใช่ที่เราต้องการ
จริงๆตลาดลำโพงแยกชิ้น (ขอไม่พูดถึงเครื่องเสียง In the box) ช่วงที่ขายดี คือช่วงราคาที่อยู่ระหว่าง 8,000 - 20,000 กว่าบาท ช่วงนี้จะอยู่ในช่วงที่คนสนใจมาก และขายดีครับ
สังเกตว่าลำโพงบางยี่ห้อที่ตั้งราคาในช่วงนี้คนจะนิยมมาก ทั้งๆที่เสียงไม่ได้ดีเลยแม้แต่นิดเดียว (ยี่ห้ออะไรไม่พูดถึง เดี๋ยวจะดราม่า ^_^)
นั่นเพราะว่า ราคามันตรงกับช่วงราคาที่คนอยากจะซื้อ อยากจะจ่ายเงินให้เครื่องเสียง (Willing to Pay)
ถ้าแพงเกินกว่านี้ จะเป็นอีกกลุ่มนึงที่มองเรื่องเสียงเป็นหลักแล้ว
ซึ่งจริงๆ จะเล่นเครื่องเสียงโดยเริ่มจากรุ่นถูกๆ เพื่อเรียนรู้ แล้วขายออกไปซื้อรุ่นอื่นมาเป็นประสบการณ์ ได้เรียนรู้ได้ฟัง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
หรือบางคนจะซื้อรุ่นสูงๆแพงๆไปเลยทีเดียวเพราะไม่อยากลองผิดลองถูก ไม่อยากซ์้อมาขายไปบ่อยๆ ก็ไม่ผิด
สุดท้ายมันก็อยู่ที่ความพอใจและงบประมาณในกระเป๋าเราเอง
ผมแค่เขียนให้ลองคิดกันดูว่า จริงๆแล้ว คุณเป็นคนรักการเล่นเครื่องเสียงและเลือกซื้อเครื่องเสียงแบบไหน
แม้ว่าสองอย่างนี้จะนำพาคุณไปคนละทาง คนละรสนิยม ความพึงพอใจ ต่างกัน แต่สุดท้ายมันก็พาเราไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน นั่นคือเราก็ใช้มันเพื่อดูหนังฟังเพลง ตอบสนองความบันเทิงในชีวิตประจำวันครับ
อย่าปล่อยให้กลายเป็นว่า คุณซื้อเครื่องเสียงมาเพื่อเปิดแผ่นเทสเสียงอย่างเดียว นั่งปรับเสียงทั้งวัน นั่งฟังแต่แทร๊คเดิมซ้ำๆ เพื่อจับผิดว่าเสียงเคาะระฆังในวินาทีที่ 2.38 มันดังยาวและกังวาลขึ้น โดนลืมสนใจความไพเราะของบทเพลง และความสนุก เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่มีไปนะครับ
อย่าลืมว่าเราไม่ได้อยู่ในลานประลอง ที่ใครมีเครื่องเสียงแพง หรือเสียงดีที่สุดแล้วชนะ อย่าไปเอาชนะคะคานกับใคร เพราะเสียงเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างชอบ บางคนชอบเสียงมันๆ ดูหนังสนุก บางคนชอบเสียงนุ่มๆฟังสบายหู
และอย่าปล่อยให้วันนึง เรามีแต่แผ่นเทส หรือไฟล์เทสเสียงมากกว่ากว่าแผ่นและไฟล์หนังจริงๆนะครับ
สำหรับผมนักเล่นเครื่องเสียงที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่ใช้ของแพงที่สุด แต่เป็นคนที่แมทชิ่งและรู้แนวเสียงและเลือกอุปกรณ์ต่างๆให้ออกมาตรงกับความชอบและรสนิยมของตัวเองได้มากที่สุด และใช้ชุดนั้นดูหนังฟังเพลงที่ตัวเองชอบ ได้ใช้เวลาเปิดดูและใช้เวลากับชุดนั้นอย่างมีความสุขมากที่สุดมากกว่าครับ
ขอให้เล่นเครื่องเสียงอย่างมีความสุข เมื่อลงทุนเครื่องเสียงแพงๆแล้วก็อย่าลืมใช้มันให้สุด ดูหนัง ใช้งานให้สมกับทีีมันออกแบบมาด้วยนะครับ
