การตั้งค่าลำโพงเป็น Large หรือ Small ดีกว่ากัน

วันนี้ขอเขียนถึงเบสิค พื้นฐานเริ่มต้นเลยของการเล่น Home theater และก็เป็นคำถามเบื้องต้นที่ถูกถามมากที่สุดเช่นกัน จะพยายามเขียนให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่อ่านเข้าใจง่ายๆครับ
1. Large / Small คืออะไร คำนี้ไม่ได้หมายถึงขนาดตู้ลำโพงเหมือนที่เราเข้าใจนะครับ แต่
1.1 Large หมายถึงการปล่อยให้ลำโพงตัวนั้นเล่นได้ตลอดทุกย่านความถี่ (ทั่วไป 20 KHz - 20 KHz) นั่นหมายถึงลำโพงที่จะเล่นได้ขนาดนี้ย่อมไม่ใช่ลำโพงตัวเล็กๆหรือลำโพงแซทเทิลไลท์ เพราะหากเอาลำโพงเล็กที่ลงลึกได้ 50Hz มาปรับเป็น large ก็แปลว่า avr/pre ของเราจะส่งความถี่มาหมด ตั้งแต่ 20 - 20 KHz แต่วงจรในตัวลำโพงจะตัดความถี่ที่ต่ำกว่า 50 Hz ทิ้งไป เพราะตัวเองทำไม่ไหว แปลว่าเราได้ฟังเสียงจากหนังหรือเพลงที่บันทึกมาไม่ครบครับ
1.2 Small หมายถึง เราตัดความถี่ต่ำช่วงนึง แบ่งไปให้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ทำ ซึ่งทั่วๆไปเราจะตัดกันที่ 120 - 50Hz หรือตัดตามมาตรฐาน THX นั่นคือ 80 Hz แปลว่าความถี่ที่ต่ำกว่านี้ จะถูกตัดจากลำโพงหลัก และยกไปให้ Subwoofer ทำงานแทนครับ
2. ข้อดี ข้อเสีย ของการตั้ง Large
ส่วนใหญ่ในระบบ Home theater นั้นผมมักไม่ค่อยแนะนำให้ตั้ง Large ในระบบเท่าไร่ น่ั่นเป็นเพราะว่า หากเรากางสเปกของลำโพงคู่หน้าออกมาดูเราจะเห็นว่ามันลงได้ไม่ลึกมาก ลำโพงตั้งพื่้นตัวใหญ่ๆลงได้ 26 - 30 Hz คือเก่งแล้ว และถ้าดูกราฟของลำโพงให้ดีๆจะเห็นว่าในช่วง 40-50 Hz ลงมา ลำโพงพวกนี้มักจะ roll-off ลงมาแทบจะไม่เหลือคุณภาพและความดังและอิมแพคของเสียงเบสที่ดีสำหรับระบบดูหนังแล้ว คือสเปกมันลงได้แต่มันไม่ดังเท่าย่านอื่น ไม่หนักแน่นไม่มีอิมแพคจากเสียงเบสที่ควรจะเป็นครับ
หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือลำโพงหลักก็เปรียบเสมือนนักวิ่งมาราธอนที่เก่งหลายด้าน วิ่งตลอดทุกย่าน ทั้งความถี่สูง กลางและต่ำ แต่ไม่ได้เก่งมากในความถี่ต่ำมากๆ คือวิ่งมาตั้งแต่ 20 KHz แล้วก็เริ่มมาผ่อนที่ 60-80 Hz เนื่องจากความถี่ต่ำมากๆนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากย่านอื่นตรงที่คลื่นความุถี่ต่ำนั้นยาวมาก และต้องการกรวยวูฟเฟอร์และช่วงชักที่ใหญ่มากพอจะสร้างคลื่นความถี่ต่ำ้ ไม่เหมือนกับย่านกลางสูง หรือกลางต่ำที่ใช้วูฟเฟอร์สัก 5-8 นิ้วก็ได้คุณภาพเสียงที่เพียงพอกับความต้องการได้แล้ว
กลับกัน Subwoofer ก็เหมือนนักวิ่งฝีเท้าจัดที่ซ้อมมาทั้งชีวิตเพื่อหวังชิงชัยกับช่วงความถี่ต่ำ 20 - 120 Hz นี้มาโดยเฉพาะ
ลองคิดดูหากจะวัดกันเฉพาะความถี่ต่ำอย่างเดียว ระหว่างซับวูฟเฟอร์ที่เก่งด้านนี้โดยเฉพาะ ถูกสร้างมาเพื่อทำงานย่านนี้อย่างซับวูฟเฟอร์ นำไปเทียบกับ ลำโพงหลักที่ถูกสร้างมาให้วิ่งมาราธอนไกลๆ และทำงานตลอดทุกย่านความถี่นั้น ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ
2.1. ข้อดีของ large คือเหมือนเสริมเอาลำโพงหลักมาเสริมเป็นซับตัวเล็กๆอีกตัวในระบบ นั่นคือนอกจากเราจะมีซับวูฟเฟอร์แล้ว ลำโพงหลักยังช่วยลงมาทำงานเสริมกันไปด้วย ซึ่งถ้าเซ็ทให้ดีๆในบางซิสเต็มก็อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีและน่าพอใจก็ได้ ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความชอบของผู้ใช้งาน ไม่มีถูกไม่มีผิด
ข้อดีอีกข้อคือ ในระบบฟังเพลง หรือระบบที่ไม่ซับวูฟเฟอร์นั้น อย่างไรก็ต้องเซ็ทลำโพงหลักเป็น large เพื่อให้ลำโพงตอบสนองความถี่ให้ครบ หากระบบคุณไม่มีซับ แล้วไปตัดลำโพงหน้าเป็น small ผลก็คือเบสจะไม่มีเลย เพราะ avr/pre จะตัดความถี่ต่ำกว่า 80-100 Hz ทิ้งไปหมด เหมือนนั่งฟังลำโพงที่ไม่มีเบส ฟังแล้วหงุดหงิดมาก
จะเห็นว่าในระบบ 2 ch หรือชุดฟังเพลงสมัยก่อน จะมีบางท่านนิยมใช้ลำโพงหลักอย่างเดียว และไม่ใช่ซับวูฟเฟอร์เลย เพราะมีความเชื่อว่า 2 แชนแนลที่ดี ต้องไม่มีเบสมากวน ต้องใสๆ กรุ๊งกริ้งๆ มีอิมเมจ ซาวด์สเตจที่ชัดเจน ในระบบนี้แบบนี้ลำโพงหน้าจะปล่อยความถี่ออกมาเป็น Large เสมอครับ ซึ่งเอาจริงๆผมว่าฟังแบบไร้ซับ มันจะเหมาะกับเพลงร้องหรือเพลงบางประเภทเท่านั้น แนว audiophile, vocal
แต่หากลองเอามาฟังเพลง pop rock หรือเพลง electronic แล้วจะรู้เลยว่าหากฟังโดยไม่มีซับวูฟเฟอร์นั้น "นรกมีจริง"
2.2. ข้อเสียของการตั้ง large คือ ย่านความถี่ต่ำที่ได้จากคู่หน้ามันไม่มีคุณภาพดีพอ แม้ลำโพงคุณจะตัวใหญ่เท่าห้องก็เถอะ การที่จะเร่งให้คุณภาพเสียงความถี่ต่ำได้คุณภาพนั้น เราอาจต้องลงทุนและใช้ Power amp ขนาด monoblock กล้ามโต 400-500 วัตต์มาขับให้ลำโพงคู่หน้าตัวนั้นมีเบสที่ดีพอ ซึ่งมันสิ้นเปลือง และมันก็ไม่ดีพอ หากเทียบกับซับวูฟเฟอร์ดีๆสักตัวครับ
3. ข้อดี ข้อเสีย ของการตั้ง Small
เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำงาน แบ่งเบาภาระของลำโพงหลัก และแอมป์ด้วย ให้ลำโพงหลักทำหน้าที่ที่มันเก่งคือช่วงย่านกลางแหลมและกลางต่ำพอแล้ว และหาซับดีๆมาทำในช่วงความถี่ต่ำแทน เซ็ทให้ดี ให้เนียน phase, distant ให้ได้ แค่นี้รับรองว่ายังไงก็ฟังดีแน่นอนครับ.......
ซึ่งส่วนใหญ่ซับวูฟเฟอร์มักจะเป็นซับแบบ active ที่มีแอมป์มาในตัว (ส่วนใหญ่ก็ 300 - 1500 วัตต์) ซึ่งถือว่ากำลังมหาศาลมากกว่ากำลังขับจาก avr หรือ power ที่เอามาขับคู่หน้ามากนัก พอเอามาต่อในระบบ Home theater ย่านความถี่ต่ำก็สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเพราะย่านนี้ได้แอมป์ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับซับตัวนั้นๆมาขับครับ
หากเราตัดความถี่ cross over ที่ 80 Hz แปลว่าย่านต่ำกว่านี้ซับวูฟเฟอร์จะรับไปทำงาน ย่านสูงกว่านี้ลำโพงหลักจะรับไปทำงาน คล้ายๆรับไม้ต่อในการวิ่งผลัดนั่นเอง (จริงๆจะมี roll off นิดหน่อยแต่ไม่มีสาระสำคัญขอข้ามไปไม่พูดถึง)
4. คำถามถัดมาคือ ตั้ง cross เท่าไร่ดี ถ้าให้ผมแนะนำง่ายๆแบบไม่อิงหลักการมาก ก็ตามมาตรฐาน THX ที่ 80 Hz
แต่ในบางระบบ อาจจะไม่ชอบ ก็สามารถเซ็ทเปลี่ยนได้ตามต้องการและความชอบครับ แต่หลักง่ายๆสำหรับผมเองให้ดูสองอย่างดังนี้
4.1. ลำโพงหน้าลงได้เท่าไร่ หากลำโพงเล็กมาก ลงได้ 100 Hz แปลว่าซับโดนบังคับให้ตัดที่ 100 หรือมากกว่าเช่น 120 Hz เพราะหากตัดต่ำกว่านี้เช่น 80 Hz เราจะเสียความถี่ช่วง 80 - 100 Hz ไป ซึ่งการตัดความถี่สูงๆเช่น 100 - 120 Hz ในชุดราคาประหยัดหรือเริ่มต้นนั้น คุณภาพอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไร่นัก
ปกติตัด cross สูงๆสามารถทำได้ในซับที่ดีมากๆ มีความไวมากๆ กระชับ เช่นซับที่ออกแบบมาในระบบดูหนังโดยเฉพาะ แต่ซับบ้านทั่วๆไปหากตัดที่ความถี่สูงๆแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการคือมันเบลอๆ บวมๆ และฟังยานๆคลางๆ ดูอื้ออึง ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเซ็ทอัพ นั่นเป็นเพราะความถี่ต่ำช่วง 100 - 120 Hz บางทีมันมีเสียงคนพูด หรือเสียง effect อย่างอื่นที่มันควรจะทำในลำโพงหลัก เสียงที่เร็วมากๆๆปนมาด้วย บางทีมีเสียงคนดำพูดปนมา ซับบ้านทั่วไปไม่ได้เก็บตัวเร็วพอ พอเจอย่านนี้ เบสก็ทำงานไม่ทัน และมีเบสมาปนกวนกับย่านอื่น ฟังดูยาน บวมและฟังไม่ค่อยดีนัก
4.2. ซับวูฟเฟอร์ทำงานได้ดีแค่ไหน ถ้าเป็นซับทั่วๆไปนั้นออกแบบมาให้ดูหนังฟังเพลง ส่วนใหญ่จะแผ่หน่อยๆ
ให้ดูบุคลิคและความไวในการเก็บตัวของซับ แผ่ครางแค่ไหน หากแผ่มากแล้วเซ็ท cross สูงมากๆเช่น 120 ส่วนใหญ่เบสจะกลบรายละเอียด เพราะซับทำงานไม่ทัน หลงเหลือคลื่นความถี่ต่ำที่ควรจะหยุดและเก็บตัวแล้วหลงเหลือไปกวนกับย่านกลางแหลม ทำให้ฟังดูบวมๆ อู้อี้ๆ ซึ่งอันนี้ก็ตัดสินใจเอาที่ชอบกันเลยว่าชอบแบบไหน
ส่วนตัวผมชอบเบสที่เร็ว เก็บตัวทันที และไม่แผ่ครับ ดังนั้นซับที่เลือกใช้ส่วนใหญ่ผมมักจะเลือกซับแนวดูหนังที่เร็วๆ หนัก มีไดนามิคดีๆ ตรงนี้ทำให้สามารถเลือกปรับ crossover ได้สูงกว่า 80 Hz นิดๆได้ด้วย (แต่จริงๆแนะนำที่ 80 มากกว่า)
สุดท้าย จะปรับ large / small และตั้ง crossover เท่าไร่นั้นมีหลักการรองรับอยู่แล้ว ลองปรับตามหลักดูก่อน หากไม่ชอบจะปรับเปลี่ยนมาเป็นแนวที่ชอบก็ตามอัธยาศัย เพราะเรื่องความชอบนั้นต้องบอกว่า ไม่มีผิดไม่มีถูก บางคนชอบเบสแผ่ๆครางๆ เยอะๆ บางคนทนฟังเบสไม่ได้เลย ขอน้อยๆตัดที่ 40-50 Hz ก็มี
เล่นเครื่องเสียงตามใจผู้ฟัง เอาที่สะดวกและสบายใจ เล่นแล้วมีความสุขสำคัญที่สุดครับ
หากบทความนี้ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี่... ขอบคุณครับ