เทรนด์การเล่นเครื่องเสียงของบ้านเรา ในทัศนคติของข้าพเจ้า

ส่วนตัวอยู่ในวงการ เห็นความเป็นไป เป็นมา คนขาย คนเล่นมาพอสมควร จึงอยากขออนุญาติแสดงความเห็น (ส่วนตัว) เกี่ยวกับเทรนในอนาคตของการเล่นเครื่องเสียง (ในบ้านเรา) โดยเฉพาะลำโพงดังนี้ครับ (หากไม่ถูกใจหรือไม่ถูกต้อง ก็ขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย) ** ขอไม่พูดถึง in the box, gadgets, vintage
** รูปภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
1. ระบบเสียงมัลติแชนแนล ในระดับ entry level
ราคาไม่เกิน 4 หมื่น (ต่อตัว) ลำโพงทั่วๆไปที่นิยมและขายได้จริงๆก็ต้องเป็นลำโพงที่ราคาอยู่ในช่วง 8,000-20,000 กว่าบาท จะเรียกช่วงราคานี้ว่าช่วงทองของ Entry level ก็ว่าได้ เพราะเมื่อรวมๆราคาลำโพงทั้งระบบแล้ว มันจะไม่สูงเกินไป อยู่ในช่วง 3-6 หมื่น ซึ่งมือใหม่ หรือคนทั่วๆไปสามารถจับต้องและซื้อหาได้ ลำโพงในช่วงราคานี้ ถ้าไม่เป็น in the box ก็เป็นลำโพงรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ต่างๆ เช่น Klipsch R series, Polk Signature series, Yamaha และอื่นๆอีกมากมาย เราจะหาซื้อหาลองกันได้ทั่วไปตามห้าง หรือร้านค้าทั่วๆไปที่ขายอุปกรณ์เครื่องเสียงทั่วไป เช่นทีวี ซาวด์บาร์ ในช่วงระดับนี้ คนเล่นจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญมาก สิ่งที่ต้องการคือ คำแนะนำ การเดโม อยากเห็น อยากลอง อยากให้มีบริการไปติดตั้ง ต้องการกูรูมาเป็นไกด์นำทาง
ส่วนใหญ่คนเล่นไม่ค่อยเชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นการอัดโฆษณาและโปรโมท การตั้งบูทโชว์จึงมีผลมากกว่าเรื่องเสียงดี (ลองฟังในห้าง เราไม่ต้องคาดหวังเรื่องเสียงดีครับ เอาแค่ฟังให้รู้เรื่องก็เป็นไปไ่ด้ยากแล้ว)
- ลำโพงราคาย่อมเยาว์แต่ขับยาก กำลังจะเสื่อมความนิยมลง ก่อนนั้นเราจะเห็นลำโพงราคาถูก 1-3 หมื่น แต่ required amp กำลัง 150-250 วัตขึ้นไปมาขับ ค่าแอมป์ดีๆก็ตกไปราวๆ 6หมื่น-แสนกว่าบาท เมื่อเทียบกับราคาลำโพงแล้วก็ไม่ make sense เท่าไร่ แถมลำโพงก็มีลิมิท เอาแอมป์ดีมากๆมาขับ เสียงก็ได้เท่าที่ลำโพงจะไปได้
ก่อนนั้นเราเห็นลำโพงขับยากมากๆบางแบรนด์ (ขอละไว้ไม่พูดชื่อ) ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกัน คือแอมป์ที่มีขายในระดับราคาที่เหมาะสม ขับออก แต่เสียงไม่หลุด คือฟังพอได้ แต่เบสไม่มี คนขายก็ฝืนพูดว่า เนี่ยแหละแมทชิ่งและขับได้. คนใช้ฟังที่ร้านดี๊ดี แต่เอากลับมาบ้านเสียงห่วย จนขายทิ้งกันเกลื่อนตลาดก็มีให้เห็นกันเยอะ
- ลำโพงขับยากแต่เสียงดี ก็ยังมีฐานแฟนๆและคนใช้เหนียวแน่นต่อไปในวงจำกัดของคนเล่น เพราะถ้าได้แอมป์ถึงๆ แล้วเสียงมันก็ต้องยอมรับว่าเสียงดี เช่น pioneer adj

- ลำโพงแอคทีฟ ไม่ต้องใช้แอมป์ ยังไม่ตอบโจทย์นักเล่น multi channels เท่าไร่ (แม้ในแวดวงคอมหรือ gadgets ลำโพงพวกนี้จะได้รับความนิยมสูง มีส่วนแบ่งการตลาดสูงมากก็ตาม) แต่ในวงการ home theater ดูจะไม่เปรี้ยงเท่าไร เพราะความไม่สะดวกสบายของการต้องเสียบปลั้กทุกจุด. และความไม่ยืดหยุ่นของการปรับเปลี่ยนในการเล่น ในการเติม accessories นั่นเอง รวมถึงอายุการใช้งานของลำโพงแอคทีฟเองด้วย (ไม่รวมซับ)
- โลกเปลี่ยนไป ข่าวสารข้อมูลวิ่งเข้ามามากขุึ้น คนก็ช่างเลือกและฉลาดเลือกมากขึ้น การเลือกลำโพงเพราะลมปากของคนขายหรือเซลล์ก็ลดน้อยถอยลง
แปรเปลี่ยนเป็นเราเลือกลำโพงเพราะ กูรูหรือโฆษณา หรืออ่านรีวิว หรือฟังจากปากคนใช้จริงกันมากขึ้น คนขายมีผลน้อยลง
โรลโมเดลในวงการเครื่องเสียง และ reviewer ที่ดีและตรงไปตรงมาจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่สิ่งหนึ่งที่คนยังขาดและไม่เข้าใจก็คือ Reviewer หรือกูรูแต่ละคนก็ย่อมมีสไตล์ มีความชอบ มีแนวของตัวเอง ดีของเค้าอาจไม่ดีของเรา
สิ่งเดียวที่ทำให้เราไม่เดินผิดทางคือ เราต้องรู้ตัวเราก่อนว่าเราชอบแนวไหน แล้วไปอ่านหรือคุยกับกูรูหรือ reviewer ท่านนั้นอธิบายว่าตรงกันมั๊ย หากไม่ตรง ท่านไม่จำเป็นต้องไปฟังเค้าอีกต่อไป และไม่ใช่ว่าคุณผิดหรือ reviewer คนนั้นผิด แต่เป็นเรื่องสไตล์ที่คุณชอบไม่เหมือนกัน
ผมเคยคุยกับผู้ทรงคุณวฺุฒิที่ชื่นชอบเพลงจีนมาก ส่วนผมฟังแต่ร๊อคและ edm เสียงที่ดี เบสที่ดีของท่านนั้นกับเบสที่ดีของผมก็ต่างกันราวกับยืนอยู่คนละทวีป
ผมกับเค้าคุยกันไม่รู้เรื่องครับ เพราะเรามีความชอบไม่เหมือนกัน ดีของเค้าคือแย่ของผม ดีของผมคือแย่ของเค้า

- คนให้ความสำคัญกับการเซ็ทอัพกันมากขึ้น การติดตั้งที่ถูกต้อง การจูนเสียง การปรับอคูสติก การเลือกห้อง และเลือกอุปกรณ์ต่างๆให้เหมาะกับห้อง มีมากขึ้น ก่อนนั้นคนเล่นลงลำโพง ลงเส้นสายไปมักจะไม่สนใจกับการเซ็ทอัพ แต่เดี๋ยวนี้คนมักจะเผื่องบไว้ปรับปรุงห้อง ปรับปรุงอคูสติก รวมถึงจ้างมืออาชีพมาเซ็ทอัพกันมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญครับ
- อุปกรณ์เสริมทางด้านจิตใจ จะได้รับความนิยมลดน้อยถอยลง เช่นพวกดินน้ำมันแปะแล้วเสียงดี หรือกล่องสลายคลื่นแม่เหล็ก น้ำมันไปทาที่เครื่อง กล่องไม้ไปครอบสาย ไปวางข้างๆเครื่องแล้วเสียงดี ก่อนนั้นอาจขายได้ เพราะโลกมันไม่กว้างไกลขนาดนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ว่าอย่างไรเราก็ต้องเชื่อตามนั้น
ส่วนตัวผมคิดว่าคนเล่นรุ่นใหม่ๆ (ย้ำว่ารุ่นใหม่ๆ) มีวิจารณญาณมากขึ้น และพิจารณาได้ว่า อะไรจ่ายไปแล้วคุ้มค่า อะไรจ่ายไปแล้วเพื่อความสบายใจ และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่อย่างไรก็ดี การเล่นเครื่องเสียงไม่มีผิดและถูก อยู่ที่ความชอบและความสบายใจ หากสบายใจจะซื้อหาอะไรมาใช้แล้วสบายใจ มีกำลังทรัพย์เล่นได้ ก็เล่นไปเถิดครับ
2. ลำโพงในระดับ mid-end
หรือในระดับกลางราคาช่วง 5 หมื่นขึ้นไป พวกนี้แข่งขันกันดุเดือดและอยู่ยากขึ้น. เพราะส่วนใหญ่ลำโพงในระดับนี้ถูกส่งไปขายกับดีลเลอร์มากราย ไม่ขึ้นห้าง มีการแข่งขันทางด้านราคาสูงมาก
ดีลเลอร์บางรายขายลำโพงราคา 5 หมื่นบาทโดยหั่นกำไรตัวเองเหลือแค่ 1-2 พันบาทเพื่อแลกกับการได้ขายก็มี (สงสัยกลัวรวย)
บางรายซื้อมาขายไปเอาส่วนต่างและ credit terms ไปปล่อยกู้กินดอกก็มี.
แก้ยากครับ มันฝังลึกใน dna ของผู้ซื้อและผู้ขายมานาน เพราะคนเล่นลำโพงระดับนี้ ก้าวข้าม entry level มาแล้ว เค้าย่อมเล่นเป็นและมีความรู้ความเข้าใจ มากพอที่จะหาที่ซื้อของที่ถูกที่สุด ซือมาลองผิดลองถูกเอง. หาอุปกรณ์มาแมทชิ่งเอง และไม่ต้องการเซอร์วิสใดๆเลย แลกกับราคาที่ถูกที่สุด หากสินค้ามีปัญหาก็พร้อมจะวิ่งไปส่งซ่อมหรือคุยกับผู้นำเข้าเองโดยไม่ต้องการบริการใดๆจากร้านที่ซื้อ
เหตุผลนี้จึงหล่อเลี้ยงและทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่อยู่ได้ยากหากลงมาเล่นในตลาดลำโพงระดับ mid-end จะเห็นว่ารายใหญ่จะกระโดดไปเล่นลำโพงที่ราคาสูงกว่านี้ หรือมีคู่แข่งขันน้อยราย หรือแบรนด์ที่ควบคุมราคาได้ดีกว่านี้ (รายใหญ่ที่ลงมาเล่นระดับนี้ ส่วนใหญ่มักจะปิดกิจการกันไปอย่างที่เราเห็นๆกัน)
เรื่องราคาที่เห็นบางรายเข้มๆ คุมราคากันเช่นผู้จำหน่ายเครื่องเล่น Bluray บางตัวก็เห็นขายกันเกลื่อนครับ 45,000 , 46,000 มีทั้งรายใหญ่ปล่อยออกตลาดผ่าน norminee และมีทั้งรายย่อยที่ไปตัดรายใหญ่มาแบบราคาทุน แล้วเอามาปล่อยถูกๆเอากำไรน้อยๆ (กลัวรวย)
หรือสินค้าบางตัวก็เซลล์นี่ละครับ สนิทกับร้านปานว่าเหมือนชาติที่แล้วกรีดเลือกร่วมสาบานกันมา เอาของมาให้ (บางร้าน) ขายในราคาพิเศษ ก็ไม่แปลกใจที่บริษัทเวลาโทรมาเช็คราคาทีไรถึงได้รู้ล่วงหน้าทุกที
ดังนั้นลำโพงในระดับราคานี้ อนาคตมืดหม่นและโอกาสเติบโตยาก. เราจะเห็นการแข่งขันทางราคาสูงมาก
เราจะไม่ได้เห็นสินค้าพวกลำโพงของคนไทยมาแข่งขันในระดับราคานี้ (เพราะราคามันอยู่ไม่ได้ ผู้ผลิตเค้าอยู่ไม่ได้)
เราไม่มีโอกาศจะได้เจอโชวรูมคุณภาพดีๆ หรืองานแสดงลำโพงระดับ Mid-end ที่ดีและได้มาตรฐานนัก. เพราะร้านค้ามัวแต่ซื้อมาขายไปและดิ้นรนเอาตัวรอดเวียนว่ายตายเกิด ตัดราคากันก็เหนื่อยมากพอแล้ว
รวมถึงเราจะไม่ได้เห็น services และบริการหลังการขายดีๆในระดับนี้ เช่น มีของให้ลอง demo ที่บ้าน. มีของให้ใช้ระหว่างซ่อม เวลาเสียมีช่างและอะไหล่พร้อมมีนโยบาย 30 วันการันตีความพอใจเหมือนเมืองนอก
- ลำโพงแนว cinema กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น กระแสลำโพงดูหนัง เสียงชัด ไดนามิคดียังไงก็มา เพราะการดูหนังเมื่อเทียบกับลำโพงทั่วๆไปแล้ว. ต้องยอมรับว่าตอบสนองได้ดีกว่า การลงทุนห้องดูหนังดีๆ และลำโพงดูหนังแท้ๆสักแบรนด์ ยังเป็นทางเลือกที่ดีและคุ้มค่าในระยะยาว
- ลำโพงในระดับ Mid-end ส่วนใหญ่คือลำโพงที่มีข้อจำกัดทางด้านราคา ผู้ผลิตทุกคนมี budget พอๆกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตรายไหนเลือกจะทุ่มงบลงไปที่ส่วนไหนของผลิตภัณฑ์ตัวเอง บางรายให้งานประกอบดีมาเลย แต่ก็ต้องลดคุณภาพ driver และเสียงก็ต้องจูนไปในทางนุ่มๆท้วมๆ และขับยาก
อีกเจ้างานประกอบจีนมาเลย (จริงๆมันก็จีนเกือบทุกเจ้า) แต่เสียงชัด ไดนามิคดีน้องๆลำโพง cinema เลย
บางรายให้ทุกอย่างมากลางๆ ทั้งดูหนังฟังเพลง
ให้สรุปก็คือ ลำโพง mid-end มีตัวเลือกเยอะกว่าลำโพง entry level เลือกสนุกกว่า มีข้อแตกต่างของเสียงมากกว่า ถ้าคุณรู้ว่าคุณชอบแนวไหน และรู้ว่าลำโพงแต่ละตัวเด่นด้านไหน คุณจะประหยัดตังในการลองผิดลองถูก และเลือกลำโพงที่ใช่ได้ง่ายกว่า
แต่ในความแตกต่างของเสียงในแต่ละแบรนด์ส่วนใหญ่จะได้อย่างเสียอย่าง ไม่มีแบรนด์ไหนที่ได้ครบทุกอย่าง คึือทุกคนมีต้นทุนในการผลิตพอๆกัน บางเจ้าเลือกจูนเสียงไปทางนุ่ม ฟังเพลงดี ถูกหูคนไทย แต่ก็จะดูหนังแล้วไม่สนุก
บางรายเลือกดูหนังมัน ฟังเพลงก็จะแข๊ง บางรายเลือกกลางๆ ก็ขายยากเพราะไม่มีจุดเด่น

- คนเล่นเครื่องเสียงบ้านเราส่วนใหญ่มีอายุซะเกือบ 80% เพราะเครื่องเสียงคือสินค้าฟุ่มเฟือย คนเล่นต้องมีกำลังทรัพย์พอสมควรและเหลือจากค่าใช้จ่ายอื่นๆถึงมีเงินมาเล่นตรงนี้ได้ ดังนั้นลำโพงที่ขายดีในบ้านเราจะมีอยู่สองแนว
ก็คือลำโพงที่ฟังเพลงดี นุ่ม หวาน เพราะคนจะเอาไปฟังเพลง
กับลำโพงที่ดูหนังมัน เสียงสนุก เพราะคนจะเอาไปดูหนัง
ไอ้ลำโพงแบบกลางๆ เสียงชัด ละเอียด คนไทยจะเมินครับ เพราะมันดูหนังได้กลางๆ และฟังเพลงแนวร้องได้ไม่ค่อยถูกหูคนไทย ซึ่งอันนี้เห็นได้ชัดๆกับ kef r series ซึ่งเป็นลำโพงที่เสียงดีมาก แต่คนไทยไม่นิยม
- ทุกอย่างมีจุดกำเนิดก็ต้องมีจุดสิ้นสุด แบรนด์บางแบรนด์โด่งดังในอดีต แต่ก็ล่มสลายได้ หากไม่ดิ้นรนหรือปรับปรุงหาสินค้าใหม่ๆ มาขยายฐานลูกค้า เพราะปัจจุบันข้อมูลข่าวสารหาได้ง่าย ปัจจุบันลูกค้ามีตัวเลือกเยอะขึ้น ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปซื้อหรือฟังในโชว์รูม เพราะเรามีรีวิว มีเพื่อน มีกูรูแนะนำ
ปัจจุบันการอยู่ได้ด้วยฐานลูกค้าเดิมที่นับวันยิ่งลดน้อยถอยลง และเทรนด์การฟังที่เปลี่ยนไป รวมถึงคู่แข่งที่แข๊งแกร่งและมีจุดแข๊งชัดเจนขึ้น ลำพังการอัดโปรโมชั่นลดราคา เพิ่มบู๊ท และจ่ายค่าโฆษณาหนักๆให้สื่อบางเจ้า ก็เทียบไมไ่ด้กับการเอาเม็ดเงินไปหาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้ามาเพิ่ม
ถ้าเราพูดถึงดูหนัง เสียงสดเสียงจัด เราจะนึกถึง Klipsch
ถ้าเราพูดถึงฟังเพลง เสียงหวาน เราจะนึกถึง Elac, B&W
ถ้าเราคิดถึงลำโพงตัวเล็กฟังง่าย ติดตั้งง่าย ฟังเพลินๆไม่ต้องเน้นอะไรมากและ mass เราจะนึกถึง Bose
เราจะเห็นว่า ลำโพงที่อยู่ยั้งยืนยงในบ้านเรา ล้วนมีจุดแข๊งที่ชัดเจนเมือพูดถึง เราคิดออกทันทีว่าคืออะไร
ลองพูดถึงจุดแข๊งของลำโพงตัวเองแล้วหาว่าลูกค้าเราซื้อลำโพงตัวนี้เพราะอะไร เพราะจุดแข๊งนั้น หรือ เพราะสื่อ เพราะโปรโมชั่น หรือเพราะบริการ?
- สินค้าขายดีโดยใช้การโปรโมท ทำได้แค่ช่วงเวลานึง หากคนซื้อไปแล้วเค้านำไปใช้จริงแล้วเสียงมันไม่ดีเหมือนที่ได้ฟัง วันนึงก็บอกต่อ แนะนำเพื่อน โลก internet มันเร็ว ความนิยมมันก็จะกลับมาอยู่ในจุดที่มันควรจะเป็น
3. ลำโพงฟังเพลงในระดับ Hi-end, Super Hi-end
ยังคงได้รับความนิยม สิ่งที่ทำให้ขายได้ไม่ใช่เรื่องเสียง แต่เป็นภาพลักณ์ รูปทรง การออกแบบ สี เรื่องราว (story) ความเป็นมา แหล่งกำเนิด แหล่งผลิต และแม้แต่โปรไฟร์ของผู้ขาย โชว์รูม รวมถึงความเข้ากันได้กับเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน และรสนิยมของผู้ซื้อมากกว่า (ลำโพงระดับนี้ เรื่องเสียง ดีทุกตัวครับ) ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อลำโพงระดับนี้ emotion มีผลมากพอๆหรือบางทีมากกว่าเรื่องคุณภาพ
ลำโพงจะต้องถูกจริตและมีความนิยมชมชอบกับแบรนด์และการออกแบบมาก่อนถึงจะพิจารณาเรื่องเสียง.
ส่วนเรื่องราคา ผมคิดว่าไม่มีปัญหาหรือแข่งขันดุเดือดเหมือนตลาดระดับกลางหรือ entry level
บนตลาดระดับ hiend, super hiend ถูก dominated โดยผู้จำหน่ายน้อยราย และถูกคุมราคาเป็นอย่างดี มีความยืดหยุ่นสูงมากในการลดหรือเพิ่มราคาให้กับผู้ซื้อได้มาก (ยืดหยุ่นขนาดมีการขายลำโพงในราคาทุนก็มี...)
ตลาดนี้ในบ้านเรายังยืนหยัด และมีผู้เล่นหน้าเก่าอยู่เหมือนเดิม เพราะตลาดมันขายได้
เชื่อหรือไม่ว่าลำโพงในระดับราคานี้ คนซื้อใช้เวลาดู เวลาตัดสินใจ รวมถึงซักถามก่อนซื้อ น้อยกว่าลูกค้าที่มาซื้อลำโพงราคาระดับ entry level เสียอีก
พูดง่ายๆคือถูกใจซื้อเลย ไม่เรื่องเยอะ ไม่ถามมาก เพราะมี services ที่ดีอยู่แล้ว สินค้าในกลุ่มนี้อยู่ยั้งยืนยงและอยู่ได้ ไม่หวั่นในทุกสภาพเศรษฐกิจครับ